ตายอีก127คน โควิดวันนี้ ป่วยเพิ่ม 14,437 ติดเชื้อเข้าข่าย ATK 11,396 ราย
https://www.khaosod.co.th/covid-19/news_7020884
ทะลุ2ล้านป่วยสะสม เสียชีวิตอีก 127 คน โควิดวันนี้ ป่วยเพิ่ม 14,437 ราย ติดเชื้อเข้าข่าย ATK 11,396 ราย
ศูนย์ข้อมูลโควิด-19 รายงานสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 วันที่ 28 เมษายน 2565 ยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 วันพฤหัสบดีที่ 28 เมษายน 2565 รวม 14,437 ราย จำแนกเป็น ผู้ป่วยจากในประเทศ 14,360 ราย ผู้ป่วยมาจากต่างประเทศ 77 ราย ผู้ป่วยสะสม 2,000,573 ราย (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565) ติดเชื้อเข้าข่าย / ATK 11,396 ราย
หายป่วยกลับบ้าน 18,509 ราย หายป่วยสะสม 1,868,475 ราย (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565) ผู้ป่วยกำลังรักษา 158,768 ราย เสียชีวิต 127 ราย จำนวนผู้ป่วยปอดอักเสบ รักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 1,827 ราย เฉลี่ยจังหวัดละ 24 ราย อัตราครองเตียง ร้อยละ 24.1
‘คลัง’ ยอมหั่นจีดีพีปีนี้เหลือ 3.5% เหตุสงครามรัสเซีย-ยูเครน ดันราคาพลังงานพุ่ง ลากเงินเฟ้อแตะ 5%
https://www.khaosod.co.th/economics/news_7019640
กระทรวงการคลังยอมหั่นจีดีพีปีนี้เหลือ 3.5% เหตุสงครามรัสเซีย-ยูเครน ดันราคาพลังงานพุ่ง ลากเงินเฟ้อแตะ 5%
คลังยอมหั่นจีดีพีปีนี้ – นาย
พรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง กล่าวว่า คลังได้ปรับลดคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจไทย (จีดีพี) ในปี 2565 อยู่ที่ 3.5% โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ 3-4% ลดลงจากคาดการณ์เดิมที่ 4% เนื่องจากได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน ที่ส่งผลให้เศรษฐกิจประเทศคู่ค้าสำคัญของไทยชะลอตัวลง โดยเฉพาะประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรปและสหรัฐ ส่งผลกระทบให้ราคาพลังงานและอัตราเงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้น โดยในปีนี้คาดการณ์ว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะอยู่ที่ระดับ 5% ต่อปี โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ 4.5-5.5% ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปีก่อน
ขณะเดียวกัน มองว่าเศรษฐกิจไทยยังมีแนวโน้มฟื้นตัวได้จากปี 2564 โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการใช้จ่ายภายในประเทศที่ขยายตัวต่อเนื่อง โดยคาดว่าการบริโภคภาคเอกชนจะขยายตัวที่ระดับ 4.3% ต่อปี
ส่วนภาคการท่องเที่ยวที่คาดว่าจะขยายตัวได้เพิ่มขึ้น หลังจากมีการผ่อนคลายมาตรการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างประเทศมากขึ้น โดยคาดการณ์ว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างประเทศเดินทางเข้าไทย จำนวน 6.1 ล้านคน ขยายตัว 1,315% จากปี 2564 ที่มีจำนวนเพียง 4 แสนคน และคาดว่ารายได้จากการท่องเที่ยวจะฟื้นตัวขึ้น 3.7 แสนล้านบาท ขยายตัว 883%
“ในไตรมาส 1/2565 มีนักท่องเที่ยวต่างประเทศเดินทางเข้าไทยแล้วกว่า 5 แสนคน ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่สูงกว่าเมื่อเทียบกับทั้งปี 2564 และมีการประเมินว่าภาคการท่องเที่ยว รวมถึงรายได้จากภาคการท่องเที่ยวจะฟื้นตัวได้ดีขึ้นอย่างชัดเจนในช่วงครึ่งหลังของปีนี้” นาย
พรชัย กล่าว
