JJNY : 'โทนี่' ชี้เมียนมาต้องขอโทษ ไม่ใช่แก้ตัวให้│ตระบัดสัตย์! นศ.จี้รบ.│ร้านอาหารจานเดียวจ่อปรับราคาอีก│

'โทนี่' ชี้เมียนมาทิ้งบอมบ์ฝั่งไทย ผิดหลักยูเอ็น ต้องขอโทษ ไม่ใช่แก้ตัวให้
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_7147046
  
 
‘โทนี่’ ชี้บินรบเมียนมาทิ้งบอมบ์ฝั่งไทย ผิดหลักยูเอ็น ขัดหลักมนุษยธรรม ต้องขึ้นศาลโลก ต้องจี้ให้ออกมาขอโทษ ไม่ใช่แก้ตัวให้เขา
 
เมื่อเวลา 20.00 น. วันที่ 5 ก.ค. 2565 นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี หรือโทนี่ วู้ดซัม กล่าวผ่าน CareTalk x Care ClubHouse หัวข้อ “ผู้นำต้องทำงาน ไม่ใช่ผลาญแต่ภาษี” กรณีเครื่องบินรบประเทศเมียนมา บินล้ำเข้ามาน่านฟ้าไทยว่า ฝ่ายไทยแก้ตัวให้หมด เรายังไม่เห็นการขอโทษอย่างเป็นทางการจากรัฐบาลพม่าเลย ตนอยากให้มองสองมุม มุมหนึ่งคือเรื่องของการที่เขาใช้ระเบิดถล่มคนชาติเขา ซึ่งมันผิดหลักสหประชาชาติอย่างแรง ผิดหลักมนุษยธรรม คือต้องขึ้นศาลโลก ซึ่งเราไม่ควรต้องไปปกป้อง เห็นว่า มีกระสุนกราดมาโดนชาวบ้านเราด้วย
 
นายทักษิณ กล่าวต่อว่า มุมที่สองมองเรื่องการเมืองระหว่างประเทศ เป็นเรื่องมารยาท กระทรวงการต่างประเทศต้องเรียกทูตมาประท้วงอย่างเป็นทางการว่า สิ่งที่ทำนั้นไม่ถูกต้อง รัฐบาลเขาต้องออกมาขอโทษเราอย่างเป็นทางการ ถึงแม้จะเป็นเพื่อนกัน เหมือนที่ตนแก้ปัญหากรณีที่มีชาวกัมพูชาไปเผาสถานทูตไทย ตนเชื่อว่าตนสนิทกับท่านฮุนเซนมากกว่าที่ พล.อ.ประยุทธ์ สนิทกับนายพลมิน อ่อง ลาย
 
นายทักษิณ กล่าวอีกว่า เรื่องระหว่างประเทศ เพื่อนก็ต้องเป็นเพื่อน แต่ต้องคุยกัน ตนก็โทรบอกท่านฮุนเซนให้ช่วยจัดการ หากท่านปกป้องสถานทูตไม่ได้ เราเสียหาย ประชาชนเราไม่ปลอดภัยแน่นอน หากท่านไม่กล้ารับรอง ตนจะส่งเครื่องบินและคอมมานโดไปรับคนของตนกลับ ถ้าคนของตนตาย ตนเดือดร้อน ซึ่งตนอธิบายแบบเพื่อนฝูงก็จบ และดำเนินการเป็นขั้นตอนไป ตนก็อธิบายไป เพราะตนมาจากการเลือกตั้ง ต้องเป็นผู้นำที่รักษาชีวิตประชาชน เขาก็เข้าใจ
 
“วันนี้ก็เหมือนกัน เพื่อนต้องออกมาแสดงความเสียใจและต้องออกมาขอโทษ ไม่ใช่ไปแก้ตัวให้เขาเรียบร้อย ขอให้เข้าใจเรื่องการเมืองระหว่างประเทศ เรื่องของมารยาท และเรื่องกฎหมายระหว่างประเทศด้วยว่า การใช้เครื่องบินรบไปบอมบ์ประชาชนตัวเองไม่ถูกต้องแน่นอน วันนี้ต้องตีตูดกันบ้าง”
 
