เดือดอีก! ม็อบไล่นายกฯ เคลื่อนขบวนสามเหลี่ยมดินแดง คฝ.กระชับพื้นที่
https://www.dailynews.co.th/news/1138222/
ม็อบไล่นายกฯ เคลื่อนขบวนสามเหลี่ยมดินแดงขว้างปาขวดแก้ว ขวดน้ำ รวมทั้งประทัดเป็นระยะ ตำรวจคฝ. ตรึงกำลังกระชับพื้นที่ เตรียมรถจีโน่ไว้ป้องกันเหตุ
เมื่อวันที่ 11 มิ.ย. บรรยากาศตลอดทั้งวันมวลชนที่ร่วมกิจกรรม
“เดินไล่ตู่” ได้เดินขบวนจากอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยไปยังอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เพื่อทำกิจกรรมแสดงสัญลักษณ์พร้อมเรียกร้องให้พล.อ.
ประยุทธ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ลาออกจากตำแหน่งพร้อมกับทำการยุบสภา และแก้ไขรัฐธรรมนูญ จากนั้น ได้มีมวลชนบางส่วนได้แยกออกมาจากพื้นที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิเพื่อมารวมตัวกันที่สามเหลี่ยมดินแดง ท่ามกลางเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ตรึงกำลังและเตรียมรถจีโน่ไว้ป้องกันเหตุ และรถขยายเสียงเพื่อประชาสัมพันธ์ บริเวณกรมดุริยางค์ทหารบกถนนวิภาวดีรังสิต
ทันทีที่ทางมวลชนได้เห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจนั้นตรึงกำลังได้มีการขว้างปาขวดแก้ว ขวดน้ำ รวมทั้งปาประทัดเป็นระยะ กระทั่งเวลา 19.00 น. กำลังของเจ้าที่ตำรวจควบคุมฝูงชนได้เคลื่อนตัวกระชับพื้นที่ทั้ง 3 ด้าน ประกอบไปด้วย ด้านถนนวิภาวดีรังสิต ด้านถนนดินแดงมุ่งหน้าอนุสาวรีย์ และ ด้านใต้ด่วนดินแดงบริเวณวัดสะพาน หน้าสำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ทำให้มวลชนกระจายตัวออกไป ปักหลักอยู่บริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ
ต้นทุนพุ่ง “เอสเอ็มอี” ขั้นโคม่า ชงรัฐจัดจ้างแก้หนี้-เติมทุนหนุนนวัตกรรม
https://www.prachachat.net/economy/news-951502
วิกฤตเงินเฟ้อ-ต้นทุนวัตถุดิบพุ่งทุบซ้ำวิกฤตโควิดลากมา 2 ปี เอสเอ็มอีหนี้ท่วมนับล้านราย พับกิจการเปลี่ยนอาชีพ สมาพันธ์ ชง 4 ข้อเสนอวอนรัฐช่วย เร่งแก้หนี้ เพิ่มทุน สร้างนวัตกรรม ปรับกฎหมาย ฟื้นโครงการจัดจ้างภาครัฐอัพไซซ์ซื้อสินค้ารายย่อยเพิ่มจาก 30% เป็น 50%
นาย
แสงชัย ธีรกุลวานิช ประธานสมาพันธ์ SME ไทย เปิดเผย “
ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ขณะนี้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยได้รับผลกระทบอย่างหนัก จากปัญหาวิกฤตโควิดสะสมต่อเนื่องมาตลอด 2 ปี ซึ่งเพิ่งเริ่มคลี่คลาย แต่ก็มาได้รับผลกระทบจากวิกฤตสงครามรัสเซียที่ทำให้ต้นทุนวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตทั้งราคาพลังงาน ปุ๋ย อาหารสัตว์ เหล็ก ปรับราคาสูงขึ้นอีก ทำให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีประสบปัญหาสภาพคล่อง เข้าไม่ถึงแหล่งเงินทุน และรายที่เหลืออยู่ต้องเผชิญภาระต้นทุนเพิ่มไม่สามารถปรับราคาสินค้าได้
