ชาวนาน้ำตาซึม ต้นทุนทำนาพุ่งไม่หยุด ทะลุ 6 พันบาทต่อไร่
https://ch3plus.com/news/economy/morning/298106
พันตำรวจโท
สิทธิพงษ์ ม่วงแจ่ม กรรมการผู้จัดการ บริษัท วิสาหกิจเพื่อสังคมชาวนาไทย กล่าวว่า ปัจจุบันต้นทุนการทำนาราคาจาก 3 – 4 พันบาทต่อไร่ เพิ่มขึ้นเป็น 5-6 พันบาทต่อไร่ โดยเฉพาะต้นทุนที่มาจากราคาปุ๋ย ซึ่งปรับเพิ่มขึ้นกว่า 3 เท่าตัว จากกระสอบละ 500- 600 บาท เป็น 1.6 -1.7 พันบาทแล้ว
วันนี้ (27 มิ.ย.) กระทรวงพาณิชย์เปิดไฟเขียวให้ผู้ประกอบการปรับราคาขายได้ตามต้นทุน ซึ่งก็ไม่รู้ว่าราคาจะไปหยุดที่เท่าใด และยังถูกซ้ำเติมด้วยราคาน้ำมันดีเซลอีก ทำให้ในขณะที่ปัจจุบันราคาข้าวเปลือกลดลงเหลือเฉลี่ยตันละ 8,000 บาท เมื่อหักต้นทุน ชาวนาจะเหลือกำไรแค่ 1,000 กว่าบาทต่อตันเท่านั้น
หอการค้าไทยห่วงภาคส่งออกครึ่งปีหลังชะลอตัว
https://www.nationtv.tv/news/378877911
การที่ธนาคารกลางสหรัฐ ใช้วิธีการขึ้นดอกเบี้ยควบคุมอัตราเงินเฟ้อที่ปัจจุบันพุ่งขึ้นสูงถึง 8.6% คาดว่าเฟดจะขึ้นดอกเบี้ยในช่วงที่เหลือของปี 2565 อีก 1.75% ในช่วง 4 ครั้งที่เหลือของปีนี้สู่ระดับ 3.40% เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่จะคุมเงินเฟ้อ ซึ่งจะอยู่ในอัตรา 3.5-4.0%
รองประธานกรรมการหอการค้าไทย และนายกกิตติมศักดิ์สมาคมผู้ผลิตอาหารสำเร็จรูป
วิศิษฐ์ ลิ้มลือชา ระบุ ผู้ส่งออกได้ติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจสหรัฐอย่างใกล้ชิด โดยการที่ธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟด ใช้วิธีการขึ้นดอกเบี้ยเพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อที่ปัจจุบันพุ่งขึ้นสูงถึง 8.6% และคาดว่าเฟดจะขึ้นดอกเบี้ยอีกในช่วงที่เหลือของปี 2565 จะขึ้นดอกเบี้ยช่วงที่เหลือปีนี้อีก 1.75% ในช่วง 4 ครั้งที่เหลือของปีนี้สู่ระดับ 3.40% เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่จะคุมเงินเฟ้อ ซึ่งจะอยู่ในอัตรา 3.5-4.0%
ทั้งนี้ การขึ้นอัตราดอกเบี้ยในระดับสูงมากก็มีโอกาสที่จะทำให้เศรษฐกิจสหรัฐอ่อนแอลงได้ในช่วงครึ่งหลังของปี 2566 อาจนำไปสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย
นอกจากนี้ แม้ภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐมีการเติบโตลดลงจากปัจจัยเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นสูง แต่มีรายงานระบุว่าดัชนีกำลังซื้อทั้งภาคค้าปลีกของประชาชน และอัตราการว่างงานมีการลดลงเพียงเล็กน้อย และภาคธุรกิจยังมีการลงทุนอยู่ จึงคาดว่าปัจจุบันสถานการณ์เศรษฐกิจสหรัฐยังไม่ถดถอย แต่ทั้งนี้ต้องติดตามใกล้ชิดเพราะเศรษฐกิจและเงินเฟ้อสหรัฐส่งผลต่อเศรษฐกิจโลกและกำลังซื้อสหรัฐ ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อภาคการส่งออกของไทย เพราะสหรัฐเป็นคู่ค้าสำคัญของไทย โดยเป็นตลาดอันดับ 1 คิดเป็นสัดส่วน 15% ของการส่งออกไทยทั้งหมด