นายทักษิณ กล่าวต่อว่า ส่วนกรณีนายดอน ปรมัตถ์วินัย รมว.ต่างประเทศ ต้องยอมรับว่า วันนี้ท่านดอนหมดไฟแล้ว ไปต่างประเทศก็ใช้ที่ปรึกษาไปแทน ตนมองไม่ออกว่า พล.อ.ประยุทธ์ อยากอยู่เพื่อเป็นเจ้าภาพเอเปค ไม่รู้ว่าเป็นเพื่ออะไร หรืออยากจะแข่งกับตน ได้เป็นประธานเอเปกเหมือนตน อย่าไปคิดแข่ง ตนไม่เคยคิดแข่ง และไม่อยากให้ใครมาแข่งกับตน ให้ตนซูฮกก็ได้ แต่อย่าเป็นเลย
 
“ความไม่พร้อมของประเทศไทยสูงมากกับภาวะการประชุมเอเปคคราวหน้า ซึ่งมีภาวะแทรกซ้อนของการเมืองระหว่างประเทศของกลุ่มสมาชิกสูงมาก รมว.ต่างประเทศต้องเฉียบแหลม คล่องตัว และมีความสัมพันธ์ที่ดีกับรมว.ต่างประเทศในกลุ่มเอเปคด้วยกัน”
 
นายทักษิณ กล่าวอีกว่า วันนี้กระทรวงต่างประเทศไม่แข็งแรง กระทรวงพาณิชย์และคลังก็ไม่แข็งแรง นายกฯ ไม่ต้องพูดถึง ถ้าสามขานี้ไม่แข็งแรง นายกฯ ยิ่งเปลี้ยใหญ่เลย ตนเป็นห่วงจริงๆ เพราะเถียงกันไม่จบ แล้วเที่ยวนี้ไม่เหมือนปกติ แม้ยูเครนไม่เป็นสมาชิก แต่ลูกพี่คืออเมริกา ขณะที่รัสเซียมีเพื่อนอยู่ในนั้นคือจีน ต้องยอมรับว่าพล.อ.ประยุทธ์ขาดความมั่นใจเรื่องการต่างประเทศ อาจจะเป็นเรื่องภาษา เรื่องกระทรวง หรือทั้งสองอย่าง เรื่องการต่างประเทศแสดงความเฉียบแหลม ความเข้มแข็งและหน้าตาของประเทศซึ่งสำคัญมาก
 

 
ตระบัดสัตย์! นศ.จี้รัฐบาลยกเลิกมติ ครม. 21 มิ.ย.2565 เดินหน้านิคมฯจะนะ 
https://www.khaosod.co.th/around-thailand/news_7146990

กลุ่มนักศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี เคลื่อนไหวประท้วงรัฐบาล ชี้ตระบัดสัตย์ กรณีนิคมฯจะนะ ร้องยกเลิกมติ ครม. 21 มิ.ย. 2565 ฮึ่มยังดื้อเจอรวมตัวใหญ่แน่
 
วันที่ 5 ก.ค.2565 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อคืนที่ผ่านมา ที่ลานสีบลู มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี กลุ่มนักศึกษา ชมรมอนุรักษ์ รวมตัวจัดกิจกรรมเสวนา หัวข้อ “รัฐบาลตระบัดสัตย์ กรณีนิคมอุตสาหกรรมจะนะ” คัดค้านโครงการนิคมอุตสาหกรรมจะนะ โดยมีน.ส.นางสาวไครียะห์ ระหมันยะ ลูกสาวแห่งทะเลจะนะนายสมบูรณ์ คำแห่ง นายมัชฌิมา เรืองสังข์ พร้อมนักศึกษา และประชาชนเข้าร่วมกว่า 100 คน
 
