ช่วงก่อนแต่งงานน้ำหนัก 76 มาโดยตลอด รีบลดน้ำหนักภายใน 2 เดือนเพื่อให้ใส่ชุดสูทได้สวยๆโดยการออกกำลังกาย + ควบคุมอาหารจนน้ำหนักเหลือราวๆ 73 ใส่สูทได้สวย แต่หน้าตอบ ดูซูบไป หลังแต่งก็ออกกำลังกายบ้างไม่ออกบ้าง เคร่งครัดกับการกินน้อยลง แต่ก็รักษาน้ำหนักได้เหมือนเดิมที่ 73
จนช่วงหลังสั่งอาหารผ่าน food delivery ตลอด เพราะถูก เร็ว ไว ไม่ต้องเสียเวลาไปหากินข้างนอก เอาเวลาไปทำงานได้มากขึ้น จนตอนหลังส่วนลดเยอะเลยลองกินมันแทบทุกร้าน วันนึงลองและทำรีวิวสนุกๆทั้งข้าว ขนม เครื่องดื่มไม่ต่ำกว่า 3 ร้าน และไม่ซ้ำกัน มากสุดวันนึง 7-8 ร้าน ผ่านไป 3 เดือนลองกินไปหลายร้อยร้าน จนน้ำหนักพุ่งไปแตะที่ 79-80 กก
รู้สึกรำคาญตัวเองมาก สุขภาพจิตเสียเพราะอึดอัด และทรมานตัวเองจากกินเยอะเกินไป กินแทบจะทั้งวัน กางเกงและเสื้อก็เริ่มใส่ไม่ได้ สุดท้ายเริ่มกลับมากินแบบปกติคือข้าวสามมื้อจบเลย พยายามเลี่ยงขนม และเครื่องดื่มที่มีน้ำตาล แต่ส่วนตัวเป็นคนไม่ชอบกินน้ำเปล่า เลยหันกลับไปหาชาที่ไม่มีน้ำตาลที่แต่ก่อนเคยกินพวกชาเขียว ชาขาว ชาดำ ชาสมุนไพรต่างๆ ทั้งแบบร้อนและเย็น กินแทนน้ำเปล่า ส่วนกาแฟใส่น้ำตาลตามร้านที่แต่ก่อนกินวันละแก้ว ก็เปลี่ยนมากินกาแฟดำไม่มีน้ำตาลแค่วันละ 1 กระป๋องแทน
คืออะไรที่ไม่มีประโยชน์จะพยายามเลี่ยงให้หมด โดยเฉพาะขนมและของหวานต่างๆ รวมทั้งเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลพวกกาแฟ และชาตามร้าน รวมทั้งน้ำอัดลม แรกๆก็ยาก แต่ส่วนนึงไม่รู้ผลจากชา และแนวคิดหรือเปล่า สุดท้ายความอยากขนมหรือของกินที่ไม่มีประโยชน์ก็หายไปหมดจนน้ำหนักเริ่มลงเรื่อยๆ ณ ปัจจุบันน้ำหนักลงมาที่ 65 แน่นอนว่าสัดส่วนอาจไม่กระชับและหน้าท้องไม่เรียบหมือนตอนออกกำลังกายช่วงก่อนแต่งงาน แต่ข้อดีคือหน้าไม่ตอบ ไม่ซูบ ไม่เหมือนตอนก่อนแต่งงานที่น้ำหนักเยอะกว่าตอนนี้ ซึ่งซูบ ผอม หน้าตอบมาก กางเกงและเสื้อก็ใส่ได้แบบสบายๆไร้กังวล
ถือว่าเป็นวิธีที่ยืนระยะได้ดีมากๆ เพราะถ้าให้กลับไปออกกำลังกายแบบเดิมคงไม่ไหว ไม่สามารถทำได้แบบยั่งยืน พอเริ่มมีอายุแล้วรู้สึกขี้เกียจ เบื่อการออกกำลังกายแบบเป็นกิจวัตร และต้องเลี้ยงลูก ส่วนใหญ่เลยได้แค่เดิน 5-8 กม ในวันอาทิตย์ และเดินขึ้นลงบันไดแทนลิฟท์ในวันธรรมดา และพยายามสร้างโอกาสการเดินให้ตัวเองอยู่เรื่อยๆ