สำหรับมูลค่าการส่งออกช่วง 4 เดือน แรกของปี 2565 การส่งออกของไทยไปยังสหรัฐยังเติบโตต่อเนื่อง โดยถือเป็นแนวโน้มที่ดีในขณะที่การส่งออกปี 2564 ไทยส่งออกไปตลาดสหรัฐมีมูลค่า 41,912 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 21.9%
ทั้งนี้ สินค้าส่งออก 15 อันดับ ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ, ผลิตภัณฑ์ยาง, เครื่องโทรสาร โทรศัพท์อุปกรณ์และส่วนประกอบ, เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ, อัญมณีและเครื่องประดับ, รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ, เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ เครื่องจักกลและส่วนประกอบของเครื่องจักรกล
เครื่องใช้ไฟฟ้าและส่วนประกอบอื่นๆ, อุปกรณ์กึ่งตัวนำ ทรานซิสเตอร์และไดโอด, อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป, หม้อแปลงไฟฟ้าและส่วนประกอบ, เครื่องรับวิทยุ โทรทัศน์และส่วนประกอบ, เครื่องนุ่งหุ่ม, เตาอบไมโครเวฟและเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ให้ความร้อน
นอกจากนี้ในส่วนสินค้าอาหารมีตลาดสหรัฐเป็นคู่ค้าสำคัญ โดยไทยส่งออกสินค้าอาหารไปสหรัฐคิดเป็นสัดส่วนที่12% ของสินค้าอาหารส่งออกทั้งหมด ซ่ึงในช่วง 4 เดือน แรกของปีนี้ ยังขยายตัว และมีสินค้าส่งออกสคำัญ เช่น อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป, ผลไม้กระป๋องและแปรรูป, อาหารสัตว์เลี้ยง, ข้าวอาหารสำเร็จรูป โดยสินค้าที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องมาตลอด 3 ปี ได้แก่ ผักและผลไม้กระป๋องและแปรรูปอาหารสัตว์เลี้ยง, อาหารสำเร็จรูป, สิ่งปรุงรส, ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง, ผลไม้สดแช่แข็งและแห้ง
แนวโน้มครึ่งปีหลังการส่งออกไปสหรัฐคาดว่าน่าจะลดลงเมื่อเทียบกับต้นปีที่ความต้องการสินค้า (pent up demand)จากสถานการณ์โควิดดีขึ้น บวกกับความกังวลสินค้าบางรายการขาดแคลน ซึ่งสาเหตุหลักมาจากผลกระทบเงินเฟ้อจะทำให้การบริโภค กำลังซื้อ การลงทุนลดลงจากการขึ้นดอกเบี้ย กิจกรรมทางเศรษฐกิจลดการเติบโต
นอกจากนี้ปัญหาคอนเทนเนอร์จะถูกจีนดึงกลับไปอีกครั้งหนึ่งหากจีนส่งสินค้าเข้าสหรัฐได้มากขึ้นในสถานการณ์ขณะนี้หาตู้สินค้าได้ง่ายขึ้นแต่ราคายังไม่ลงแต่หากจีนดึงตู้กลับไปก็จะอาจทำให้เกิดปัญหาตู้ไม่พอหมุนเวียนอีกครั้งแต่ภาพรวมการส่งออกไปยังตลาดสหรัฐเชื่อว่ายังเป็นบวก
รายได้ไม่พอรายจ่าย เตือนดอกเบี้ยขาขึ้น อาจจุดชนวนระเบิดหนี้ครัวเรือน
https://www.thairath.co.th/business/feature/2430117
KKP Research วิเคราะห์ว่า เมื่อเงินเฟ้อกลับมาจนนโยบายการเงินต้องกลับมาตึงตัวอย่างรวดเร็วเช่นในปัจจุบันและอัตราดอกเบี้ยเริ่มปรับสูงขึ้น ย่อมส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจจากหนี้ที่อยู่ในระดับสูงรวมทั้งเศรษฐกิจไทยที่มีหนี้ในระดับสูงเช่นกัน
ปัญหาใหญ่ของครัวเรือนไทย
สำหรับประเทศไทย กลุ่มที่มีความน่ากังวลมากที่สุด คือ หนี้ในภาคครัวเรือนที่ในปัจจุบันเพิ่มสูงขึ้นเกิน 90% ของ GDP และสูงเป็นลำดับที่ 11 ของโลก ซึ่งเกิดจากภาคครัวเรือนมีรายได้ไม่เพียงพอกับรายจ่าย โดยเฉพาะครัวเรือนรายได้น้อยที่สุด 20% แรกที่มีรายได้ต่อเดือนเฉลี่ยเพียงประมาณ 10,000 บาท ขณะที่ค่าใช้จ่ายต่อเดือนอยู่ที่ 12,000 บาท และครัวเรือนจำเป็นต้องมีการกู้ยืมเงินเพื่อบริโภค
