JJNY : โอดน้ำมันพืชขึ้นรายสัปดาห์│ค้าปลีก-ค้าส่งขึ้นยกแผง│"รัฐสภาโรมาเนีย"เชิญ"ลูกพิชัย"ประชุม│เพจดังถามผู้ปกครองไหวไหม?

พ่อค้าปาท่องโก๋ โอด ราคาน้ำมันพืชปรับขึ้นรายสัปดาห์ ติดป้ายขอขึ้นราคา 3 บาทต่อตัว
https://news.ch7.com/detail/568512
 
 
วันนี้ (10 พ.ค. 65) ผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่สำรวจร้านทอดปาท่องโก๋ในตลาดสดศรีรา ต.ศรีราชา อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี พบว่าร้านค้าหลายรายต่างพากันบ่นถึงราคาน้ำมันพืชที่ปรับตัวแพงขึ้นต่อเนื่อง จนทำให้กำไรที่ได้ลดน้อยลงเป็นอย่างมาก ได้รับความเดือดร้อนกันทั่วหน้า ซึ่งแบกรับไม่ไหวเพราะต้นทุนเพิ่มสูงขึ้นจึงได้ติดป้ายประกาศบอกลูกค้า ปาท่องโก๋ตัวละ 3 บาท จากเดิมตัวละ 2 บาท
 
จากการสอบถามนายสังคม หารโงน อายุ 56 ปี เจ้าของร้านปาท่องโก๋ ภายในตลาดสดศรีราชา กล่าวว่า ตอนนี้ร้านปาท่องโกของตนได้รับผลกระทบอย่างมาก จากราคาน้ำมันพืชที่ปรับขึ้นราคามาอย่างต่อเนื่อง โดยร้านของตนเองนั้นใช้น้ำมันพืชในการทอดปาท่องโก๋เฉลี่ยวันละ 12-18 ลิตร ถ้าตอนนี้ราคาปี๊บละ 1,000 บาท และก๊าซที่มีการปรับราคาขึ้น
 
ดังนั้นจึงอยากวอนให้รัฐบาล หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ช่วยเหลือทำให้ราคาน้ำมันพืชลดลงกว่านี้  เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชน และคนทำมาหากินแบบตน
 
ขณะที่น้ำมันถั่วเหลืองปรับขึ้น 10 บาทต่อลัง จาก 732 บาท เป็น 742 บาทต่อลัง หรือขึ้น 3 บาทต่อขวด จากเดิม 62 บาท เป็น 65 บาทต่อขวด และจำกัดจำนวนซื้อ ซึ่งจากสำรวจร้านขายของทอด ริมถนนเดชอุดม ต.ในเมือง อ.เมือง จ.นครราชสีมา พบว่าร้านค้าหลายรายต่างพากันบ่นถึงราคาน้ำมันพืชที่ปรับตัวแพงขึ้นต่อเนื่อง จนทำให้กำไรที่ได้ลดน้อยลงเป็นอย่างมาก ได้รับความเดือดร้อนกันทั่วหน้า
 


ค้าปลีก-ค้าส่ง “ตั้งงี่สุน-ยงสงวน” สินค้าขึ้นยกแผง-เร่งอัดโปรรับเปิดเทอม
https://www.prachachat.net/local-economy/news-925265

เริ่มเห็นสัญญาณยุคข้าวยากหมากแพง ราคาสินค้าค่อย ๆ ไต่ขึ้นเป็นลำดับ เมื่อสินค้าอุปโภคบริโภคแห่พาเหรดขึ้นราคายกแผง โดยเฉพาะราคาน้ำมัน  น้ำมันพืช น้ำตาล ฯลฯ ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เกิดจากสถานการณ์โควิด-19 เพียงเท่านั้น แต่สงครามของรัสเซีย-ยูเครน ซึ่งยืดเยื้อได้ส่งผลกระทบไปทั่วโลก วัตถุดิบในการผลิตสินค้าหลายอย่างประเทศไทยต้องนำเข้า ต้องบวกค่าโลจิสติกส์ ทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้นสูง การค้าขายในช่วงนี้จึงฝืดจนผู้ประกอบการต้องโอดครวญ
 