โดยการเสวนาครั้งนี้ มีการเรียกร้อง ไม่ยอมรับมติคณะรัฐมนตรี 21 มิถุนายน 2565 พร้อมระบุว่า ครม. เห็นชอบให้เพิ่มศูนย์อำนวยการบริหารราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ทำงานร่วมกับสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติประสานคณะอนุกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง (กรณีโครงการนิคมอุตสาหกรรมจะนะ) เพื่อดำเนินการให้เป็นธรรมกับทุกฝ่าย และโครงการใดที่ต้องชะลอจากมติ ครม. 14 ธันวาคม 2564 ก็ให้ดำเนินการต่อไปได้พร้อมไปกับการศึกษา SEA. ทั้งนี้ให้นำ ‘การทำประชามติ’ มาเป็นแนวทางหลักเพื่อการตัดสินใจต่อไป
 
การสั่งให้ยกเลิก มติ ครม. วันที่ 21 มิ.ย. 2565 นั้น โดยเป็นเสียงจากชาวบ้านว่า ไม่ต้องการให้ ศอ.บต. เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องในมติดังกล่าว จึงเรียกร้องให้รัฐบาลทำการยกเลิก และกลับไปใช้มติเดิม คือ มิติ ครม วันนี้ 14 ธันวาคม 2564 ให้หน่วยงานรัฐและทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องให้ชะลอการดำเนินการในโครงการเมืองต้นแบบที่4 (นิคมอุตสาหกรรมจะนะ) ไว้ก่อน โดย” ให้การรอประเมินสิ่งแวดล้อมในเชิงยุทธศาสตร์ SEA ให้เป็นยุติก่อนการดำเนินการใดๆต่อไป ทั้งนี้ได้มอบหมายให้สำนักงานสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห้งชาติ (สคช.)เป็นหน่วยงานหลักที่จัดให้มีการศึกษาSEAโดยให้ทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วมในการมาดำเนินการ
 
ขณะที่นายบัลลังก์ หวันหมาน นายกองค์การบริหาร องค์การศึกษา มอ.ปัตตานี ได้อ่านคำแถลงการณ์ ระบุ องค์กรกิจกรรมนักศึกษามหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์วิทยเขตปัตตานีเห็นว่ามติ ครม. เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2565 คือสะท้อนภาพของความไร้ประสิทธิภาพในการบริหารงานของรัฐบาลชุดนี้อย่างเห็นได้ชัด คือพร้อมที่จะตระบัดสัตย์ เพื่อทําลายหลักการบริหารราชการแผ่นดินด้วยการกลับกรอกไปมาเพื่อแลกกับ ผลประโยชน์เฉพาะหน้าจากคนบางกลุ่มเท่านั้น เราจึงไม่ยอมรับมติดังกล่าว มิเช่นนั้นแล้วเราองค์กรกิจกรรม นักศึกษาจะเคลื่อนไหวเพื่อให้มีการยุติโครงการนิคมอุตสาหกรรมจะนะจนถึงที่สุดข้อเรียกร้อง
 
1. ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรี 21 มิถุนายน 2565 และให้ยึดคณะมติรัฐมนตรีในวันที่ 14 ธันวาคม 2564 เพื่อให้ทุกองค์กรที่เกี่ยวข้องยุติการดําเนินงานจนกว่าจะดําเนินการประเมินผลกระทบระดับยุธศาสตร์ให้แล้ว เสร็จ SEA
 
2. รัฐบาลต้องให้ความสําคัญกับกระบวนการประเมินผลกระทบระดับยุธศาสตร์ SEA เพื่อให้เป็น ทางออกของความขัดแย้งกรณีนิคมอุตสาหกรรมจะนะและกระบวนการทางวิชาการด้วยการจัดทํา SEA ที่อยู่ ภายใต้การกํากับของสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ต้องไม่นําคู่ขัดแย้งอย่างศูนย์อํานวยการบริหาร ราชการจังหวัดชายแดนใต้ (ศอ.บต.) มาเป็นผู้ร่วมดําเนินการ ตามมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 14 ธันวาคม 2564
 
3. สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในกระบวนการการจัดทํา SEA ต้องกําหนดให้นักศึกษาเข้าไปสังเกตการณ์ในการจัดทํากระบวนการการจัดทํา SEA



ร้านอาหารจานเดียวจ่อคิวปรับราคาอีก แบกรับต้นทุนไม่ไหว
https://www.nationtv.tv/news/378878794
 
ร้านอาหารที่เคยขายราคาเดิมจานละไม่เกิน40บาท แต่ราคาต้นทุนสินค้าแทบทุกชนิดยังไม่มีแนวโน้มปรับลดลงได้ หากจำเป็นเตรียมทำใจปรับราคาบางส่วนเพิ่มจานละ5บาท ด้านลูกค้า นร.-นศ.โอด อยากให้ราคาคงเดิมหากปรับขึ้นยิ่งจะเป็นภาระต่อครอบครัวหนักซ้ำขึ้นไปอีก!
 