ทั้งนี้ ปัจจุบันจำนวนเอสเอ็มอีไทยในระบบตามข้อมูลของ สสว. มีจำนวน 3.1-3.2 ล้านราย ซึ่งในจำนวนนี้เป็นนิติบุคคล 700,000 รายที่เหลือเป็นบุคคลธรรมดา วิสาหกิจชุมชนอยู่ประมาณ 90,000 ราย เอสเอ็มอีอิสระอีก 7 ล้านราย และเอสเอ็มอีที่อยู่ตามมาตรา 40 ประกันสังคม อีกนับจำนวน 10 ล้านคน
“หลังจากผ่านโควิดมา 2 ปี ตอนนี้จะเรียกว่ามีเอสเอ็มอีที่ต้องพับกิจการไปชั่วคราว เปลี่ยนอาชีพ เปลี่ยนธุรกิจ ซึ่งเราจะเห็นได้ชัดในกลุ่มของเอสเอ็มอีที่เป็นบุคคลธรรมดา เช่น พ่อค้าแม่ค้าขายอาหาร ผู้ให้บริการในธุรกิจบริการ เช่น สปา หรือที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยว ที่ตอนนี้หลายรายไม่สามารถทนภาวะต้นทุนที่เพิ่มจากวิกฤตเรื่องพลังงานและวัตถุดิบอาหาร อีกทั้งล่าสุดเงินเฟ้อสูงขึ้น 7.1% กระทบต่อค่าครองชีพอีกเราเข้าใจว่าขณะนี้มีผู้ประกอบการกระทบนับล้านราย เช่น ธุรกิจร้านอาหารวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้นกระทบต้นทุน 20% ซึ่งต้องยอมรับความจริงว่า วันนี้ธุรกิจส่วนที่เป็นฟู้ดดีลิเวอรี่มีค่าใช้จ่ายสูงถึง 30% ถ้าเอาตัวเลขนี้มาบวกกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้น 20% รวมแล้วต้นทุนจะเพิ่มขึ้น 50% ซึ่งผู้ประกอบการไม่สามารถจะตรึงราคาได้แต่หากจะไปขึ้นราคาก็จะกระทบผู้บริโภคอีกเพราะผู้บริโภคก็กำลังซื้อลดลง รายได้น้อยลง ถ้าไม่ปรับเลยผลกำไรก็อยู่ไม่ได้ ดังนั้น วันนี้ต้องร่วมมือกันขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหา”
นาย
แสงชัยกล่าวว่า แนวโน้มธุรกิจเอสเอ็มอีในครึ่งปีหลัง สิ่งที่น่ากลัวที่สุด คือ ปัญหาเรื่องการแก้หนี้ ทั้งกลุ่มหนี้เสีย และปัญหาหนี้นอกระบบจากสภาพที่เอสเอ็มอีได้รับผลกระทบมา 2 ปีเต็ม 2 ปีที่เกิดภาวะชะงักงัน โดยเฉพาะเอสเอ็มอีภาคบริการ ซึ่งเป็นเอสเอ็มอีส่วนใหญ่ของประเทศไทย รองลงมาก็จะเป็นภาคการค้า ภาคการผลิต และภาคการเกษตรปัญหาก็คือจะแก้หนี้อย่างไร เพื่อที่จะรองรับมาตรการต่าง ๆ เพื่อให้เกิดความยั่งยืน
นาย
แสงชัยกล่าวว่า ข้อเสนอที่ต้องการให้ภาครัฐเข้ามาช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีใน 4 ด้านหลัก คือ 1) การแก้ปัญหาหนี้ 2) การเพิ่มทุน 3) การส่งเสริมด้านนวัตกรรม และ 4) การปรับปรุงกฎหมายสร้างแต้มต่อให้เอสเอ็มอี และแก้ระเบียบในเรื่องการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ เพื่อให้ซื้อสินค้าเอสเอ็มอีมากขึ้น