2 ยักษ์ใหญ่ค้าปลีก-ค้าส่งภาคอีสานทั้ง “ตั้งงี่สุน” และ “ยงสงวน” เปิดเผยถึงสถานการณ์ดังกล่าวว่า การค้าไตรมาส 1 ของปี 2565 สาหัสกว่าช่วงที่เกิดโควิด-19 ปีแรกมาก เดิมทีโครงการของรัฐบาล ทั้งโครงการบัตรประชารัฐ โครงการคนละครึ่ง ช่วยกระตุ้นการจับจ่ายของผู้คนได้อย่างดี แต่หลังจากโครงการรัฐหมด ประกอบกับสินค้าทุกชนิดขึ้นราคา การซื้อขายเริ่มเบาบางลง

“มิลินทร์ วีระรัตนโรจน์” ประธานกรรมการผู้จัดการ บริษัท ตั้งงี่สุน ซูเปอร์สโตร์ จำกัด จ.อุดรธานี เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ผลประกอบการของตั้งงี่สุนในปี 2564 ถือว่าดีมาก ทะลุ 4,000 ล้านบาท แต่ไตรมาสแรกในปี 2565 กลับติดลบไปแล้วประมาณ 12% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา
 
ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมา คนส่วนใหญ่อยู่บ้าน ไม่มีการจับจ่ายใช้สอยมากนัก ลูกค้าซื้อของน้อยลง เนื่องจากสินค้าแพงขึ้นทุกชนิดอย่างน้อย 7-12% ไม่ว่าจะเป็นข้าวของเครื่องใช้ สบู่ แชมพูสระผม น้ำมันพืช และที่เห็นได้ชัดคือน้ำมันถั่วเหลืองขึ้นราคาทุกรอบ
 
หลายคนอาจจะมองไม่ออกว่าราคาของขึ้นอย่างไร เพราะกระทรวงพาณิชย์ตรึงราคาไว้อยู่ แต่ในภาวะตลาดต้องยอมรับว่าราคาสินค้าทุกอย่างพุ่งขึ้นแล้ว ต้นทุนสินค้าสูงขึ้นเรื่อย ๆ การขายส่งเริ่มไม่ได้กำไร เพราะราคาใกล้ติดเพดาน จนเริ่มตัดของแถมออก เมื่อมาขายปลีกก็ต้องบวกเพิ่มราคาอีก รูปแบบไม่ต่างจากการขายลอตเตอรี่
 
นอกจากนี้ ยังมีเทคนิคของบริษัทผู้ผลิตสินค้าที่ยังตรึงราคาเดิมไว้ด้วยการปรับโฉมสินค้าใหม่แล้วลดปริมาณลง สุดท้ายการตรึงราคาจึงเป็นเพียงการแก้ปัญหาที่ปลายทางเท่านั้น
 
“ตั้งแต่เกิดโควิด-19 เป็นต้นมา ตั้งงี่สุนยังพอขยับตัวและดำเนินธุรกิจไปได้ แต่ตอนนี้สถานการณ์แย่มาก ขนาดตั้งงี่สุนที่ขายดียังเริ่มติดปัญหาเรื่องการหมุนเงิน ผมกล้าบอกเลยว่าเป็นช่วงที่เลวร้ายที่สุด ภาวะเศรษฐกิจถดถอยทำให้แทบขยับตัวไม่ได้ ซัพพลายเออร์ต้องยืดข้อตกลงให้กับลูกค้าทั้งประเทศ เช็คต้องจ่ายช้าเพราะสินค้าในร้านขายได้ช้าลงจนเห็นได้ชัด”
 
“ปัจจัยที่ทำให้การค้าขายติดลบไม่ใช่เฉพาะเรื่องราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้นเท่านั้น ต้องยอมรับด้วยคือ 1.รัฐบาลไม่ปล่อยเงินให้กับโครงการต่าง ๆ แล้ว ไม่มีการกระตุ้นเหมือนเกิดโควิด-19 ในช่วงแรก 2.รัฐบาลรีดภาษีเยอะมาก โดยเฉพาะภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ค่าใช้จ่ายจึงขึ้นเป็นเงาตามตัว”
 
“มิลินทร์” บอกว่า ยอมรับว่าช่วงที่ผ่านมาโครงการรัฐส่งผลกระตุ้นเศรษฐกิจได้จริง ทำให้วงล้อเศรษฐกิจเดินไปได้ แต่ตอนนี้สัดส่วนลูกค้าของตั้งงี่สุนจากโครงการรัฐ ทั้งโครงการคนละครึ่ง และโครงการบัตรประชารัฐ หายไปกว่า 20-30% ลูกค้าค้าส่งในเครือข่ายต่างอำเภอเรียกได้ว่าดิ่งลงสุด ๆ
 