ทำให้ไทยมีสัดส่วนหนี้เพื่อการบริโภคระยะสั้นเมื่อเทียบกับหนี้ครัวเรือนทั้งหมดมากกว่าประเทศพัฒนาแล้ว ในขณะที่รายได้ต่อหัวของไทยยังอยู่ในระดับต่ำมากเมื่อเทียบกับประเทศที่มีการก่อหนี้ในระดับใกล้เคียงกัน หมายความว่าไทยเป็นประเทศรายได้ต่อหัวยังไม่สูง แต่ครัวเรือนกลับมีหนี้สูงมากที่สุดแห่งหนึ่งในโลก
ผลกระทบหนักกว่าประเทศอื่น
ปัญหาหนี้ครัวเรือนไทยมีโอกาสส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจรุนแรงและหนักกว่าประเทศอื่น เนื่องจากไทยที่เป็นหนึ่งในประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำด้านความมั่งคั่งสูงที่สุดในโลกตามรายงานของ Credit Suisse ทำให้หนี้มีแนวโน้มกระจุกตัวอยู่ในครัวเรือนรายได้น้อยที่ปกติมีรายได้ไม่เพียงพอและมีสัดส่วนสินทรัพย์ต่อหนี้ที่ต่ำกว่า
ทำให้เมื่อดอกเบี้ยสูงขึ้นครัวเรือนกลุ่มนี้ต้องลดการบริโภคลงเพื่อมาจ่ายหนี้แทนจนกลายเป็นปัญหาต่อเศรษฐกิจ ยิ่งไปกว่านั้นครัวเรือนรายได้น้อยยังมีตะกร้าสินค้าในกลุ่มอาหารและพลังงานสูงกว่าค่าเฉลี่ยทำให้ได้รับผลกระทบจากเงินเฟ้อมากกว่า ส่งผลให้เงินออมลดลง ความสามารถในการจ่ายคืนหนี้ลดลง และจะทำให้ทิศทางหนี้เสียของไทยมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นในระยะข้างหน้า
แนวโน้มไทยจะเป็นแบบญี่ปุ่น
สถานการณ์เศรษฐกิจไทยมีความคล้ายคลึงกับประเทศญี่ปุ่น เริ่มตั้งแต่หนี้ที่อยู่ในระดับสูงมาก นโยบายการเงินผ่อนคลาย แต่เศรษฐกิจไม่เติบโตเพราะถูกปัญหาหนี้กดดันในระยะยาว ส่วนที่ต่างกันคือญี่ปุ่นเป็นประเทศรายได้สูงแล้ว แต่ไทยยังเป็นประเทศรายได้ปานกลาง
KKP Research ประเมินว่าในสถานการณ์ที่อัตราดอกเบี้ยปรับตัวสูงขึ้นเศรษฐกิจไทยจะได้รับผลกระทบจากปัญหาหนี้ชัดเจนขึ้นและกำลังจะเข้าสู่ "วัฏจักรเศรษฐกิจขาลง" ที่ยาวนาน โดยผลกระทบจะเกิดจาก
1. ภาระหนี้ที่จะปรับสูงขึ้นตามทิศทางอัตราดอกเบี้ย โดยสัดส่วนหนี้ที่ได้รับผลกระทบโดยตรง คือ ดอกเบี้ยแบบผันแปร เช่น สินเชื่อสำหรับธุรกิจ ซึ่งอยู่ในระดับประมาณ 34% ของหนี้ครัวเรือนทั้งหมด
2. หนี้ครัวเรือนที่สูงขึ้นจะทำให้การบริโภคเติบโตช้าลง หนี้ที่เพิ่มสูงขึ้นจะเห็นผลกระทบต่อเศรษฐกิจชัดเจนในช่วงหลังจากนั้นประมาณ 3-5 ปี และจะรุนแรงขึ้นหากหนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับเกิน 80% ซึ่งตรงกับไทยทั้งสองข้อ
3. การกระตุ้นการบริโภคด้วยหนี้จะถึงทางตัน แม้ว่าการประเมินจุดสูงสุดของวัฏจักรหนี้จะทำได้ยาก แต่ไทยมีระดับหนี้ที่ใกล้เคียงกับจุดสูงสุดของหนี้ในอดีตของหลายประเทศ หากเป็นเช่นนั้นจริงการเติบโตของการบริโภคที่ถูกขับเคลื่อนด้วยหนี้ครัวเรือนจะไม่สามารถเติบโตได้อีกต่อไป
KKP Research ประเมินว่า หากเศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะใช้คืนหนี้ หรือ Deleverage โดยเริ่มชำระหนี้คืนจนหนี้ต่อ GDP เริ่มปรับตัวลดลง จะทำให้แรงส่งต่อการบริโภคหายไปประมาณ 1.3% และเศรษฐกิจเติบโตได้ชะลอลงไปประมาณ 0.7% หรือทำให้เศรษฐกิจไทยโตได้ช้าและซึมยาว