5 ก.ค.65  ทีมข่าวได้ลงพื้นที่สำรวจร้านอาหารจานเดียวหรืออาหารตามสั่งยอดนิยมในพื้นที่ตลาดโนนสาทร ย่านกลางเมืองชัยภูมิ ซึ่งเป็นย่านร้านค้าอยู่ในพื้นที่แห่งนี้มีให้เลือกหลากหลายหนาแน่นจำนวนมาก ทั้งร้านลาบ ก๋อย ข้าวเหนียวส้มตำ ไก่ย่าง อาหารขึ้นชื่อภาคตะวันออกเฉียงเหนือ หรือภาคอีสาน รวมทั้งร้านอาหารจานเดียว ตามสั่งทั้ง ก๋วยเตี๋ยว ข้าวขาหมู ข้าวกระเพราหมูกรอบ อาหารจานด่วนที่ใครนึกอะไรไม่ออก คือข้าวราดหมู-เนื้อกระเพรา

ปัจจุบันประชาชน นักศึกษานักศึกษาในโซนเศรษฐกิจลูกจ้างคนงาน จะมาหาเลือกซ้ำสั่งรับประทานกันจำนวนมาก เพราะมีราคาไม่แพง และล่าสุดด้าน นางสุทัศน์ ประดับชื่อ อายุ49ปี แม่ค้าขายอาหารตามสั่ง ข้าวขาหมู ที่มีลูกค้าเดินเข้าออก มาสั่งอาหารจานเดียวในทุกวัน บอกว่า ตนเองเปิดร้านอาหารจานเดียว ข้าวขาหมู ที่ จ.นครปฐม และมาตั้งร้านในพื้นที่ จ.ชัยภูมิ มาตั้งแต่ปี พ.ศ.2540ในสมัยขาหมูที่นำมาทำข้าวขาหมูกิโลกรัมละ60บาท รวมถึงหมู3ชั้น นำมาทำข้าวหมูกรอบ กิโลกรัมไม่เกิน130บาท ซึ่งจะขายทั้งข้าวขาหมู หรือข้าวหมูกรอบจานละไม่เกิน30- 40บาท มานานกว่า8ปีที่ผ่านมา ซึ่งมีลูกค้าประจำมาอุดหนุนจำนวนมากในช่วงเช้า เที่ยง และก่อนค่ำ แต่ขณะนี้ได้รับผลกระทบจากอุปกรณ์ในการประกอบอาหารทุกอย่างแพงขึ้นทุกอย่าง หลังช่วงเกินน้ำแพงแพงที่ผ่านมาหลายเดือน ไม่ว่าจะเป็นเนื้อหมู ไก่ ปลาหมึก กุ้ง รวมทั้งไข่ไก่ พริก เครื่องปรุงต่าง ๆ มีราคาสูงขึ้น ล่าสุดแก๊สหุงต้มได้ปรับราคาขึ้นอีกถังขนาด15กก.ขยับมาที่ถังละ515บาทใช้ได้เพียงไม่เกิน2 – 3พันบาท ทำให้ขณะนี้มีต้นทุนแพงสูงขึ้นจากวันละ2พันกว่าบาท ขณะนี้ต้นทุนอยู่ที่เกือบ4พันบาบาทต่อวัน ขณะนี้ที่ยังขายอาหารจานเดียว ข้าวขาหมู ข้าวหมูกรอบ ทั้งคุณภาพ ปริมาณเท่าเดิมยังคงราคาอยู่ที่จานละไม่เกิน40บาทเท่านั้น จะปรับราคาขึ้นก็ไม่ได้ กว่าลูกค้าหาย และเห็นใจลูกค้าที่เงินหายากในปัจจุบัน ทำให้เหลือกำไรลดลงเหลือเพียงวันละไม่กี่ร้อย ไม่มีเก็บเหลือพอมีช่วยค่าใช้จ่ายในครอบครัวหมดไปแต่ละวัน ยังพออยู่ได้ไม่ถึงขาดทุน และจะขายราคานี้ต่อไปจนกว่าจะรับไม่ได้ หากไม่เหลืออะไรเลยก็จำเป็นต้องปรับราคาขึ้นบางส่วนข้างจานเดียวที่เพิ่มไขดาวก็อาจจะต้องปรับขึ้นอีกจานละ5บาท
  