ตารางการกิน ณ ปัจจุบันมีแค่
เช้าหลังอาบน้ำ กินกาแฟดำไม่ใส่น้ำตาล 1 กระป๋อง
8.30 ข้าวเช้า พวกตามสั่ง ข้าวกับกับข้าว กินชาไม่มีน้ำตาลที่ชงเองควบกันไป
12.30 ข้าวกลางวัน ก็แนวเดียงกับข้าวเช้า กินข้าวควบกับน้ำชาเหมือนเดิม
15.30 กินแอนลีนเสริมสร้างแคลเซียม 1 กล่อง
17.30 กินข้าวเย็นตามปกติ กับน้ำชาเหมือนเดิม
วันอาทิตย์พาลูกและแฟนไปเดินห้างเลยจะกลับดึกหน่อย เป็นวันเดียวที่กินดึก เพราะต้องเอาลูกเข้านอนก่อน บางทีกินถึง 4-5 ทุ่มก็มี
ทุกมื้อกินแบบอิ่มกำลังดีหรือแน่นนิดหน่อย แต่ไม่มีจุกเกินไป หรือกินแบบมดดม แต่จะกินน้ำชาเรื่อยๆระหว่างวัน และไม่กินขนม ไม่กินน้ำหวาน ไม่กินของหวานเลย คิดแค่ว่าเป็นสิ่งที่ไม่มีประโยชน์เหมือนพวกเหล้า บุหรี่ ฉะนั้นไม่จำเป็นต้องกิน แน่นอนความอยากก็ไม่มี เวลามีคนซื้อขนมมาให้ก็พยายามปฏิเสธเลี่ยงไปว่าเดี๋ยวนี้ไม่ได้กินแล้ว เดี๋ยวนี้พอเห็นขนมเดินหนี แต่ก่อนรีบเดินเข้าหา แน่นอนว่าจุดนี้ทำให้ประหยัดเงินได้เยอะมาก แต่ก่อนกินวันนึงไม่ต่ำกว่า 300-500 เดี๋ยวนี้ 150-200 แถมไม่สร้างโทษให้ร่างกายด้วย
ยังไงลองทำกันดูนะครับ สำคัญที่วินัยการกินครับ อะไรที่ทำลายสุขภาพ ไม่มีประโยชน์ ก็เลี่ยงไปครับ ส่วนตัวที่น้ำหนักลดก็เพราะจุดนี้แหละครับ น่าจะจุดหลักเลย
อยากแชร์เทคนิคการลดน้ำหนักสำหรับคนอยากลดน้ำหนักครับ
จนช่วงหลังสั่งอาหารผ่าน food delivery ตลอด เพราะถูก เร็ว ไว ไม่ต้องเสียเวลาไปหากินข้างนอก เอาเวลาไปทำงานได้มากขึ้น จนตอนหลังส่วนลดเยอะเลยลองกินมันแทบทุกร้าน วันนึงลองและทำรีวิวสนุกๆทั้งข้าว ขนม เครื่องดื่มไม่ต่ำกว่า 3 ร้าน และไม่ซ้ำกัน มากสุดวันนึง 7-8 ร้าน ผ่านไป 3 เดือนลองกินไปหลายร้อยร้าน จนน้ำหนักพุ่งไปแตะที่ 79-80 กก
รู้สึกรำคาญตัวเองมาก สุขภาพจิตเสียเพราะอึดอัด และทรมานตัวเองจากกินเยอะเกินไป กินแทบจะทั้งวัน กางเกงและเสื้อก็เริ่มใส่ไม่ได้ สุดท้ายเริ่มกลับมากินแบบปกติคือข้าวสามมื้อจบเลย พยายามเลี่ยงขนม และเครื่องดื่มที่มีน้ำตาล แต่ส่วนตัวเป็นคนไม่ชอบกินน้ำเปล่า เลยหันกลับไปหาชาที่ไม่มีน้ำตาลที่แต่ก่อนเคยกินพวกชาเขียว ชาขาว ชาดำ ชาสมุนไพรต่างๆ ทั้งแบบร้อนและเย็น กินแทนน้ำเปล่า ส่วนกาแฟใส่น้ำตาลตามร้านที่แต่ก่อนกินวันละแก้ว ก็เปลี่ยนมากินกาแฟดำไม่มีน้ำตาลแค่วันละ 1 กระป๋องแทน