วิกฤติการเงินรอบใหม่
การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในภาวะที่หนี้ครัวเรือนสูงเป็นสัญญาณของวิกฤติเศรษฐกิจหลายครั้งในอดีต อย่างไรก็ตาม KKP Research ประเมินว่าโอกาสที่จะเกิดวิกฤติในระยะสั้นของไทยยังอยู่ในระดับต่ำ เนื่องจากไทยยังมีเสถียรภาพด้านต่างประเทศที่แข็งแรง ตั้งแต่การเกินดุลบัญชีเดินสะพัด ภาระหนี้ต่างประเทศน้อย สถาบันการเงินมีความแข็งแกร่ง และเงินสำรองระหว่างประเทศในระดับสูง แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าในระยะยาวยังมีความเสี่ยงที่ต้องติดตาม คือ
1. การสูญเสียความสามารถในการแข่งขันของไทยที่อาจทำให้ดุลบัญชีเดินสะพัดติดลบ เงินบาทที่อ่อนค่า ผนวกกับหนี้สูงอาจนำไปสู่ภาวะวิกฤติได้
2. การเปลี่ยนทิศทางนโยบายการเงินในระยะยาวของประเทศเศรษฐกิจหลัก ในกรณีที่ปัญหา Stagflation รุนแรงขึ้น
3. ภาคการท่องเที่ยวที่อาจไม่กลับมาเติบโตได้ดีเหมือนเก่า กระแสโลกาภิวัตน์ที่เริ่มย้อนกลับและการกลับมาส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศของเศรษฐกิจจีนทำให้ดุลบัญชีเดินสะพัดไทยอาจไม่กลับไปเกินดุลได้มากเท่าเดิม
ปัญหาเชิงโครงสร้าง
นโยบายการเงินที่ยังคงผ่อนคลายสามารถแก้ปัญหาในระยะสั้นได้แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นการยืดปัญหาเชิงโครงสร้างที่ยังไม่ถูกแก้ไขออกไป ปัญหาใหญ่ที่สุดที่ทำให้หนี้ครัวเรือนไทยอยู่ในระดับที่สูงมากเกิดจาก เศรษฐกิจที่แทบไม่เติบโตในช่วงที่ผ่านมาและทำให้ประชาชนมีรายได้ไม่เพียงพอกับรายจ่าย ท้ายที่สุดการจะแก้ไขปัญหาหนี้อย่างยั่งยืนจึงจำเป็นต้องมุ่งไปที่การปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจให้แข่งขันและเติบโตได้ในระยะยาว
KKP Research ประเมินว่าไม่มีประเทศใดที่ปฏิรูปเศรษฐกิจได้สำเร็จในเวลาอันสั้นและนโยบายการเงินจะยังต้องมีบทบาทในการควบคุมลักษณะของวัฏจักรหนี้ โดยนโยบายการเงินต้องไม่สนับสนุนให้เศรษฐกิจของประเทศเติบโตด้วยหนี้ต่อไปซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจมีอาการซึมยาว (ทางออกที่ 1)
ขณะเดียวกันการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อนำเศรษฐกิจเข้าสู่การ Deleverage ต้องระวังไม่ให้เร็วเกินไปและนำไปสู่ภาวะวิกฤติ (ทางออกที่ 2) ซึ่งความท้าทายของนโยบายการเงินกำลังมีมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะเศรษฐกิจกำลังจะเจอแรงกดดันด้านเงินเฟ้อและวัฏจักรนโยบายการเงินโลกขาขึ้น
มองในแง่ดี หากวัฏจักรหนี้กำลังจะผ่านจุดสูงสุดในช่วงหลังจากนี้จริงแล้ว การมองเห็นปัญหาของเศรษฐกิจไทยและศักยภาพการเติบโตที่แท้จริงก็จะเริ่มเป็นไปได้อย่างไม่บิดเบือน เพราะไม่มีหนี้มาช่วยให้โตอีกต่อไป ซึ่งจะเป็นสัญญาณเร่งการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจเพื่อยกระดับการเติบโตของรายได้ในระยะยาวในที่สุด.
