นี่หรือสถานที่ท่องเที่ยวระดับโลก? ‘ชาวสมุย’ ร้องสายสื่อสารระโยงระยาง-หวั่นอันตราย
https://www.dailynews.co.th/news/1213684/
ชาวบ้านเกาะสมุย สุราษฎร์ธานี ร้องสายสื่อสารห้อยระโยงระยาง ประจานสถานที่ท่องเที่ยวระดับโลก วอนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งแก้ไข หวั่นเกิดอันตรายกับประชาชนและนักท่องเที่ยว
เมื่อวันที่ 4 ก.ค. ผู้สื่อข่าวได้รับการร้องเรียนจาก นายพิศาล บรมธนรัตน์ ประธานชุมชนหน้าอำเภอ นายสันต์ ทองสุข ประธานชุมชนท่าเรือหน้าทอน พร้อมด้วยชาวบ้านในชุมชนหมู่ 3 ต.อ่างทอง อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี ว่า บริเวณปากซอยโรงแรมดำรงค์ทาวน์ มีสายโทรศัพท์สายสื่อสารกองอยู่บนพื้นฟุตปาธ ถนนสายรอบเกาะสมุย โดยสภาพของสายโทรศัพท์สายสื่อสารดังกล่าวอยู่ในสภาพรกรุงรัง ห้อยลงมาถึงฟุตบาทดูไม่สวยงาม ที่สำคัญอาจเป็นอันตรายกับประชาชนและนักท่องเที่ยว โดยมีนาย
ปกรณ์ กาญจนโอภาส รองนายกเทศมนตรีนครเกาะสมุย นายอภิชัย ใจดี นายวีระพงษ์ คำรอบ สมาชิกสภาเทศบาลนครเกาะสมุย ร่วมดูจุดที่เกิดปัญหา
โดยจุดดังกล่าวอยู่ติดถนนสายหลักของเกาะสมุย จึงทำให้มีประชาชนและผู้ใช้ถนนดูไม่สวยงามไม่สมกับเป็นเมืองท่องเที่ยวระดับโลก นอกจากนี้ยังพบว่ากล่องและสายโทรศัพท์ และสายสื่อสารดังกล่าวติดตั้งอยู่บนเสาคอนกรีตที่เก่าที่สำคัญเสาอยู่ในสภาพที่เอียงพร้อมที่จะล้ม จึงทำให้ชาวบ้านหวั่นวิตกว่าจะเกิดอันตรายขึ้นได้ทั้งเสาไฟและสายสายสื่อสารที่ห้อยลงมา ถึงแม้ที่ผ่านมาอำเภอเกาะสมุย และเทศบาลนครเกาะสมุย ได้เคยเรียกบริษัทสื่อสารต่างๆ เข้าประชุมแก้ปัญหาทำให้มีการจัดเก็บสายเป็นระเบียบมากขึ้น แต่เมื่อช่างของบริษัทสื่อสารต่างๆ มาดำเนินการเดินสายสื่อสาร สายโทรศัพท์ใหม่ก็จะอยู่สภาพที่รกรุงรังหลังจากทำงานเสร็จก็จะทิ้งสายสื่อสารไว้
ด้านนาย
สันต์ กล่าวว่า จุดที่สายสื่อสารสายโทรศัพท์รกรุงรังอยู่นี้ เป็นจุดที่มีผู้ใช้รถใช้ถนนและใช้ทางเท้าฟุตปาธทั้งคนไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินผ่านเป็นหลัก ทั้งนี้เนื่องจากสายสื่อสารที่อยู่กับเสาไฟฟ้ายังได้ทำให้เสาเอนใกล้จะล้มหวั่นเกิดอันตราย จึงอยากฝากเรื่องนี้ให้กับบริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับการสื่อสารบนเกาะสมุย และมีส่วนเกี่ยวข้องกับสายสื่อสารสายโทรศัพท์ ที่กองอยู่กับพื้นริมถนนบริเวณหน้าโรงแรมดำรงค์ทาวน์ ให้ดำเนินการให้เรียบร้อยเพราะอาจเกิดอันตรายได้
นาย
สันต์ กล่าวต่อว่า สายที่รกรุงรังบนพื้นและบนเสาอาจทำให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวเดินก็สะดุดล้ม หรืออาจจะพันคอผู้ที่เดินผ่านแล้วไม่ระวัง หรืออาจเกี่ยวเขาที่บริเวณตาได้ ที่สำคัญทำให้เมืองท่องเที่ยวอย่างเกาะสมุยขาดความสวยงาม เป็นที่ประจานต่อสายตานักท่องเที่ยวและชาวโลก จึงฝากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาดูแลด้วย.