คืออะไรที่ไม่มีประโยชน์จะพยายามเลี่ยงให้หมด โดยเฉพาะขนมและของหวานต่างๆ รวมทั้งเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลพวกกาแฟ และชาตามร้าน รวมทั้งน้ำอัดลม แรกๆก็ยาก แต่ส่วนนึงไม่รู้ผลจากชา และแนวคิดหรือเปล่า สุดท้ายความอยากขนมหรือของกินที่ไม่มีประโยชน์ก็หายไปหมดจนน้ำหนักเริ่มลงเรื่อยๆ ณ ปัจจุบันน้ำหนักลงมาที่ 65 แน่นอนว่าสัดส่วนอาจไม่กระชับและหน้าท้องไม่เรียบหมือนตอนออกกำลังกายช่วงก่อนแต่งงาน แต่ข้อดีคือหน้าไม่ตอบ ไม่ซูบ ไม่เหมือนตอนก่อนแต่งงานที่น้ำหนักเยอะกว่าตอนนี้ ซึ่งซูบ ผอม หน้าตอบมาก กางเกงและเสื้อก็ใส่ได้แบบสบายๆไร้กังวล
ถือว่าเป็นวิธีที่ยืนระยะได้ดีมากๆ เพราะถ้าให้กลับไปออกกำลังกายแบบเดิมคงไม่ไหว ไม่สามารถทำได้แบบยั่งยืน พอเริ่มมีอายุแล้วรู้สึกขี้เกียจ เบื่อการออกกำลังกายแบบเป็นกิจวัตร และต้องเลี้ยงลูก ส่วนใหญ่เลยได้แค่เดิน 5-8 กม ในวันอาทิตย์ และเดินขึ้นลงบันไดแทนลิฟท์ในวันธรรมดา และพยายามสร้างโอกาสการเดินให้ตัวเองอยู่เรื่อยๆ
ตารางการกิน ณ ปัจจุบันมีแค่
เช้าหลังอาบน้ำ กินกาแฟดำไม่ใส่น้ำตาล 1 กระป๋อง
8.30 ข้าวเช้า พวกตามสั่ง ข้าวกับกับข้าว กินชาไม่มีน้ำตาลที่ชงเองควบกันไป
12.30 ข้าวกลางวัน ก็แนวเดียงกับข้าวเช้า กินข้าวควบกับน้ำชาเหมือนเดิม
15.30 กินแอนลีนเสริมสร้างแคลเซียม 1 กล่อง
17.30 กินข้าวเย็นตามปกติ กับน้ำชาเหมือนเดิม
วันอาทิตย์พาลูกและแฟนไปเดินห้างเลยจะกลับดึกหน่อย เป็นวันเดียวที่กินดึก เพราะต้องเอาลูกเข้านอนก่อน บางทีกินถึง 4-5 ทุ่มก็มี
ทุกมื้อกินแบบอิ่มกำลังดีหรือแน่นนิดหน่อย แต่ไม่มีจุกเกินไป หรือกินแบบมดดม แต่จะกินน้ำชาเรื่อยๆระหว่างวัน และไม่กินขนม ไม่กินน้ำหวาน ไม่กินของหวานเลย คิดแค่ว่าเป็นสิ่งที่ไม่มีประโยชน์เหมือนพวกเหล้า บุหรี่ ฉะนั้นไม่จำเป็นต้องกิน แน่นอนความอยากก็ไม่มี เวลามีคนซื้อขนมมาให้ก็พยายามปฏิเสธเลี่ยงไปว่าเดี๋ยวนี้ไม่ได้กินแล้ว เดี๋ยวนี้พอเห็นขนมเดินหนี แต่ก่อนรีบเดินเข้าหา แน่นอนว่าจุดนี้ทำให้ประหยัดเงินได้เยอะมาก แต่ก่อนกินวันนึงไม่ต่ำกว่า 300-500 เดี๋ยวนี้ 150-200 แถมไม่สร้างโทษให้ร่างกายด้วย
ยังไงลองทำกันดูนะครับ สำคัญที่วินัยการกินครับ อะไรที่ทำลายสุขภาพ ไม่มีประโยชน์ ก็เลี่ยงไปครับ ส่วนตัวที่น้ำหนักลดก็เพราะจุดนี้แหละครับ น่าจะจุดหลักเลย