JJNY : 6in1 ชาวนาน้ำตาซึม│หอค้าห่วงส่งออก│ชนวนระเบิดหนี้ครัวเรือน│ก.พลังงานถกเครียด│ณัฐชาจับตางบฯสตช.│ลูกรัฐมนตรีคนไหน!
https://ch3plus.com/news/economy/morning/298106
วันนี้ (27 มิ.ย.) กระทรวงพาณิชย์เปิดไฟเขียวให้ผู้ประกอบการปรับราคาขายได้ตามต้นทุน ซึ่งก็ไม่รู้ว่าราคาจะไปหยุดที่เท่าใด และยังถูกซ้ำเติมด้วยราคาน้ำมันดีเซลอีก ทำให้ในขณะที่ปัจจุบันราคาข้าวเปลือกลดลงเหลือเฉลี่ยตันละ 8,000 บาท เมื่อหักต้นทุน ชาวนาจะเหลือกำไรแค่ 1,000 กว่าบาทต่อตันเท่านั้น
หอการค้าไทยห่วงภาคส่งออกครึ่งปีหลังชะลอตัว
https://www.nationtv.tv/news/378877911
การที่ธนาคารกลางสหรัฐ ใช้วิธีการขึ้นดอกเบี้ยควบคุมอัตราเงินเฟ้อที่ปัจจุบันพุ่งขึ้นสูงถึง 8.6% คาดว่าเฟดจะขึ้นดอกเบี้ยในช่วงที่เหลือของปี 2565 อีก 1.75% ในช่วง 4 ครั้งที่เหลือของปีนี้สู่ระดับ 3.40% เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่จะคุมเงินเฟ้อ ซึ่งจะอยู่ในอัตรา 3.5-4.0%
รองประธานกรรมการหอการค้าไทย และนายกกิตติมศักดิ์สมาคมผู้ผลิตอาหารสำเร็จรูป
วิศิษฐ์ ลิ้มลือชา ระบุ ผู้ส่งออกได้ติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจสหรัฐอย่างใกล้ชิด โดยการที่ธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟด ใช้วิธีการขึ้นดอกเบี้ยเพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อที่ปัจจุบันพุ่งขึ้นสูงถึง 8.6% และคาดว่าเฟดจะขึ้นดอกเบี้ยอีกในช่วงที่เหลือของปี 2565 จะขึ้นดอกเบี้ยช่วงที่เหลือปีนี้อีก 1.75% ในช่วง 4 ครั้งที่เหลือของปีนี้สู่ระดับ 3.40% เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่จะคุมเงินเฟ้อ ซึ่งจะอยู่ในอัตรา 3.5-4.0%
ทั้งนี้ การขึ้นอัตราดอกเบี้ยในระดับสูงมากก็มีโอกาสที่จะทำให้เศรษฐกิจสหรัฐอ่อนแอลงได้ในช่วงครึ่งหลังของปี 2566 อาจนำไปสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย
นอกจากนี้ แม้ภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐมีการเติบโตลดลงจากปัจจัยเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นสูง แต่มีรายงานระบุว่าดัชนีกำลังซื้อทั้งภาคค้าปลีกของประชาชน และอัตราการว่างงานมีการลดลงเพียงเล็กน้อย และภาคธุรกิจยังมีการลงทุนอยู่ จึงคาดว่าปัจจุบันสถานการณ์เศรษฐกิจสหรัฐยังไม่ถดถอย แต่ทั้งนี้ต้องติดตามใกล้ชิดเพราะเศรษฐกิจและเงินเฟ้อสหรัฐส่งผลต่อเศรษฐกิจโลกและกำลังซื้อสหรัฐ ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อภาคการส่งออกของไทย เพราะสหรัฐเป็นคู่ค้าสำคัญของไทย โดยเป็นตลาดอันดับ 1 คิดเป็นสัดส่วน 15% ของการส่งออกไทยทั้งหมด
สำหรับมูลค่าการส่งออกช่วง 4 เดือน แรกของปี 2565 การส่งออกของไทยไปยังสหรัฐยังเติบโตต่อเนื่อง โดยถือเป็นแนวโน้มที่ดีในขณะที่การส่งออกปี 2564 ไทยส่งออกไปตลาดสหรัฐมีมูลค่า 41,912 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 21.9%