ล่าสุดทางสมาพันธ์เอสเอ็มอีได้ทำงานร่วมกับสถาบันการเงินทั้งธนาคารออมสิน และเอสเอ็มอีแบงก์ ในการสร้างที่ปรึกษาทางการเงินในการแก้หนี้ และร่วมมือกับกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมดำเนินการให้ความรู้ด้านการเงิน (financial literacy) ให้กับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเพื่อให้เขาแก้หนี้อย่างเป็นระบบและสามารถเข้าถึงแหล่งทุนได้ตามปกติ
“วันนี้อัตราส่วนของผู้ที่ได้รับสินเชื่อมีอยู่เพียงไม่ถึง 30% ของจำนวนผู้ขอรับสินเชื่อทั้งหมด แล้วอีก 70% ไปไหน ทางสมาพันธ์เอสเอ็มอีอยากให้ภาครัฐเข้ามาดูแลผู้ประกอบการเอสเอ็มอี 70% ที่เข้าไม่ถึงสินเชื่อในการเป็นพี่เลี้ยงมีระบบให้คำปรึกษา เพื่อให้ใน 3 เดือน หรือ 6 เดือน เขาสามารถกลับมาอยู่ในระบบทางการเงินได้ สามารถดำเนินธุรกิจต่อไป นี่จะเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความยั่งยืน นอกจากนี้การสร้างวินัยทางการเงินจะลดปัญหาหนี้นอกระบบและหนี้เสียให้ลดลงด้วย”
“การแก้หนี้เติมทุน การขับเคลื่อนผู้ประกอบการเอสเอ็มอีด้วยนวัตกรรมในการพัฒนาสินค้าและบริการ เป็นเรื่องสำคัญ ในวันนี้มีหน่วยงานต่าง ๆ เข้ามาช่วยสมาพันธ์ เช่น มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กระทรวง อว. ไม่ว่าจะเป็น NIA สวทช. สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย เพื่อขับเคลื่อนพัฒนานวัตกรรมของประเทศไทยให้เป็นไปได้ด้วยดี ส่วนเรื่องการแก้ไขกฎหมายของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีในการทำธุรกิจเพื่อให้แต้มต่อ โดยเฉพาะเรื่องการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ SME-GP ที่มีสัดส่วน 30% ของมูลค่าการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐ ควรนำกลับมาใช้ใหม่ และเพิ่มให้เป็น 50% เพื่อช่วยให้กระจายการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐมาสร้างรายได้ให้กับธุรกิจเอสเอ็มอี เราพบว่าโครงการนี้ในปี 2564 ทำมาได้ดีถึง 40% เกินเป้าหมาย”
กรุงเทพโพลล์ ระบุหลังโควิดซา พบ 57.7% เห็นโอกาสริเริ่มธุรกิจ แต่ขาดเงินทุน
https://www.nationtv.tv/news/378876149
กรุงเทพโพลล์ เผยผลสำรวจ เรื่อง"คนไทยคิดอย่างไรกับโอกาสในการเป็นเจ้าของธุรกิจ หลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย" พบร้อยละ 57.7 เห็นโอกาสสำหรับการริเริ่มธุรกิจในอนาคต สูงขึ้นจากการสำรวจครั้งก่อน 11.7% พบปัญหาไม่กล้าเริ่มต้นธุรกิจ เนื่องจากไม่มีเงินทุนมากถึง 46.1%
11 มิถุนายน 2565 กรุงเทพโพลล์ ร่วมกับคณะการสร้างเจ้าของธุรกิจและการบริหารกิจการ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ เผยสำรวจความเห็นประชาชนเรื่อง คนไทยคิดอย่างไรกับโอกาสในการเป็นเจ้าของธุรกิจ หลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย (ครั้งที่ 3) ด้วยการสุ่มโทรศัพท์สัมภาษณ์จากประชาชนกลุ่มตัวอย่างทั่วประเทศจำนวน 1,121 คน ระหว่างวันที่ 30 พ.ค.-2 มิ.ย.65 แล้วนำมาเปรียบเทียบกับการสำรวจครั้งที่ 2 เมื่อเดือน มี.ค.65 พบว่า