หวั่นบาทอ่อนยวบจ่อ 35.75 หลังฟันด์โฟลว์ไหลออกต่อเนื่อง-จับตาเงินเฟ้อพุ่ง 8%
https://www.matichon.co.th/economy/news_3434546
หวั่นบาทอ่อนยวบจ่อ 35.75 หลังฟันด์โฟลว์ไหลออกต่อเนื่อง-จับตาเงินเฟ้อพุ่ง 8%
นาย
พูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 35.59 บาทต่อเหรียญสหรัฐ แข็งค่าขึ้นจากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้า ที่ระดับ 35.65 บาทต่อเหรียญสหรัฐ โดยมองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 35.30-35.80 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ส่วนกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 35.50-35.70 บาทต่อเหรียญสหรัฐ โดยสัปดาห์นี้ ตลาดจะรอจับตารายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ รวมถึงรายงานการประชุมของเฟดและธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) เพื่อประเมินทิศทางนโยบายการเงินของธนาคารกลางหลัก
นาย
พูนกล่าวว่า เงินเฟ้อทั่วไปของไทยเดือนมิถุนายนอาจปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 8.0% สูงกว่าตลาดคาด 7.5% ตามการปรับตัวขึ้นของราคาสินค้าพลังงาน รวมถึงอาหารและการส่งผ่านต้นทุนสินค้าที่เพิ่มมากขึ้น หากเงินเฟ้อสูงกว่าคาดอาจทำให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนหวังว่าอาจมีการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) รอบพิเศษเพื่อปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งมุมมองดังกล่าวอาจทำให้บอนด์ยีลด์ระยะสั้นผันผวนและปรับตัวสูงขึ้นได้ นอกจากนี้ ปัญหาเงินเฟ้อกดดันการใช้จ่ายของผู้บริโภคส่งผลให้ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคลดลงสู่ระดับ 40 จุด ในเดือนมิถุนายน กดดันแนวโน้มการบริโภคของครัวเรือนในระยะนี้ได้
สำหรับแนวโน้มค่าเงินบาทมีโอกาสอ่อนค่าทดสอบแนวต้านใหม่ 35.75 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ตามภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดที่กดดันฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติไหลออกต่อเนื่อง นอกจากนี้ ต้องระวังความผันผวนของเงินบาทช่วงรับรู้รายงานเงินเฟ้อทั่วไป ทั้งนี้ การอ่อนค่าของเงินบาทอาจถูกชะลอด้วยแรงขายของผู้ส่งออกที่ต่างรอจังหวะเงินบาทอ่อนค่า รวมถึงโฟลว์ธุรกรรมขายทำกำไรการรีบาวด์ของราคาทองคำอย่างไรก็ตาม เงินบาทจะยังไม่อ่อนค่าทะลุระดับ 36.00 บาทต่อเหรียญสหรัฐไปได้ไกล หากตลาดไม่ได้กังวลว่าจีนจะใช้มาตรการล็อกดาวน์อีกครั้งในบางพื้นที่ จนหันมาเทขายสินทรัพย์ฝั่ง EM Asia ทั้งหุ้นและบอนด์ อย่างรุนแรง
“ช่วงตลาดการเงินยังมีความผันผวนสูง ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลาย อาทิ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน”นาย
พูนกล่าว
กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB Financial Markets) เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 35.50-35.70 บาทต่อเหรียญสหรัฐ โดยเงินบาทยังคงอ่อนค่าทำจุดสูงสุดใหม่เทียบกับค่าเงินเหรียญสหรัฐเมื่อวันศุกร์ที่ค่าเงินเหรียญสหรัฐยังคงแข็งค่า สืบเนื่องมาจากความกังวลภาวะเศรษฐกิจถดถอย หลังจากสหรัฐขึ้นดอกเบี้ยเพื่อคุมเงินเฟ้อที่มีอัตราสูงสุดในทศวรรษ ขณะที่ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนมิถุนายนของยูโรโซนอยู่ที่ 8.6% สูงกว่าตลาดคาด แต่ค่าเงินยูโรยังคงอ่อนค่า เนื่องจากท่าทีของธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) ต่อการขึ้นดอกเบี้ยในรอบนี้ไม่ได้เปลี่ยนแปลง สัปดาห์นี้ติดตามตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรสหรัฐซึ่งตลาดคาดที่ 270,000 และรายงานผลการประชุมเฟด
“สุทิน” เมินท่าทีพรรครบ. เปลี่ยนไปสูตรบัญชีรายชื่อ
https://www.innnews.co.th/news/news_367858/
“สุทิน”เมิน ท่าที รัฐบาลเปลี่ยนไปสูตรบัญชีรายชื่อ มั่นใจเสร็จตามกรอบ 2 วัน ไม่แคร์ หากมีใครยื่นศาล รธน.