ฉะนั้นโปรโมชั่นสินค้ามีเท่าไหร่ต้องใส่เต็มที่ ต้องคุยกับบริษัทซัพพลายเออร์และใช้ทุกเทคนิคการขาย เชื่อมั่นว่าในเดือนพฤษภาคม 2565 หลังจากเปิดประเทศแล้วทุกอย่างน่าจะเริ่มขยับ อยู่ที่ว่าระบบสาธารณสุขของประเทศไทยจะดีและควบคุมสถานการณ์ได้มากน้อยเพียงใด
 
“ประกิจ ไชยสงคราม” ประธานกรรมการ บริษัท ยงสงวนกรุ๊ป จำกัด จ.อุบลราชธานี เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ในปี 2564 ผลประกอบการของยงสงวนกรุ๊ป มีอัตราการเติบโตตลอดทั้ง 4 ไตรมาสเฉลี่ย 12.48% รวมมูลค่ากว่า 2,600 ล้านบาท โดยได้รับอานิสงส์จากโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐอย่างท่วมท้น
 
แต่ในปี 2565 โครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเริ่มหมดไป พร้อมสินค้าทุกชนิดปรับราคาขึ้นอย่างต่อเนื่อง และไม่มีท่าทีว่าจะคงที่ ทำให้ลูกค้าชะลอการซื้อสินค้าหรือซื้อในปริมาณที่น้อยลง ส่งผลต่อสภาพคล่องการขายสินค้าเป็นอย่างมาก ช่วงไตรมาสที่ 1 ยอดขายติดลบ 8%
  
“สินค้าทุกชนิดขึ้นราคาทั้งของใช้ในครัวเรือน กาแฟ เครื่องดื่ม เบียร์ แอลกอฮอล์ ไม่มีอันไหนไม่ขึ้น เฉลี่ยขึ้นราคาประมาณ 10% และยังไม่อยู่ตัว ยังค่อย ๆ ไต่ระดับขึ้นไป ซึ่งไม่รู้ว่าจะหยุดอยู่ที่เท่าไหร่ มีเพียงสินค้าจำพวกอาหารว่างทานเล่น สแน็ก (snack) เครื่องสำอางที่ยังไม่ขึ้นมากนัก ลูกค้าคงรู้จากข่าวสารและสถานการณ์ต่าง ๆ จึงซื้อน้อยลง โดยเฉพาะลูกค้าประเภทค้าส่งที่หายไป เราต้องประคองตัวไว้แล้วเดินหน้าต่อเพราะตัวเลขหายไปเยอะมาก ส่วนค้าปลีกยังไม่มีผลมากนัก”
  
ทั้งนี้ ลูกค้าประเภทค้าส่งของยงสงวนมีความหวังว่าช่วงวันหยุดสงกรานต์ต้องขายดี เพราะในปีนี้คนต่างจังหวัดที่อยู่ในกรุงเทพฯ กลับบ้านเป็นจำนวนมาก ตัวเลขยอดขายของยงสงวนก่อนสงกรานต์จึงยังมีอยู่ แต่หลังจากผ่านเทศกาลไปทุกอย่างกลับเงียบ ลูกค้ามีเพียงประปราย ไม่มีการเข้ามาซื้อสินค้าไปเติมมากนัก และไม่มีเงินเติมเข้ามาผ่านโครงการรัฐ ทำให้สถานการณ์โดยรวมแย่กว่าปีที่ผ่านมามาก
 
“ตอนนี้ยิ่งมีจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 มากขึ้นเท่าไหร่ ภาคเศรษฐกิจก็หดตัวลงเท่านั้น บางธุรกิจปิดยาว หลายคนยังตกงาน ไม่มีวี่แววของการเริ่มต้นใหม่ สัญญาณเดียวที่รอคือเปิดเทอมเดือนพฤษภาคม เพราะมันคือสัญญาณของคำว่า อิสรภาพ ที่ทุกคนจะกลับมาใช้ชีวิตเป็นปกติ คาดว่าจะดีขึ้นตั้งแต่วันที่ 7 พฤษภาคมเป็นต้นไป”
  
“โดยสัดส่วนของสินค้าจำพวกขนม เรามีกลุ่มลูกค้าในโรงเรียนค่อนข้างมาก และต้องเติบโต 2 ดิจิต ซึ่งเราจะกลับมาทวงคืนในไตรมาสที่ 2 ด้วยการออกโปรโมชั่นลดแหลก ตั้งเป้าเติบโตไว้ที่ 10% และหากเราทำได้ตามที่วางไว้ ครึ่งปีแรกของปี 2565 ผลประกอบการทั้งหมดจะเติบโตที่ 0.4%”
 