นอกจากนี้ ในส่วนของการส่งออกสินค้าคาดว่าจะขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง ที่ระดับ 6% สูงขึ้นจากคาดการณ์เดิมที่ 3.6% โดยการดำเนินนโยบายของภาครัฐจะยังมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนเศรษฐกิจไทยอย่างต่อเนื่อง ผ่านการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2565 วงเงิน 3.1 ล้านล้านบาท และงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจ วงเงิน 3.18 แสนล้านบาท รวมทั้งเงินกู้ตามพ.ร.ก. ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคมจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพิ่มเติม พ.ศ. 2564 วงเงิน 5 แสนล้านบาท ที่ยังเหลือเม็ดเงินอีก 7.42 หมื่นล้านบาท โดยในส่วนนี้คาดว่าจะมีการเบิกจ่ายได้อย่างต่อเนื่อง และจะเป็นส่วนสำคัญในการสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
นายพรชัย กล่าวอีกว่า การลงทุนของภาครัฐในปีนี้ คาดว่าจะขยายตัวที่ 4.6% โดยแรงสนับสนุนจากมาตรการภาครัฐจะส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจและการลงทุนภายในประเทศปรับตัวสูงขึ้น โดยการลงทุนภาคเอกชนคาดว่าจะขยายตัวที่ 4.5%
สำหรับปัจจัยที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยที่ยังต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ได้แก่ 1. ความยืดเยื้อของสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน ที่ส่งผลกระทบต่อราคาพลังงาน โดยในปีนี้คาดว่าราคาน้ำมันดิบดูไบ จะทรงตัวอยู่ที่ระดับ 99.5 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล 2. ความไม่แน่นอนของสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19
3. ความเสี่ยงจากความผันผวนของเศรษฐกิจและการเงินโลก อาทิ การส่งสัญญาณปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางในหลายประเทศจากแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดการไหลออกของเงินทุนเคลื่อนย้ายระหว่างประเทศและส่งผลกระทบต่อค่าเงินบาท โดยในปี 2565 คาดว่าเงินบาทจะทรงตัวอยู่ที่ระดับ 33.10 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
4. ปัญหาข้อจำกัดในห่วงโซ่อุปทานการผลิต (Supply Disruption) เช่น การขาดแคลนอุปกรณ์เซมิคอนดักเตอร์ ในอุตสาหกรรมยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น
และ 5. ตลาดแรงงานยังคงฟื้นตัวไม่เต็มที่ จึงเป็นข้อจำกัดสำหรับการจับจ่ายใช้สอยของประชาชน และความสามารถในการชำระหนี้สินของภาคครัวเรือนที่ยังคงมีความเปราะบาง
“กระทรวงการคลังจะติดตามและประเมินผลกระทบจากปัจจัยต่างๆ อย่างใกล้ชิด และพร้อมที่จะดำเนินมาตรการทางการคลังและการเงินที่เหมาะสมเพื่อให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจเป็นไปอย่างต่อเนื่องและทั่วถึงในทุกภาคส่วนของเศรษฐกิจ โดยในส่วนของสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย และยูเครน หากสามารถยุติได้เร็ว จะอยู่ในรอบคาดการณ์เดือนมิ.ย. 2565 ซึ่งจะมีการเผยแพร่ข้อมูลในเดือนก.ค. แต่หากสถานการณ์ยังคงยืดเยื้อ ก็จะอยู่ในรอบคาดการณ์เดือนต.ค. 2565” นาย
พรชัย กล่าว
มาม่า อั้นไม่ไหว แจ้งขึ้นราคาขายส่ง ซองละ 0.50-1 บาท
https://www.prachachat.net/marketing/news-918727
“มาม่า” แจ้งขึ้นราคาขายส่ง อั้นไม่ไหว ต้นทุน ค่าขนส่ง-แป้ง-น้ำมันพืช พุ่งไม่หยุด คาดต้น พ.ค.ราคาขายปลีกทยอยปรับตาม ซองละ 0.50-1 บาท
วันที่ 27 เมษายน 2565 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ผลพวงจากทั้งปัญหาค่าขนส่ง วัตถุดิบสำคัญ อาทิ แป้ง น้ำมันพืช ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นระลอกๆ ตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา
ล่าสุด ซัพพลายเออร์บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปรายใหญ่ บริษัท ไทยเพรซิเด้นท์ฟู้ด จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ตรา มาม่า ได้ทยอยแจ้งการปรับขึ้นราคาสินค้าไปยังคู่ค้าต่างๆ หลังจากที่พยายามตรึงราคามาตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา
โดยสินค้าที่มาม่า แจ้งปรับราคา หลักๆ จะเป็นกลุ่มเส้นสีเหลือง อาทิ รสต้มยำกุ้ง รสหมูสับ เป็นต้น โดยมีการปรับราคาขายส่งเพิ่มขึ้นอีก 2-3 บาท/กล่อง (30 ซอง) หรือ 10-14 บาท/ลัง (6 กล่อง หรือ 180 ซอง) ส่วนเส้นขาว เช่น เส้นหมี่น้ำใส และมาม่า คัพ ยังไม่มีการปรับราคา
การปรับขึ้นราคาขายส่งดังกล่าวจะทำให้ ราคาขายมาม่าปรับเป็นกล่องละ 145 บาท จากเดิม 143 บาท และลังละ 870 บาท จากเดิม 858 บาท และในตลาดจะเริ่มทยอยใช้ราคาใหม่นี้ตั้งแต่ต้นเดือน พ.ค.ที่จะถึงนี้เป็นต้นไป
ขณะที่ นาย
สมชาย พรรัตนเจริญ นายกสมาคมค้าส่งค้าปลีกไทย กล่าวในเรื่องนี้ว่า ขณะนี้ ผู้ผลิต บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป 2 รายใหญ่ ทั้ง มาม่า และไวไว (โรงงานผลิตภัณฑ์อาหารไทย) ได้ปรับขึ้นราคาขายส่งตั้งแต่ช่วงต้นเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา เฉลี่ยประมาณ 3 บาท/กล่อง (30 ซอง) หรือประมาณ 0.083 สตางค์ต่อซอง ขณะที่อีก 2 แบรนด์ ยำยำ (อายิโน๊ะโมะโต๊ะ) และนิสชิน (นิสชินฟูดส์) ยังไม่มีการแจ้งปรับราคาขายส่ง แต่คาดว่าอาจจะแจ้งตามมาในเร็วๆ นี้
ผู้สื่อข่าวตั้งข้อสังเกตว่า หลังจากที่ราคาขายส่งปรับขึ้นดังกล่าวแล้ว คาดว่าอีกสัก 1-2 สัปดาห์ หรืออย่างช้า 1 เดือน ราคาขายปลีกในท้องตลาดก็จะทยอยปรับขึ้นตามมา และมีความเป็นได้ที่อาจจะปรับขึ้นเฉลี่ยซองละ 0.50-1 บาท จากเดิมที่ขายในราคา 6 บาท
JJNY : ตายอีก127คน ป่วยเพิ่ม14,437│‘คลัง’หั่นจีดีพีปีนี้เหลือ 3.5%│มาม่าขึ้นราคาขายส่ง│รอ กม.ลูก-พรบ.งบฯเสร็จยื่นซักฟอก
https://www.khaosod.co.th/covid-19/news_7020884
ศูนย์ข้อมูลโควิด-19 รายงานสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 วันที่ 28 เมษายน 2565 ยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 วันพฤหัสบดีที่ 28 เมษายน 2565 รวม 14,437 ราย จำแนกเป็น ผู้ป่วยจากในประเทศ 14,360 ราย ผู้ป่วยมาจากต่างประเทศ 77 ราย ผู้ป่วยสะสม 2,000,573 ราย (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565) ติดเชื้อเข้าข่าย / ATK 11,396 ราย
หายป่วยกลับบ้าน 18,509 ราย หายป่วยสะสม 1,868,475 ราย (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565) ผู้ป่วยกำลังรักษา 158,768 ราย เสียชีวิต 127 ราย จำนวนผู้ป่วยปอดอักเสบ รักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 1,827 ราย เฉลี่ยจังหวัดละ 24 ราย อัตราครองเตียง ร้อยละ 24.1
‘คลัง’ ยอมหั่นจีดีพีปีนี้เหลือ 3.5% เหตุสงครามรัสเซีย-ยูเครน ดันราคาพลังงานพุ่ง ลากเงินเฟ้อแตะ 5%
https://www.khaosod.co.th/economics/news_7019640
กระทรวงการคลังยอมหั่นจีดีพีปีนี้เหลือ 3.5% เหตุสงครามรัสเซีย-ยูเครน ดันราคาพลังงานพุ่ง ลากเงินเฟ้อแตะ 5%
คลังยอมหั่นจีดีพีปีนี้ – นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง กล่าวว่า คลังได้ปรับลดคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจไทย (จีดีพี) ในปี 2565 อยู่ที่ 3.5% โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ 3-4% ลดลงจากคาดการณ์เดิมที่ 4% เนื่องจากได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน ที่ส่งผลให้เศรษฐกิจประเทศคู่ค้าสำคัญของไทยชะลอตัวลง โดยเฉพาะประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรปและสหรัฐ ส่งผลกระทบให้ราคาพลังงานและอัตราเงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้น โดยในปีนี้คาดการณ์ว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะอยู่ที่ระดับ 5% ต่อปี โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ 4.5-5.5% ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปีก่อน