รวมทั้ง นางดรุณี แก้วก่า อายุ47ปี แม่ค้าร้านอาหารจานเดียว กระเพราถาด ในตลาดโนนสาทร บอกว่า เมื่อก่อนลงทุนซื้ออุปกรณ์ในการนำมาประกอบอาหารร้านอาหารตามสั่ง กระเพราถาด วันละประมาณ6พันกว่าบาท ขณะนี้ต้องเพิ่มเป็นวันละ7-8พันกว่าบาท เพิ่มขึ้นกว่าวันละ1-2พันบาท แต่ก็ยังต้องขายราคาเดิมกระเพราถาดเริ่มต้นที่40บาท/จาน จนไปถึงถาดยัก150บาท ได้ไข่ดาว5ฟอง พร้อมหมูกระเพราเต็มจนล้นถาด ส่วนลูกที่มาอุดหนุนที่ร้าน ยังเหมือนเดิมเพราะร้านยังไม่ปรับราคาปริมาณก็ยังได้เท่าเดิม ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นนักเรียน นักศึกษา และคนทำงาน ซึ่งจากนี้ไปเมื่อต้นทุนสูงขึ้นทั้งข้าวสาร ไก่ หมู อาหารทะเล เครื่องปรุง น้ำมันพืช แก๊สหุงต้มราคาสูงขึ้น ก็อยากปรับราคาแต่กลัวลูกค้าหาย ขายไม่ได้ที่ยังพออยู่ได้ในปัจจุบัน เพราะมีลูกค้าประจำมาอุดหนุนในแต่ละวันยังต่อเนื่อง และบางวันมากกว่าเมื่อก่อนเพราะราคาถูก ในราคาเริ่มต้นที่จานละ40บาททุกอย่างกินอร่อยอิ่มท้อง ทำให้มีลูกค้าอุดหนุนยังต่อเนื่อง แต่เหลือกำไรน้อยลง แต่พออยู่ได้ ก็ยังจะขอขายราคานี้ไปจนกว่าจะสู้ไม่ไหว หากมีราคาต้นทุนสูงมากไปกว่านี้อีกก็จำเป็นต้องขอปรับราคาขึ้นในบางอย่างที่จำเป็นด้วยเช่นกัน และอยากให้ลูกค้าเห็นใจ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งแก้ปัญหาต้นทุนสินค้ายังสูงขึ้นไม่หยุดแบบนี้หากยังสูงไม่หยุดอีกต่อไปไม่ไหวแล้ว
 
           ขณะที่บรรยากาศลูกค้าที่ส่วนใหญ่เป็นนักเรียนนักศึกษาย่านกลางเมืองชัยภูมิ บอกว่า อยากให้คงราคาอาหารตามสั่งและปริมาณเท่าเดิมหากลดลงก็จะกินไม่อิ่มท้อง และเพราะหากปรับขึ้นราคาก็ไม่รู้ว่าจะหาเงินมาจากไหนและเป็นภาระต่อครอบครัวที่ส่งตัวเองมาเรียนก็ยิ่งหนักเพิ่มขึ้นไปอีก เพราะรายได้พ่อแม่ในแต่ละวันก็มีรายรับเท่าเดิม แต่รายจ่ายมาเพิ่มขึ้นครอบครัวก็ยังจะยากลำบากมากขึ้นไปอีก
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่