กลุ่มตัวอย่าง 57.7% เห็นโอกาสหรือความพร้อมสำหรับการริเริ่มธุรกิจในอนาคตมากที่สุด เพิ่มขึ้น 11.7% จากการสำรวจครั้งก่อน
รองลงมา 53.1% มีความตั้งใจที่จะประกอบธุรกิจในอนาคตข้างหน้า เพิ่มขึ้น 10.8% จากการสำรวจครั้งก่อน ตามด้วย 51.7% เห็นว่ามีความรู้ความสามารถ รวมถึงทักษะและประสบการณ์ที่จำเป็นในการที่จะเริ่มทำธุรกิจใหม่ เพิ่มขึ้น 11.8 จากการสำรวจครั้งก่อน
ขณะที่กลุ่มตัวอย่าง 64.2% ไม่อยากลงทุนทำธุรกิจเพราะกลัวความล้มเหลว เพิ่มขึ้น 1.9% จากการสำรวจครั้งก่อน
ทั้งนี้พบว่า สาเหตุที่ไม่กล้าเริ่มต้นธุรกิจของตัวเองมากที่สุด คือ ไม่มีเงินทุนมากพอ 46.1% รองลงมาคือกลัวล้มเหลว กลัวขาดทุน 42.5% ตามด้วยราคาน้ำมันเชื้อเพลิงต่างๆ สูงขึ้น 40.6%, กลัวทำแล้วเกิดสถานการณ์ไม่คาดฝัน เช่น โรคระบาด ภัยธรรมชาติ 33.9% และคิดว่างานที่ทำอยู่มั่นคงแล้ว เลี้ยงตัวเองได้แล้ว 31.7%
อย่างไรก็ตาม กลุ่มตัวอย่าง 63.2% เห็นว่าเมื่อสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายอยากเริ่มต้นธุรกิจใหม่ค่อนข้างมากถึงมากที่สุด ส่วนอีก 36.8% อยากเริ่มต้นธุรกิจใหม่ค่อนข้างน้อยถึงน้อยที่สุด
รายละเอียดผลสำรวจทั้งหมด >>
คลิกที่นี่
ขอบคุณข้อมูล :
ฐานเศรษฐกิจ
เพื่อไทยฮึ่มจัดหนัก อภิปรายนายกฯ-รมต. ขู่หลังศึกฟอกมียื่นป.ป.ช. -ศาลรธน.แน่
https://www.khaosod.co.th/politics/news_7105578
เลขาธิการพรรคเพื่อไทย ฮึ่มจัดหนัก ยันอภิปรายนายกฯ และรัฐมนตรีรวม10 คน ขู่หลังศึกฟอกมียื่น ป.ป.ช. -ศาลรธน.แน่
วันที่ 11 มิ.ย.2565 นายประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย (พท.) เปิดเผยถึงความพร้อมการอภิปรายไม่ไว้วางใจในส่วนของพรรคพท.ว่า ตอนนี้ข้อมูลของพรรคพท.มีความพร้อม และวางตัวผู้อภิปรายไว้หมดแล้ว
เหลือเพียงการซักซ้อมให้อภิปรายพุ่งเป้าตรงประเด็นกับข้อกล่าวหา ที่จะนำไปร้องต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) หรือศาลรัฐธรรมนูญ หลังการอภิปรายเสร็จสิ้น เพราะเนื้อหาที่จะอภิปรายครั้งนี้ จะชี้ชัดว่าผู้ถูกอภิปรายกระทำผิดกฎหมาย ที่จะต้องให้สองหน่วยงานนี้ดำเนินการ เช่น การทุจริตในโครงการต่างๆของหลายกระทรวง รวมถึงการปล่อยปะละเลยให้การบริหารราชการเกิดความเสียหายต่อประชาชน
เมื่อถามถึงจำนวนรัฐมนตรีที่ถูกอภิปรายจะมีมากกว่า 10 คนตามที่ได้แถลงไปหรือไม่ นายประเสริฐ กล่าวว่า ขณะนี้ยืนยันว่าจะอภิปรายนายกฯ และรัฐมนตรีรวมทั้งสิ้น 10 คนตามที่ได้แถลงข่าวไป และอยู่ระหว่างการสรุปญัตติเพื่อยื่นต่อประธานสภาฯวันที่ 15 มิ.ย.นี้