นาย
สุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) กล่าวถึงการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เกี่ยวกับการคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ว่า จสกการที่ได้พิจารณาข้อกฎหมาย โดยเฉพาะรัฐธรรมนูญที่เป็นกฎหมายแม่ ไม่มีช่องทางที่จะให้ใช้วิธีคำนวณโดยการหารด้วย 500 ได้ หรือจะมีก็เป็นเพียงช่องเล็ก แต่มีการเอื้อและส่งผลให้ใช้การคำนวณด้วยการหารด้วย 100 มากกว่า
ซึ่งหากมีการใช้วิธีการด้วย 500 เชื่อว่าจะเกิดปัญหาขึ้นในอนาคต ดังนั้นก่อนที่ปัญหาจะเกิดขึ้นในอนาคตเราต้องแก้ปัญหาวันนี้ก่อนดีกว่า และเชื่อว่าการประชุมร่วมรัฐสภาในวันที่ 5-6 ก.ค. นี้จะมีการถกเถียงในประเด็นนี้อย่างมาก
ส่วนท่าทีของพรรคร่วมรัฐบาลที่มีการเปลี่ยนไปนั้นจะทำให้เกิดปัญหาหรือไม่นั้น มองว่าไม่เป็นไร เมื่อมีปัญหาก็ถกเถียงกันให้เสร็จสิ้นกระบวนความ ซึ่งพรรคร่วมฝ่ายค้านก็ไม่ได้กังวลเรื่องของกรอบเวลา แต่ยังเชื่อว่าจะสามารถพิจารณาได้เสร็จภายใน 2 วัน แต่หากไม่เสร็จก็ต้องขอขยายเวลา แต่ทั้งนี้ก็ยังไม่เห็นเหตุผลอะไรที่จะลากระยะเวลาออกไปและการยื้อเวลาออกไปรัฐบาลก็ไม่ได้เป็นผลดีอะไร ทำให้เสร็จไปเลยจะดีกว่า ส่วนหากใครติดใจประเด็นไรก็ให้ไปยื่นศาลรัฐธรรมนูญตีความต่อ
ส่วนท่าทีที่พรรคร่วมรัฐบาลมีการเปลี่ยนท่าที เพราะกังวลว่าพรรคเพื่อไทยจะเกิดแลนด์สไลด์นั้น เป็นสิ่งที่พรรคเพื่อไทยเป็นห่วงอยู่อย่างเดียวว่าจะเลือกวิธีหารด้วย 500หรือ 100 คือการที่ไปคิดยึดติดกับการได้เปรียบหรือเสียเปรียบของพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง ซึ่งไม่เป็นการยึดหลักของเหตุผล เพราะการเลือกตั้งคนจะชนะนั้นปัจจัยเดียวคือศรัทธาของประชาชน
เรื่องระบบการเลือกตั้งมีส่วนช่วยได้นิดเดียว ดังนั้นหากศรัทธาประชาชนอยู่ที่ใครก็เอาไม่อยู่ จึงอย่ากังวล ไปทำดีกับประชาชนดีกว่าใครไม่มีผลงานก็ให้รีบทำ อีกทั้งพรรคเพื่อไทยก็ไม่ได้คิดว่าการหารด้วย 100 จะทำให้พรรคเพื่อได้เกิดแลนด์สไลด์ แต่คิดว่าเกิดจากผลงานในอดีตประกอบกับความทุกข์ยากของประชาชนมากกว่า
ถ้าเราคิดว่ามาวางระบบให้ดี ให้กับการเลือกตั้ง ให้มันเป็นธรรม อย่าคิดเพียงวันนี้ แต่ให้คิดถึงวันหน้าด้วย ใครจะเป็นรัฐบาล ใครจะเลือกตั้งวันหน้าถัดไปหากเอาหลักคิดนี้ก็ไม่ใช่เรื่องยากและจะทำให้กฎหมายผ่านไปได้เร็วอีกด้วย
JJNY : ‘ชาวสมุย’ร้องสายสื่อสารระโยงระยาง│หวั่นบาทอ่อนยวบ│“สุทิน”เมินท่าทีพรรครบ.เปลี่ยนไป│"สุทิน" ถามรัฐบาล กลัวอะไร
https://www.dailynews.co.th/news/1213684/
