พระนางสุปปวาสา โกลิยธิดา พระนางได้บรรลุพระโสดาบัน เป็นเอตทัคคะผู้ถวายทานอันประณีต พระนางทรงพระครรภ์อยู่นานถึง 7 ปี แล้วก็ยังมีครรภ์หลงอีกถึง 7 วัน ได้รับทุกขเวทนามากมาย จนได้ประสูติพระโอรส ซึ่งต่อมา คือพระสิวลี ในสำนักพระสารีบุตร ต่อมาได้เป็นพระอรหันต์
หลังประสูติพระโอรส ก็ได้มีการนิมนต์เลี้ยงภัตตาหารเป็นเวลา 7 วันแด่พระสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน
"ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงทราบว่า พระนางสุปปวาสาโกลิยธิดา
ทรงมีพระทัยชื่นชม เบิกบานเกิดปีติโสมนัสแล้ว จึงตรัสถามพระนางสุปปวาสา-
*โกลิยธิดาว่า ดูกรพระนาง พึงปรารถนาพระโอรสเห็นปานนี้แม้อื่นหรือ พระนาง
สุปปวาสากราบทูลว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคผู้เจริญ
หม่อมฉันพึงปรารถนาบุตร
เห็นปานนี้แม้อื่นอีก ๗ คนเจ้าค่ะ ฯ
ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว ทรงเปล่งอุทาน
นี้ในเวลานั้นว่า
ทุกข์อันไม่น่ายินดี ย่อมครอบงำคนผู้ประมาท โดยความเป็น
ของน่ายินดี ทุกข์อันไม่น่ารักย่อมครอบงำคนผู้ประมาท
โดยความเป็นของน่ารัก ทุกข์ย่อมครอบงำบุคคลผู้ประมาท
โดยความเป็นสุข ฯ"
______________________________________________
เหตุผลที่พระนางสุปปวาสที่เป็นถึงพระโสดาบัน แต่ยังคงมีความติดข้องต้องการด้วยโลภะที่จะมีบุตรอีกถึง 7 คน แม้จะต้องทนแบกครรภ์แรกนานถึง 7 ปี แล้วยังมีครรภ์หลงอีกถึง 7 วัน ต้องทุกข์ทรมานถึงเพียงนั้น ก็ยังไม่เข็ด
ก็เพราะพระโสดาบันบุคคล มิใช่พระอรหันต์ มิใช่พระอนาคามี มิใช่พระสกทาคามี
ฉะนั้น พระโสดาบัน จึงยังคงมีโลภะอยู่พอสมควร ยังคงทำไปตามอำนาจกิเลสโลภะที่ได้สะสมมานานแสนนานหลายอสงไขย์หลายแสนกัปป์
ก็คงเหมือนกับท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี หรือนางวิสาขามิคารมาตา ที่ก็ยังคงใช้ชีวิตปรกติ ยังคงทำการค้าขาย ซึ่งต้องบวกกำไรเข้าไปด้วยเพื่อให้ธุรกิจอยู่ได้ มีกำไรมาเลี้ยงลูกน้อง แต่ประกอบสัมมาอาชีวะ ไม่มีกิเลสโลภะที่จะถึงขั้นคิดทุจริตอยากได้ของคนอื่น หรือแย่งชิง หรือโกงคนอื่น
และพระโสดาบัน ไม่หลอกตัวเองหรือคนอื่นว่า หมดกิเลสแล้ว ด้วยการนุ่งขาวห่มขาว หรือพูดช้าๆ เนิบๆ อย่างกลัวดอกพิกุลจะร่วงจากปาก แต่ใช้ชีวิตปกติอย่างคนที่ยังมีโลภะที่ยังดับไม่หมด ถ้าเป็นโสดาบันก็ยังคงแต่งตัวตามที่ชอบ ทานอาหารที่ชอบ แต่งหน้าทำผมย้อมผม ตามโลภะที่ยังมีอยู่ แต่โลภะนั้น ไม่มีกำลังมากพอที่จะทำให้ถึงขั้นคิดจะลักทรัพย์ใคร อยากแย่งของจากใคร (อภิชฌา)
แต่สิ่งที่สำคัญเลยที่พระโสดาบันบุคคล แตกต่างจากปุถุชนทั่วไป ก็คือ ท่านไม่มีความเห็นผิดในสภาพธรรมที่กำลังเกิดปรากฏ ไม่มีความเห็นผิดว่าเป็นสัตว์ บุคคล ตัวตน สิ่งของ เพราะท่านละสักกายทิฏฐิ หรือความเห็นว่าเป็นเรา เป็นตัวเราของเรา และท่านละความลังเลสงสัยในพระรัตนตรัยทั้งหลาย และในกุศลธรรมทั้งหลาย และละสีลัพพตปรามาส หรือ ความยึดมั่นในข้อปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ที่เข้าใจว่าเป็นข้อปฏิบัติที่บริสุทธิ์หลุดพ้น เป็นมิจฉาทิฏฐิ และท่านก็ยังคงมีปรกติเจริญสติปัฏฐานโดยการระลึกรู้สภาพธรรมที่กำลังเกิดปรากฏทีละหนึ่งขณะ ไม่ว่าจะทางกาย เวทนา จิต ธรรม แล้วแต่ว่าสภาพธรรมนั้นจะปรากฏทางใดก็ระลึกรู้ลักษณะนั้นทีละหนึ่งขณะตรงลักษณะ