JJNY : 5in1 ม็อบเคลื่อนขบวน│ต้นทุนพุ่งเอสเอ็มอีโคม่า│กท.โพลล์พบ 57.7% ขาดเงินทุน│เพื่อไทยฮึ่มจัดหนัก│จีนพร้อมทำสงคราม
https://www.dailynews.co.th/news/1138222/
ม็อบไล่นายกฯ เคลื่อนขบวนสามเหลี่ยมดินแดงขว้างปาขวดแก้ว ขวดน้ำ รวมทั้งประทัดเป็นระยะ ตำรวจคฝ. ตรึงกำลังกระชับพื้นที่ เตรียมรถจีโน่ไว้ป้องกันเหตุ
เมื่อวันที่ 11 มิ.ย. บรรยากาศตลอดทั้งวันมวลชนที่ร่วมกิจกรรม “เดินไล่ตู่” ได้เดินขบวนจากอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยไปยังอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เพื่อทำกิจกรรมแสดงสัญลักษณ์พร้อมเรียกร้องให้พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ลาออกจากตำแหน่งพร้อมกับทำการยุบสภา และแก้ไขรัฐธรรมนูญ จากนั้น ได้มีมวลชนบางส่วนได้แยกออกมาจากพื้นที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิเพื่อมารวมตัวกันที่สามเหลี่ยมดินแดง ท่ามกลางเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ตรึงกำลังและเตรียมรถจีโน่ไว้ป้องกันเหตุ และรถขยายเสียงเพื่อประชาสัมพันธ์ บริเวณกรมดุริยางค์ทหารบกถนนวิภาวดีรังสิต
ทันทีที่ทางมวลชนได้เห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจนั้นตรึงกำลังได้มีการขว้างปาขวดแก้ว ขวดน้ำ รวมทั้งปาประทัดเป็นระยะ กระทั่งเวลา 19.00 น. กำลังของเจ้าที่ตำรวจควบคุมฝูงชนได้เคลื่อนตัวกระชับพื้นที่ทั้ง 3 ด้าน ประกอบไปด้วย ด้านถนนวิภาวดีรังสิต ด้านถนนดินแดงมุ่งหน้าอนุสาวรีย์ และ ด้านใต้ด่วนดินแดงบริเวณวัดสะพาน หน้าสำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ทำให้มวลชนกระจายตัวออกไป ปักหลักอยู่บริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ
ต้นทุนพุ่ง “เอสเอ็มอี” ขั้นโคม่า ชงรัฐจัดจ้างแก้หนี้-เติมทุนหนุนนวัตกรรม
https://www.prachachat.net/economy/news-951502
วิกฤตเงินเฟ้อ-ต้นทุนวัตถุดิบพุ่งทุบซ้ำวิกฤตโควิดลากมา 2 ปี เอสเอ็มอีหนี้ท่วมนับล้านราย พับกิจการเปลี่ยนอาชีพ สมาพันธ์ ชง 4 ข้อเสนอวอนรัฐช่วย เร่งแก้หนี้ เพิ่มทุน สร้างนวัตกรรม ปรับกฎหมาย ฟื้นโครงการจัดจ้างภาครัฐอัพไซซ์ซื้อสินค้ารายย่อยเพิ่มจาก 30% เป็น 50%
นายแสงชัย ธีรกุลวานิช ประธานสมาพันธ์ SME ไทย เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ขณะนี้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยได้รับผลกระทบอย่างหนัก จากปัญหาวิกฤตโควิดสะสมต่อเนื่องมาตลอด 2 ปี ซึ่งเพิ่งเริ่มคลี่คลาย แต่ก็มาได้รับผลกระทบจากวิกฤตสงครามรัสเซียที่ทำให้ต้นทุนวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตทั้งราคาพลังงาน ปุ๋ย อาหารสัตว์ เหล็ก ปรับราคาสูงขึ้นอีก ทำให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีประสบปัญหาสภาพคล่อง เข้าไม่ถึงแหล่งเงินทุน และรายที่เหลืออยู่ต้องเผชิญภาระต้นทุนเพิ่มไม่สามารถปรับราคาสินค้าได้