 
"รัฐสภาโรมาเนีย" เชิญ "ลูกพิชัย" ร่วมประชุมนานาชาติที่กรุงบูคาเรสต์ ถกผู้นำทางการเมืองสร้างสังคมสันติภาพยั่งยืน
https://www.banmuang.co.th/news/politic/279816
 
"รัฐสภาโรมาเนีย" เชิญ "ลูกพิชัย"  ร่วมประชุมนานาชาติที่กรุงบูคาเรสต์ ในหัวข้อ "ผู้นำทางการเมือง การศึกษา และ การทูต: เพื่อนำไปสู่สันติภาพอันยั่งยืนในสังคม" 
 
วันอังคารที่ 10 พฤษภาคม 2565 นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รองประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย ด้านเศรษฐกิจ กล่าวว่า นายพชร นริพทะพันธุ์ กรรมการบริหารและคณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย ได้รับเชิญจากรัฐสภาประเทศโรมาเนียให้เข้าร่วมประชุมนานาชาติ The 2022  SOUTHEASTERN EUROPEAN GATHERING: หัวข้อ "Leadership In Politics, Education And Diplomacy: Toward A Sustainable Peace In Society" (ผู้นำทางการเมือง การศึกษา และ การทูต: เพื่อนำไปสู่สันติภาพอันยั่งยืนในสังคม) ที่กรุงบูคาเรสต์ เมืองหลวงประเทศโรมาเนียระหว่างวันที่ 26-27 พฤษภาคม 2565 นี้ โดยมีตัวแทนจากประเทศต่างๆหลายสิบประเทศเข้าร่วม รวมทั้งตัวแทนจาก สหรัฐอเมริกา ประเทศต่างๆในยุโรป อินเดีย ฯลฯ โดยได้รับเชิญให้ร่วมกล่าวแสดงความเห็นในที่ประชุมด้วย ทั้งนี้นายพชรจะได้แสดงความเห็นในปัญหาของประเทศไทยที่กำลังเป็นอยู่ให้ประชาคมโลกได้รับทราบ เพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหาของไทยในปัจจุบัน 
 
ทั้งนี้นายพชร ได้เป็นผู้ฝึกสอน ให้กับสถาบันนานาชาติ พอย์ทแมน ลีดเดอร์ชิพ ในการ เสริมสร้างภาวะผู้นำและต่อต้านการทุจริตคอรัปชั่น กับ จนท รัฐ ทั่วโลก โดยเคยนำองค์กรนี้มาอบรมให้กับข้าราชการกระทรวงพาณิชย์ของไทย จัดอบรมที่วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) และ สำนักงานตำรวจแห่งชาติของประเทศกัมพูชา  โดยที่นายพชรมี เมนทอร์ที่ดีจากทุกมุมโลก ตั้งแต่เหล่า สมาชิกสภา ครองเกรส และ สมาชิกวุฒิสภา ที่ วอชิงตัน ดีซี รวมถึงอดีตผู้ว่า เมืองจาการ์ตา 
 
นายพชรจบการศึกษาปริญญาตรี รัฐศาสตร์บัณฑิตจากมหาวิทยาลัยเซาเทิร์นแคลิฟอร์เนีย (USC) ปริญญาโทสาขาอาชญวิทยา จากมหาวิทยาลัยมหิดลบอสตัน และ ปริญญาโทสาขาการเจรจาแก้ไขความขัดแย้งจากมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย สหรัฐอเมริกา ปัจจุบันเป็นกรรมการบริหารพรรคเพื่อไทย 
 
นายพิชัยกล่าวว่าในอดีตช่วงหลังการปฏิวัติตนได้รับเชิญจากองค์กรระหว่างประเทศหลายแห่งทั้งจากสหรัฐอเมริกาและยุโรป เพื่อให้ไปร่วมงานประชุมนานาชาติ เพื่ออธิบายสถานการณ์ของประเทศไทยโดยมีหนังสือเชิญมา แต่ คสช. และ รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ในช่วง [เผล่ะจัง] ไม่อนุญาตให้ตนเดินทาง โดยมีการปิดกั้นเสรีภาพของตนในการเดินทางออกนอกประเทศเป็นเวลากว่า 1 ปี
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่