ทำไมพระโสดาบันอย่างพระนางสุปปวาส ถึงยังมีความต้องการที่จะมีบุตรอีกถึง 7 คน
หลังประสูติพระโอรส ก็ได้มีการนิมนต์เลี้ยงภัตตาหารเป็นเวลา 7 วันแด่พระสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน
"ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงทราบว่า พระนางสุปปวาสาโกลิยธิดา
ทรงมีพระทัยชื่นชม เบิกบานเกิดปีติโสมนัสแล้ว จึงตรัสถามพระนางสุปปวาสา-
*โกลิยธิดาว่า ดูกรพระนาง พึงปรารถนาพระโอรสเห็นปานนี้แม้อื่นหรือ พระนาง
สุปปวาสากราบทูลว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคผู้เจริญ หม่อมฉันพึงปรารถนาบุตร
เห็นปานนี้แม้อื่นอีก ๗ คนเจ้าค่ะ ฯ
ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว ทรงเปล่งอุทาน
นี้ในเวลานั้นว่า
ทุกข์อันไม่น่ายินดี ย่อมครอบงำคนผู้ประมาท โดยความเป็น
ของน่ายินดี ทุกข์อันไม่น่ารักย่อมครอบงำคนผู้ประมาท
โดยความเป็นของน่ารัก ทุกข์ย่อมครอบงำบุคคลผู้ประมาท
โดยความเป็นสุข ฯ"
______________________________________________
เหตุผลที่พระนางสุปปวาสที่เป็นถึงพระโสดาบัน แต่ยังคงมีความติดข้องต้องการด้วยโลภะที่จะมีบุตรอีกถึง 7 คน แม้จะต้องทนแบกครรภ์แรกนานถึง 7 ปี แล้วยังมีครรภ์หลงอีกถึง 7 วัน ต้องทุกข์ทรมานถึงเพียงนั้น ก็ยังไม่เข็ด
ก็เพราะพระโสดาบันบุคคล มิใช่พระอรหันต์ มิใช่พระอนาคามี มิใช่พระสกทาคามี
ฉะนั้น พระโสดาบัน จึงยังคงมีโลภะอยู่พอสมควร ยังคงทำไปตามอำนาจกิเลสโลภะที่ได้สะสมมานานแสนนานหลายอสงไขย์หลายแสนกัปป์
ก็คงเหมือนกับท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี หรือนางวิสาขามิคารมาตา ที่ก็ยังคงใช้ชีวิตปรกติ ยังคงทำการค้าขาย ซึ่งต้องบวกกำไรเข้าไปด้วยเพื่อให้ธุรกิจอยู่ได้ มีกำไรมาเลี้ยงลูกน้อง แต่ประกอบสัมมาอาชีวะ ไม่มีกิเลสโลภะที่จะถึงขั้นคิดทุจริตอยากได้ของคนอื่น หรือแย่งชิง หรือโกงคนอื่น
และพระโสดาบัน ไม่หลอกตัวเองหรือคนอื่นว่า หมดกิเลสแล้ว ด้วยการนุ่งขาวห่มขาว หรือพูดช้าๆ เนิบๆ อย่างกลัวดอกพิกุลจะร่วงจากปาก แต่ใช้ชีวิตปกติอย่างคนที่ยังมีโลภะที่ยังดับไม่หมด ถ้าเป็นโสดาบันก็ยังคงแต่งตัวตามที่ชอบ ทานอาหารที่ชอบ แต่งหน้าทำผมย้อมผม ตามโลภะที่ยังมีอยู่ แต่โลภะนั้น ไม่มีกำลังมากพอที่จะทำให้ถึงขั้นคิดจะลักทรัพย์ใคร อยากแย่งของจากใคร (อภิชฌา)
แต่สิ่งที่สำคัญเลยที่พระโสดาบันบุคคล แตกต่างจากปุถุชนทั่วไป ก็คือ ท่านไม่มีความเห็นผิดในสภาพธรรมที่กำลังเกิดปรากฏ ไม่มีความเห็นผิดว่าเป็นสัตว์ บุคคล ตัวตน สิ่งของ เพราะท่านละสักกายทิฏฐิ หรือความเห็นว่าเป็นเรา เป็นตัวเราของเรา และท่านละความลังเลสงสัยในพระรัตนตรัยทั้งหลาย และในกุศลธรรมทั้งหลาย และละสีลัพพตปรามาส หรือ ความยึดมั่นในข้อปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ที่เข้าใจว่าเป็นข้อปฏิบัติที่บริสุทธิ์หลุดพ้น เป็นมิจฉาทิฏฐิ และท่านก็ยังคงมีปรกติเจริญสติปัฏฐานโดยการระลึกรู้สภาพธรรมที่กำลังเกิดปรากฏทีละหนึ่งขณะ ไม่ว่าจะทางกาย เวทนา จิต ธรรม แล้วแต่ว่าสภาพธรรมนั้นจะปรากฏทางใดก็ระลึกรู้ลักษณะนั้นทีละหนึ่งขณะตรงลักษณะ