ทั้งนี้ ปัจจุบันจำนวนเอสเอ็มอีไทยในระบบตามข้อมูลของ สสว. มีจำนวน 3.1-3.2 ล้านราย ซึ่งในจำนวนนี้เป็นนิติบุคคล 700,000 รายที่เหลือเป็นบุคคลธรรมดา วิสาหกิจชุมชนอยู่ประมาณ 90,000 ราย เอสเอ็มอีอิสระอีก 7 ล้านราย และเอสเอ็มอีที่อยู่ตามมาตรา 40 ประกันสังคม อีกนับจำนวน 10 ล้านคน
“หลังจากผ่านโควิดมา 2 ปี ตอนนี้จะเรียกว่ามีเอสเอ็มอีที่ต้องพับกิจการไปชั่วคราว เปลี่ยนอาชีพ เปลี่ยนธุรกิจ ซึ่งเราจะเห็นได้ชัดในกลุ่มของเอสเอ็มอีที่เป็นบุคคลธรรมดา เช่น พ่อค้าแม่ค้าขายอาหาร ผู้ให้บริการในธุรกิจบริการ เช่น สปา หรือที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยว ที่ตอนนี้หลายรายไม่สามารถทนภาวะต้นทุนที่เพิ่มจากวิกฤตเรื่องพลังงานและวัตถุดิบอาหาร อีกทั้งล่าสุดเงินเฟ้อสูงขึ้น 7.1% กระทบต่อค่าครองชีพอีกเราเข้าใจว่าขณะนี้มีผู้ประกอบการกระทบนับล้านราย เช่น ธุรกิจร้านอาหารวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้นกระทบต้นทุน 20% ซึ่งต้องยอมรับความจริงว่า วันนี้ธุรกิจส่วนที่เป็นฟู้ดดีลิเวอรี่มีค่าใช้จ่ายสูงถึง 30% ถ้าเอาตัวเลขนี้มาบวกกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้น 20% รวมแล้วต้นทุนจะเพิ่มขึ้น 50% ซึ่งผู้ประกอบการไม่สามารถจะตรึงราคาได้แต่หากจะไปขึ้นราคาก็จะกระทบผู้บริโภคอีกเพราะผู้บริโภคก็กำลังซื้อลดลง รายได้น้อยลง ถ้าไม่ปรับเลยผลกำไรก็อยู่ไม่ได้ ดังนั้น วันนี้ต้องร่วมมือกันขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหา”
นายแสงชัยกล่าวว่า แนวโน้มธุรกิจเอสเอ็มอีในครึ่งปีหลัง สิ่งที่น่ากลัวที่สุด คือ ปัญหาเรื่องการแก้หนี้ ทั้งกลุ่มหนี้เสีย และปัญหาหนี้นอกระบบจากสภาพที่เอสเอ็มอีได้รับผลกระทบมา 2 ปีเต็ม 2 ปีที่เกิดภาวะชะงักงัน โดยเฉพาะเอสเอ็มอีภาคบริการ ซึ่งเป็นเอสเอ็มอีส่วนใหญ่ของประเทศไทย รองลงมาก็จะเป็นภาคการค้า ภาคการผลิต และภาคการเกษตรปัญหาก็คือจะแก้หนี้อย่างไร เพื่อที่จะรองรับมาตรการต่าง ๆ เพื่อให้เกิดความยั่งยืน
นายแสงชัยกล่าวว่า ข้อเสนอที่ต้องการให้ภาครัฐเข้ามาช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีใน 4 ด้านหลัก คือ 1) การแก้ปัญหาหนี้ 2) การเพิ่มทุน 3) การส่งเสริมด้านนวัตกรรม และ 4) การปรับปรุงกฎหมายสร้างแต้มต่อให้เอสเอ็มอี และแก้ระเบียบในเรื่องการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ เพื่อให้ซื้อสินค้าเอสเอ็มอีมากขึ้น