ทั้งนี้ สินค้าส่งออก 15 อันดับ ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ, ผลิตภัณฑ์ยาง, เครื่องโทรสาร โทรศัพท์อุปกรณ์และส่วนประกอบ, เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ, อัญมณีและเครื่องประดับ, รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ, เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ เครื่องจักกลและส่วนประกอบของเครื่องจักรกล
เครื่องใช้ไฟฟ้าและส่วนประกอบอื่นๆ, อุปกรณ์กึ่งตัวนำ ทรานซิสเตอร์และไดโอด, อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป, หม้อแปลงไฟฟ้าและส่วนประกอบ, เครื่องรับวิทยุ โทรทัศน์และส่วนประกอบ, เครื่องนุ่งหุ่ม, เตาอบไมโครเวฟและเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ให้ความร้อน
นอกจากนี้ในส่วนสินค้าอาหารมีตลาดสหรัฐเป็นคู่ค้าสำคัญ โดยไทยส่งออกสินค้าอาหารไปสหรัฐคิดเป็นสัดส่วนที่12% ของสินค้าอาหารส่งออกทั้งหมด ซ่ึงในช่วง 4 เดือน แรกของปีนี้ ยังขยายตัว และมีสินค้าส่งออกสคำัญ เช่น อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป, ผลไม้กระป๋องและแปรรูป, อาหารสัตว์เลี้ยง, ข้าวอาหารสำเร็จรูป โดยสินค้าที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องมาตลอด 3 ปี ได้แก่ ผักและผลไม้กระป๋องและแปรรูปอาหารสัตว์เลี้ยง, อาหารสำเร็จรูป, สิ่งปรุงรส, ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง, ผลไม้สดแช่แข็งและแห้ง
แนวโน้มครึ่งปีหลังการส่งออกไปสหรัฐคาดว่าน่าจะลดลงเมื่อเทียบกับต้นปีที่ความต้องการสินค้า (pent up demand)จากสถานการณ์โควิดดีขึ้น บวกกับความกังวลสินค้าบางรายการขาดแคลน ซึ่งสาเหตุหลักมาจากผลกระทบเงินเฟ้อจะทำให้การบริโภค กำลังซื้อ การลงทุนลดลงจากการขึ้นดอกเบี้ย กิจกรรมทางเศรษฐกิจลดการเติบโต
นอกจากนี้ปัญหาคอนเทนเนอร์จะถูกจีนดึงกลับไปอีกครั้งหนึ่งหากจีนส่งสินค้าเข้าสหรัฐได้มากขึ้นในสถานการณ์ขณะนี้หาตู้สินค้าได้ง่ายขึ้นแต่ราคายังไม่ลงแต่หากจีนดึงตู้กลับไปก็จะอาจทำให้เกิดปัญหาตู้ไม่พอหมุนเวียนอีกครั้งแต่ภาพรวมการส่งออกไปยังตลาดสหรัฐเชื่อว่ายังเป็นบวก
รายได้ไม่พอรายจ่าย เตือนดอกเบี้ยขาขึ้น อาจจุดชนวนระเบิดหนี้ครัวเรือน
https://www.thairath.co.th/business/feature/2430117
KKP Research วิเคราะห์ว่า เมื่อเงินเฟ้อกลับมาจนนโยบายการเงินต้องกลับมาตึงตัวอย่างรวดเร็วเช่นในปัจจุบันและอัตราดอกเบี้ยเริ่มปรับสูงขึ้น ย่อมส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจจากหนี้ที่อยู่ในระดับสูงรวมทั้งเศรษฐกิจไทยที่มีหนี้ในระดับสูงเช่นกัน
ปัญหาใหญ่ของครัวเรือนไทย
สำหรับประเทศไทย กลุ่มที่มีความน่ากังวลมากที่สุด คือ หนี้ในภาคครัวเรือนที่ในปัจจุบันเพิ่มสูงขึ้นเกิน 90% ของ GDP และสูงเป็นลำดับที่ 11 ของโลก ซึ่งเกิดจากภาคครัวเรือนมีรายได้ไม่เพียงพอกับรายจ่าย โดยเฉพาะครัวเรือนรายได้น้อยที่สุด 20% แรกที่มีรายได้ต่อเดือนเฉลี่ยเพียงประมาณ 10,000 บาท ขณะที่ค่าใช้จ่ายต่อเดือนอยู่ที่ 12,000 บาท และครัวเรือนจำเป็นต้องมีการกู้ยืมเงินเพื่อบริโภค