ชาวบ้านเกาะสมุย สุราษฎร์ธานี ร้องสายสื่อสารห้อยระโยงระยาง ประจานสถานที่ท่องเที่ยวระดับโลก วอนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งแก้ไข หวั่นเกิดอันตรายกับประชาชนและนักท่องเที่ยว
เมื่อวันที่ 4 ก.ค. ผู้สื่อข่าวได้รับการร้องเรียนจาก นายพิศาล บรมธนรัตน์ ประธานชุมชนหน้าอำเภอ นายสันต์ ทองสุข ประธานชุมชนท่าเรือหน้าทอน พร้อมด้วยชาวบ้านในชุมชนหมู่ 3 ต.อ่างทอง อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี ว่า บริเวณปากซอยโรงแรมดำรงค์ทาวน์ มีสายโทรศัพท์สายสื่อสารกองอยู่บนพื้นฟุตปาธ ถนนสายรอบเกาะสมุย โดยสภาพของสายโทรศัพท์สายสื่อสารดังกล่าวอยู่ในสภาพรกรุงรัง ห้อยลงมาถึงฟุตบาทดูไม่สวยงาม ที่สำคัญอาจเป็นอันตรายกับประชาชนและนักท่องเที่ยว โดยมีนายปกรณ์ กาญจนโอภาส รองนายกเทศมนตรีนครเกาะสมุย นายอภิชัย ใจดี นายวีระพงษ์ คำรอบ สมาชิกสภาเทศบาลนครเกาะสมุย ร่วมดูจุดที่เกิดปัญหา
โดยจุดดังกล่าวอยู่ติดถนนสายหลักของเกาะสมุย จึงทำให้มีประชาชนและผู้ใช้ถนนดูไม่สวยงามไม่สมกับเป็นเมืองท่องเที่ยวระดับโลก นอกจากนี้ยังพบว่ากล่องและสายโทรศัพท์ และสายสื่อสารดังกล่าวติดตั้งอยู่บนเสาคอนกรีตที่เก่าที่สำคัญเสาอยู่ในสภาพที่เอียงพร้อมที่จะล้ม จึงทำให้ชาวบ้านหวั่นวิตกว่าจะเกิดอันตรายขึ้นได้ทั้งเสาไฟและสายสายสื่อสารที่ห้อยลงมา ถึงแม้ที่ผ่านมาอำเภอเกาะสมุย และเทศบาลนครเกาะสมุย ได้เคยเรียกบริษัทสื่อสารต่างๆ เข้าประชุมแก้ปัญหาทำให้มีการจัดเก็บสายเป็นระเบียบมากขึ้น แต่เมื่อช่างของบริษัทสื่อสารต่างๆ มาดำเนินการเดินสายสื่อสาร สายโทรศัพท์ใหม่ก็จะอยู่สภาพที่รกรุงรังหลังจากทำงานเสร็จก็จะทิ้งสายสื่อสารไว้
ด้านนายสันต์ กล่าวว่า จุดที่สายสื่อสารสายโทรศัพท์รกรุงรังอยู่นี้ เป็นจุดที่มีผู้ใช้รถใช้ถนนและใช้ทางเท้าฟุตปาธทั้งคนไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินผ่านเป็นหลัก ทั้งนี้เนื่องจากสายสื่อสารที่อยู่กับเสาไฟฟ้ายังได้ทำให้เสาเอนใกล้จะล้มหวั่นเกิดอันตราย จึงอยากฝากเรื่องนี้ให้กับบริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับการสื่อสารบนเกาะสมุย และมีส่วนเกี่ยวข้องกับสายสื่อสารสายโทรศัพท์ ที่กองอยู่กับพื้นริมถนนบริเวณหน้าโรงแรมดำรงค์ทาวน์ ให้ดำเนินการให้เรียบร้อยเพราะอาจเกิดอันตรายได้
นายสันต์ กล่าวต่อว่า สายที่รกรุงรังบนพื้นและบนเสาอาจทำให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวเดินก็สะดุดล้ม หรืออาจจะพันคอผู้ที่เดินผ่านแล้วไม่ระวัง หรืออาจเกี่ยวเขาที่บริเวณตาได้ ที่สำคัญทำให้เมืองท่องเที่ยวอย่างเกาะสมุยขาดความสวยงาม เป็นที่ประจานต่อสายตานักท่องเที่ยวและชาวโลก จึงฝากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาดูแลด้วย.