ล่าสุดทางสมาพันธ์เอสเอ็มอีได้ทำงานร่วมกับสถาบันการเงินทั้งธนาคารออมสิน และเอสเอ็มอีแบงก์ ในการสร้างที่ปรึกษาทางการเงินในการแก้หนี้ และร่วมมือกับกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมดำเนินการให้ความรู้ด้านการเงิน (financial literacy) ให้กับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเพื่อให้เขาแก้หนี้อย่างเป็นระบบและสามารถเข้าถึงแหล่งทุนได้ตามปกติ
“วันนี้อัตราส่วนของผู้ที่ได้รับสินเชื่อมีอยู่เพียงไม่ถึง 30% ของจำนวนผู้ขอรับสินเชื่อทั้งหมด แล้วอีก 70% ไปไหน ทางสมาพันธ์เอสเอ็มอีอยากให้ภาครัฐเข้ามาดูแลผู้ประกอบการเอสเอ็มอี 70% ที่เข้าไม่ถึงสินเชื่อในการเป็นพี่เลี้ยงมีระบบให้คำปรึกษา เพื่อให้ใน 3 เดือน หรือ 6 เดือน เขาสามารถกลับมาอยู่ในระบบทางการเงินได้ สามารถดำเนินธุรกิจต่อไป นี่จะเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความยั่งยืน นอกจากนี้การสร้างวินัยทางการเงินจะลดปัญหาหนี้นอกระบบและหนี้เสียให้ลดลงด้วย”
“การแก้หนี้เติมทุน การขับเคลื่อนผู้ประกอบการเอสเอ็มอีด้วยนวัตกรรมในการพัฒนาสินค้าและบริการ เป็นเรื่องสำคัญ ในวันนี้มีหน่วยงานต่าง ๆ เข้ามาช่วยสมาพันธ์ เช่น มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กระทรวง อว. ไม่ว่าจะเป็น NIA สวทช. สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย เพื่อขับเคลื่อนพัฒนานวัตกรรมของประเทศไทยให้เป็นไปได้ด้วยดี ส่วนเรื่องการแก้ไขกฎหมายของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีในการทำธุรกิจเพื่อให้แต้มต่อ โดยเฉพาะเรื่องการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ SME-GP ที่มีสัดส่วน 30% ของมูลค่าการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐ ควรนำกลับมาใช้ใหม่ และเพิ่มให้เป็น 50% เพื่อช่วยให้กระจายการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐมาสร้างรายได้ให้กับธุรกิจเอสเอ็มอี เราพบว่าโครงการนี้ในปี 2564 ทำมาได้ดีถึง 40% เกินเป้าหมาย”
กรุงเทพโพลล์ ระบุหลังโควิดซา พบ 57.7% เห็นโอกาสริเริ่มธุรกิจ แต่ขาดเงินทุน
https://www.nationtv.tv/news/378876149
กรุงเทพโพลล์ เผยผลสำรวจ เรื่อง"คนไทยคิดอย่างไรกับโอกาสในการเป็นเจ้าของธุรกิจ หลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย" พบร้อยละ 57.7 เห็นโอกาสสำหรับการริเริ่มธุรกิจในอนาคต สูงขึ้นจากการสำรวจครั้งก่อน 11.7% พบปัญหาไม่กล้าเริ่มต้นธุรกิจ เนื่องจากไม่มีเงินทุนมากถึง 46.1%
11 มิถุนายน 2565 กรุงเทพโพลล์ ร่วมกับคณะการสร้างเจ้าของธุรกิจและการบริหารกิจการ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ เผยสำรวจความเห็นประชาชนเรื่อง คนไทยคิดอย่างไรกับโอกาสในการเป็นเจ้าของธุรกิจ หลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย (ครั้งที่ 3) ด้วยการสุ่มโทรศัพท์สัมภาษณ์จากประชาชนกลุ่มตัวอย่างทั่วประเทศจำนวน 1,121 คน ระหว่างวันที่ 30 พ.ค.-2 มิ.ย.65 แล้วนำมาเปรียบเทียบกับการสำรวจครั้งที่ 2 เมื่อเดือน มี.ค.65 พบว่า