ทำให้ไทยมีสัดส่วนหนี้เพื่อการบริโภคระยะสั้นเมื่อเทียบกับหนี้ครัวเรือนทั้งหมดมากกว่าประเทศพัฒนาแล้ว ในขณะที่รายได้ต่อหัวของไทยยังอยู่ในระดับต่ำมากเมื่อเทียบกับประเทศที่มีการก่อหนี้ในระดับใกล้เคียงกัน หมายความว่าไทยเป็นประเทศรายได้ต่อหัวยังไม่สูง แต่ครัวเรือนกลับมีหนี้สูงมากที่สุดแห่งหนึ่งในโลก
ผลกระทบหนักกว่าประเทศอื่น
ปัญหาหนี้ครัวเรือนไทยมีโอกาสส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจรุนแรงและหนักกว่าประเทศอื่น เนื่องจากไทยที่เป็นหนึ่งในประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำด้านความมั่งคั่งสูงที่สุดในโลกตามรายงานของ Credit Suisse ทำให้หนี้มีแนวโน้มกระจุกตัวอยู่ในครัวเรือนรายได้น้อยที่ปกติมีรายได้ไม่เพียงพอและมีสัดส่วนสินทรัพย์ต่อหนี้ที่ต่ำกว่า
ทำให้เมื่อดอกเบี้ยสูงขึ้นครัวเรือนกลุ่มนี้ต้องลดการบริโภคลงเพื่อมาจ่ายหนี้แทนจนกลายเป็นปัญหาต่อเศรษฐกิจ ยิ่งไปกว่านั้นครัวเรือนรายได้น้อยยังมีตะกร้าสินค้าในกลุ่มอาหารและพลังงานสูงกว่าค่าเฉลี่ยทำให้ได้รับผลกระทบจากเงินเฟ้อมากกว่า ส่งผลให้เงินออมลดลง ความสามารถในการจ่ายคืนหนี้ลดลง และจะทำให้ทิศทางหนี้เสียของไทยมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นในระยะข้างหน้า
แนวโน้มไทยจะเป็นแบบญี่ปุ่น
สถานการณ์เศรษฐกิจไทยมีความคล้ายคลึงกับประเทศญี่ปุ่น เริ่มตั้งแต่หนี้ที่อยู่ในระดับสูงมาก นโยบายการเงินผ่อนคลาย แต่เศรษฐกิจไม่เติบโตเพราะถูกปัญหาหนี้กดดันในระยะยาว ส่วนที่ต่างกันคือญี่ปุ่นเป็นประเทศรายได้สูงแล้ว แต่ไทยยังเป็นประเทศรายได้ปานกลาง
KKP Research ประเมินว่าในสถานการณ์ที่อัตราดอกเบี้ยปรับตัวสูงขึ้นเศรษฐกิจไทยจะได้รับผลกระทบจากปัญหาหนี้ชัดเจนขึ้นและกำลังจะเข้าสู่ "วัฏจักรเศรษฐกิจขาลง" ที่ยาวนาน โดยผลกระทบจะเกิดจาก
1. ภาระหนี้ที่จะปรับสูงขึ้นตามทิศทางอัตราดอกเบี้ย โดยสัดส่วนหนี้ที่ได้รับผลกระทบโดยตรง คือ ดอกเบี้ยแบบผันแปร เช่น สินเชื่อสำหรับธุรกิจ ซึ่งอยู่ในระดับประมาณ 34% ของหนี้ครัวเรือนทั้งหมด
2. หนี้ครัวเรือนที่สูงขึ้นจะทำให้การบริโภคเติบโตช้าลง หนี้ที่เพิ่มสูงขึ้นจะเห็นผลกระทบต่อเศรษฐกิจชัดเจนในช่วงหลังจากนั้นประมาณ 3-5 ปี และจะรุนแรงขึ้นหากหนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับเกิน 80% ซึ่งตรงกับไทยทั้งสองข้อ
3. การกระตุ้นการบริโภคด้วยหนี้จะถึงทางตัน แม้ว่าการประเมินจุดสูงสุดของวัฏจักรหนี้จะทำได้ยาก แต่ไทยมีระดับหนี้ที่ใกล้เคียงกับจุดสูงสุดของหนี้ในอดีตของหลายประเทศ หากเป็นเช่นนั้นจริงการเติบโตของการบริโภคที่ถูกขับเคลื่อนด้วยหนี้ครัวเรือนจะไม่สามารถเติบโตได้อีกต่อไป
KKP Research ประเมินว่า หากเศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะใช้คืนหนี้ หรือ Deleverage โดยเริ่มชำระหนี้คืนจนหนี้ต่อ GDP เริ่มปรับตัวลดลง จะทำให้แรงส่งต่อการบริโภคหายไปประมาณ 1.3% และเศรษฐกิจเติบโตได้ชะลอลงไปประมาณ 0.7% หรือทำให้เศรษฐกิจไทยโตได้ช้าและซึมยาว