หวั่นบาทอ่อนยวบจ่อ 35.75 หลังฟันด์โฟลว์ไหลออกต่อเนื่อง-จับตาเงินเฟ้อพุ่ง 8%
https://www.matichon.co.th/economy/news_3434546
หวั่นบาทอ่อนยวบจ่อ 35.75 หลังฟันด์โฟลว์ไหลออกต่อเนื่อง-จับตาเงินเฟ้อพุ่ง 8%
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 35.59 บาทต่อเหรียญสหรัฐ แข็งค่าขึ้นจากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้า ที่ระดับ 35.65 บาทต่อเหรียญสหรัฐ โดยมองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 35.30-35.80 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ส่วนกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 35.50-35.70 บาทต่อเหรียญสหรัฐ โดยสัปดาห์นี้ ตลาดจะรอจับตารายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ รวมถึงรายงานการประชุมของเฟดและธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) เพื่อประเมินทิศทางนโยบายการเงินของธนาคารกลางหลัก
นายพูนกล่าวว่า เงินเฟ้อทั่วไปของไทยเดือนมิถุนายนอาจปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 8.0% สูงกว่าตลาดคาด 7.5% ตามการปรับตัวขึ้นของราคาสินค้าพลังงาน รวมถึงอาหารและการส่งผ่านต้นทุนสินค้าที่เพิ่มมากขึ้น หากเงินเฟ้อสูงกว่าคาดอาจทำให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนหวังว่าอาจมีการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) รอบพิเศษเพื่อปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งมุมมองดังกล่าวอาจทำให้บอนด์ยีลด์ระยะสั้นผันผวนและปรับตัวสูงขึ้นได้ นอกจากนี้ ปัญหาเงินเฟ้อกดดันการใช้จ่ายของผู้บริโภคส่งผลให้ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคลดลงสู่ระดับ 40 จุด ในเดือนมิถุนายน กดดันแนวโน้มการบริโภคของครัวเรือนในระยะนี้ได้
สำหรับแนวโน้มค่าเงินบาทมีโอกาสอ่อนค่าทดสอบแนวต้านใหม่ 35.75 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ตามภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดที่กดดันฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติไหลออกต่อเนื่อง นอกจากนี้ ต้องระวังความผันผวนของเงินบาทช่วงรับรู้รายงานเงินเฟ้อทั่วไป ทั้งนี้ การอ่อนค่าของเงินบาทอาจถูกชะลอด้วยแรงขายของผู้ส่งออกที่ต่างรอจังหวะเงินบาทอ่อนค่า รวมถึงโฟลว์ธุรกรรมขายทำกำไรการรีบาวด์ของราคาทองคำอย่างไรก็ตาม เงินบาทจะยังไม่อ่อนค่าทะลุระดับ 36.00 บาทต่อเหรียญสหรัฐไปได้ไกล หากตลาดไม่ได้กังวลว่าจีนจะใช้มาตรการล็อกดาวน์อีกครั้งในบางพื้นที่ จนหันมาเทขายสินทรัพย์ฝั่ง EM Asia ทั้งหุ้นและบอนด์ อย่างรุนแรง
“ช่วงตลาดการเงินยังมีความผันผวนสูง ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลาย อาทิ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน”นายพูนกล่าว
กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB Financial Markets) เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 35.50-35.70 บาทต่อเหรียญสหรัฐ โดยเงินบาทยังคงอ่อนค่าทำจุดสูงสุดใหม่เทียบกับค่าเงินเหรียญสหรัฐเมื่อวันศุกร์ที่ค่าเงินเหรียญสหรัฐยังคงแข็งค่า สืบเนื่องมาจากความกังวลภาวะเศรษฐกิจถดถอย หลังจากสหรัฐขึ้นดอกเบี้ยเพื่อคุมเงินเฟ้อที่มีอัตราสูงสุดในทศวรรษ ขณะที่ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนมิถุนายนของยูโรโซนอยู่ที่ 8.6% สูงกว่าตลาดคาด แต่ค่าเงินยูโรยังคงอ่อนค่า เนื่องจากท่าทีของธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) ต่อการขึ้นดอกเบี้ยในรอบนี้ไม่ได้เปลี่ยนแปลง สัปดาห์นี้ติดตามตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรสหรัฐซึ่งตลาดคาดที่ 270,000 และรายงานผลการประชุมเฟด
“สุทิน” เมินท่าทีพรรครบ. เปลี่ยนไปสูตรบัญชีรายชื่อ
https://www.innnews.co.th/news/news_367858/
“สุทิน”เมิน ท่าที รัฐบาลเปลี่ยนไปสูตรบัญชีรายชื่อ มั่นใจเสร็จตามกรอบ 2 วัน ไม่แคร์ หากมีใครยื่นศาล รธน.
นายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) กล่าวถึงการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เกี่ยวกับการคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ว่า จสกการที่ได้พิจารณาข้อกฎหมาย โดยเฉพาะรัฐธรรมนูญที่เป็นกฎหมายแม่ ไม่มีช่องทางที่จะให้ใช้วิธีคำนวณโดยการหารด้วย 500 ได้ หรือจะมีก็เป็นเพียงช่องเล็ก แต่มีการเอื้อและส่งผลให้ใช้การคำนวณด้วยการหารด้วย 100 มากกว่า
ซึ่งหากมีการใช้วิธีการด้วย 500 เชื่อว่าจะเกิดปัญหาขึ้นในอนาคต ดังนั้นก่อนที่ปัญหาจะเกิดขึ้นในอนาคตเราต้องแก้ปัญหาวันนี้ก่อนดีกว่า และเชื่อว่าการประชุมร่วมรัฐสภาในวันที่ 5-6 ก.ค. นี้จะมีการถกเถียงในประเด็นนี้อย่างมาก
ส่วนท่าทีของพรรคร่วมรัฐบาลที่มีการเปลี่ยนไปนั้นจะทำให้เกิดปัญหาหรือไม่นั้น มองว่าไม่เป็นไร เมื่อมีปัญหาก็ถกเถียงกันให้เสร็จสิ้นกระบวนความ ซึ่งพรรคร่วมฝ่ายค้านก็ไม่ได้กังวลเรื่องของกรอบเวลา แต่ยังเชื่อว่าจะสามารถพิจารณาได้เสร็จภายใน 2 วัน แต่หากไม่เสร็จก็ต้องขอขยายเวลา แต่ทั้งนี้ก็ยังไม่เห็นเหตุผลอะไรที่จะลากระยะเวลาออกไปและการยื้อเวลาออกไปรัฐบาลก็ไม่ได้เป็นผลดีอะไร ทำให้เสร็จไปเลยจะดีกว่า ส่วนหากใครติดใจประเด็นไรก็ให้ไปยื่นศาลรัฐธรรมนูญตีความต่อ
ส่วนท่าทีที่พรรคร่วมรัฐบาลมีการเปลี่ยนท่าที เพราะกังวลว่าพรรคเพื่อไทยจะเกิดแลนด์สไลด์นั้น เป็นสิ่งที่พรรคเพื่อไทยเป็นห่วงอยู่อย่างเดียวว่าจะเลือกวิธีหารด้วย 500หรือ 100 คือการที่ไปคิดยึดติดกับการได้เปรียบหรือเสียเปรียบของพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง ซึ่งไม่เป็นการยึดหลักของเหตุผล เพราะการเลือกตั้งคนจะชนะนั้นปัจจัยเดียวคือศรัทธาของประชาชน
เรื่องระบบการเลือกตั้งมีส่วนช่วยได้นิดเดียว ดังนั้นหากศรัทธาประชาชนอยู่ที่ใครก็เอาไม่อยู่ จึงอย่ากังวล ไปทำดีกับประชาชนดีกว่าใครไม่มีผลงานก็ให้รีบทำ อีกทั้งพรรคเพื่อไทยก็ไม่ได้คิดว่าการหารด้วย 100 จะทำให้พรรคเพื่อได้เกิดแลนด์สไลด์ แต่คิดว่าเกิดจากผลงานในอดีตประกอบกับความทุกข์ยากของประชาชนมากกว่า
ถ้าเราคิดว่ามาวางระบบให้ดี ให้กับการเลือกตั้ง ให้มันเป็นธรรม อย่าคิดเพียงวันนี้ แต่ให้คิดถึงวันหน้าด้วย ใครจะเป็นรัฐบาล ใครจะเลือกตั้งวันหน้าถัดไปหากเอาหลักคิดนี้ก็ไม่ใช่เรื่องยากและจะทำให้กฎหมายผ่านไปได้เร็วอีกด้วย