กลุ่มตัวอย่าง 57.7% เห็นโอกาสหรือความพร้อมสำหรับการริเริ่มธุรกิจในอนาคตมากที่สุด เพิ่มขึ้น 11.7% จากการสำรวจครั้งก่อน
รองลงมา 53.1% มีความตั้งใจที่จะประกอบธุรกิจในอนาคตข้างหน้า เพิ่มขึ้น 10.8% จากการสำรวจครั้งก่อน ตามด้วย 51.7% เห็นว่ามีความรู้ความสามารถ รวมถึงทักษะและประสบการณ์ที่จำเป็นในการที่จะเริ่มทำธุรกิจใหม่ เพิ่มขึ้น 11.8 จากการสำรวจครั้งก่อน
ขณะที่กลุ่มตัวอย่าง 64.2% ไม่อยากลงทุนทำธุรกิจเพราะกลัวความล้มเหลว เพิ่มขึ้น 1.9% จากการสำรวจครั้งก่อน
ทั้งนี้พบว่า สาเหตุที่ไม่กล้าเริ่มต้นธุรกิจของตัวเองมากที่สุด คือ ไม่มีเงินทุนมากพอ 46.1% รองลงมาคือกลัวล้มเหลว กลัวขาดทุน 42.5% ตามด้วยราคาน้ำมันเชื้อเพลิงต่างๆ สูงขึ้น 40.6%, กลัวทำแล้วเกิดสถานการณ์ไม่คาดฝัน เช่น โรคระบาด ภัยธรรมชาติ 33.9% และคิดว่างานที่ทำอยู่มั่นคงแล้ว เลี้ยงตัวเองได้แล้ว 31.7%
อย่างไรก็ตาม กลุ่มตัวอย่าง 63.2% เห็นว่าเมื่อสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายอยากเริ่มต้นธุรกิจใหม่ค่อนข้างมากถึงมากที่สุด ส่วนอีก 36.8% อยากเริ่มต้นธุรกิจใหม่ค่อนข้างน้อยถึงน้อยที่สุด
รายละเอียดผลสำรวจทั้งหมด >> คลิกที่นี่
ขอบคุณข้อมูล : ฐานเศรษฐกิจ
เพื่อไทยฮึ่มจัดหนัก อภิปรายนายกฯ-รมต. ขู่หลังศึกฟอกมียื่นป.ป.ช. -ศาลรธน.แน่
https://www.khaosod.co.th/politics/news_7105578
เลขาธิการพรรคเพื่อไทย ฮึ่มจัดหนัก ยันอภิปรายนายกฯ และรัฐมนตรีรวม10 คน ขู่หลังศึกฟอกมียื่น ป.ป.ช. -ศาลรธน.แน่
วันที่ 11 มิ.ย.2565 นายประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย (พท.) เปิดเผยถึงความพร้อมการอภิปรายไม่ไว้วางใจในส่วนของพรรคพท.ว่า ตอนนี้ข้อมูลของพรรคพท.มีความพร้อม และวางตัวผู้อภิปรายไว้หมดแล้ว
เหลือเพียงการซักซ้อมให้อภิปรายพุ่งเป้าตรงประเด็นกับข้อกล่าวหา ที่จะนำไปร้องต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) หรือศาลรัฐธรรมนูญ หลังการอภิปรายเสร็จสิ้น เพราะเนื้อหาที่จะอภิปรายครั้งนี้ จะชี้ชัดว่าผู้ถูกอภิปรายกระทำผิดกฎหมาย ที่จะต้องให้สองหน่วยงานนี้ดำเนินการ เช่น การทุจริตในโครงการต่างๆของหลายกระทรวง รวมถึงการปล่อยปะละเลยให้การบริหารราชการเกิดความเสียหายต่อประชาชน
เมื่อถามถึงจำนวนรัฐมนตรีที่ถูกอภิปรายจะมีมากกว่า 10 คนตามที่ได้แถลงไปหรือไม่ นายประเสริฐ กล่าวว่า ขณะนี้ยืนยันว่าจะอภิปรายนายกฯ และรัฐมนตรีรวมทั้งสิ้น 10 คนตามที่ได้แถลงข่าวไป และอยู่ระหว่างการสรุปญัตติเพื่อยื่นต่อประธานสภาฯวันที่ 15 มิ.ย.นี้