วิกฤติการเงินรอบใหม่
การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในภาวะที่หนี้ครัวเรือนสูงเป็นสัญญาณของวิกฤติเศรษฐกิจหลายครั้งในอดีต อย่างไรก็ตาม KKP Research ประเมินว่าโอกาสที่จะเกิดวิกฤติในระยะสั้นของไทยยังอยู่ในระดับต่ำ เนื่องจากไทยยังมีเสถียรภาพด้านต่างประเทศที่แข็งแรง ตั้งแต่การเกินดุลบัญชีเดินสะพัด ภาระหนี้ต่างประเทศน้อย สถาบันการเงินมีความแข็งแกร่ง และเงินสำรองระหว่างประเทศในระดับสูง แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าในระยะยาวยังมีความเสี่ยงที่ต้องติดตาม คือ
1. การสูญเสียความสามารถในการแข่งขันของไทยที่อาจทำให้ดุลบัญชีเดินสะพัดติดลบ เงินบาทที่อ่อนค่า ผนวกกับหนี้สูงอาจนำไปสู่ภาวะวิกฤติได้
2. การเปลี่ยนทิศทางนโยบายการเงินในระยะยาวของประเทศเศรษฐกิจหลัก ในกรณีที่ปัญหา Stagflation รุนแรงขึ้น
3. ภาคการท่องเที่ยวที่อาจไม่กลับมาเติบโตได้ดีเหมือนเก่า กระแสโลกาภิวัตน์ที่เริ่มย้อนกลับและการกลับมาส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศของเศรษฐกิจจีนทำให้ดุลบัญชีเดินสะพัดไทยอาจไม่กลับไปเกินดุลได้มากเท่าเดิม
ปัญหาเชิงโครงสร้าง
นโยบายการเงินที่ยังคงผ่อนคลายสามารถแก้ปัญหาในระยะสั้นได้แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นการยืดปัญหาเชิงโครงสร้างที่ยังไม่ถูกแก้ไขออกไป ปัญหาใหญ่ที่สุดที่ทำให้หนี้ครัวเรือนไทยอยู่ในระดับที่สูงมากเกิดจาก เศรษฐกิจที่แทบไม่เติบโตในช่วงที่ผ่านมาและทำให้ประชาชนมีรายได้ไม่เพียงพอกับรายจ่าย ท้ายที่สุดการจะแก้ไขปัญหาหนี้อย่างยั่งยืนจึงจำเป็นต้องมุ่งไปที่การปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจให้แข่งขันและเติบโตได้ในระยะยาว
KKP Research ประเมินว่าไม่มีประเทศใดที่ปฏิรูปเศรษฐกิจได้สำเร็จในเวลาอันสั้นและนโยบายการเงินจะยังต้องมีบทบาทในการควบคุมลักษณะของวัฏจักรหนี้ โดยนโยบายการเงินต้องไม่สนับสนุนให้เศรษฐกิจของประเทศเติบโตด้วยหนี้ต่อไปซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจมีอาการซึมยาว (ทางออกที่ 1)
ขณะเดียวกันการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อนำเศรษฐกิจเข้าสู่การ Deleverage ต้องระวังไม่ให้เร็วเกินไปและนำไปสู่ภาวะวิกฤติ (ทางออกที่ 2) ซึ่งความท้าทายของนโยบายการเงินกำลังมีมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะเศรษฐกิจกำลังจะเจอแรงกดดันด้านเงินเฟ้อและวัฏจักรนโยบายการเงินโลกขาขึ้น
มองในแง่ดี หากวัฏจักรหนี้กำลังจะผ่านจุดสูงสุดในช่วงหลังจากนี้จริงแล้ว การมองเห็นปัญหาของเศรษฐกิจไทยและศักยภาพการเติบโตที่แท้จริงก็จะเริ่มเป็นไปได้อย่างไม่บิดเบือน เพราะไม่มีหนี้มาช่วยให้โตอีกต่อไป ซึ่งจะเป็นสัญญาณเร่งการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจเพื่อยกระดับการเติบโตของรายได้ในระยะยาวในที่สุด.