ขณะเดียวกัน มองว่าเศรษฐกิจไทยยังมีแนวโน้มฟื้นตัวได้จากปี 2564 โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการใช้จ่ายภายในประเทศที่ขยายตัวต่อเนื่อง โดยคาดว่าการบริโภคภาคเอกชนจะขยายตัวที่ระดับ 4.3% ต่อปี
ส่วนภาคการท่องเที่ยวที่คาดว่าจะขยายตัวได้เพิ่มขึ้น หลังจากมีการผ่อนคลายมาตรการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างประเทศมากขึ้น โดยคาดการณ์ว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างประเทศเดินทางเข้าไทย จำนวน 6.1 ล้านคน ขยายตัว 1,315% จากปี 2564 ที่มีจำนวนเพียง 4 แสนคน และคาดว่ารายได้จากการท่องเที่ยวจะฟื้นตัวขึ้น 3.7 แสนล้านบาท ขยายตัว 883%
“ในไตรมาส 1/2565 มีนักท่องเที่ยวต่างประเทศเดินทางเข้าไทยแล้วกว่า 5 แสนคน ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่สูงกว่าเมื่อเทียบกับทั้งปี 2564 และมีการประเมินว่าภาคการท่องเที่ยว รวมถึงรายได้จากภาคการท่องเที่ยวจะฟื้นตัวได้ดีขึ้นอย่างชัดเจนในช่วงครึ่งหลังของปีนี้” นายพรชัย กล่าว
นอกจากนี้ ในส่วนของการส่งออกสินค้าคาดว่าจะขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง ที่ระดับ 6% สูงขึ้นจากคาดการณ์เดิมที่ 3.6% โดยการดำเนินนโยบายของภาครัฐจะยังมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนเศรษฐกิจไทยอย่างต่อเนื่อง ผ่านการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2565 วงเงิน 3.1 ล้านล้านบาท และงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจ วงเงิน 3.18 แสนล้านบาท รวมทั้งเงินกู้ตามพ.ร.ก. ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคมจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพิ่มเติม พ.ศ. 2564 วงเงิน 5 แสนล้านบาท ที่ยังเหลือเม็ดเงินอีก 7.42 หมื่นล้านบาท โดยในส่วนนี้คาดว่าจะมีการเบิกจ่ายได้อย่างต่อเนื่อง และจะเป็นส่วนสำคัญในการสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
นายพรชัย กล่าวอีกว่า การลงทุนของภาครัฐในปีนี้ คาดว่าจะขยายตัวที่ 4.6% โดยแรงสนับสนุนจากมาตรการภาครัฐจะส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจและการลงทุนภายในประเทศปรับตัวสูงขึ้น โดยการลงทุนภาคเอกชนคาดว่าจะขยายตัวที่ 4.5%
สำหรับปัจจัยที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยที่ยังต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ได้แก่ 1. ความยืดเยื้อของสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน ที่ส่งผลกระทบต่อราคาพลังงาน โดยในปีนี้คาดว่าราคาน้ำมันดิบดูไบ จะทรงตัวอยู่ที่ระดับ 99.5 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล 2. ความไม่แน่นอนของสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19
3. ความเสี่ยงจากความผันผวนของเศรษฐกิจและการเงินโลก อาทิ การส่งสัญญาณปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางในหลายประเทศจากแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดการไหลออกของเงินทุนเคลื่อนย้ายระหว่างประเทศและส่งผลกระทบต่อค่าเงินบาท โดยในปี 2565 คาดว่าเงินบาทจะทรงตัวอยู่ที่ระดับ 33.10 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
4. ปัญหาข้อจำกัดในห่วงโซ่อุปทานการผลิต (Supply Disruption) เช่น การขาดแคลนอุปกรณ์เซมิคอนดักเตอร์ ในอุตสาหกรรมยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น
และ 5. ตลาดแรงงานยังคงฟื้นตัวไม่เต็มที่ จึงเป็นข้อจำกัดสำหรับการจับจ่ายใช้สอยของประชาชน และความสามารถในการชำระหนี้สินของภาคครัวเรือนที่ยังคงมีความเปราะบาง
“กระทรวงการคลังจะติดตามและประเมินผลกระทบจากปัจจัยต่างๆ อย่างใกล้ชิด และพร้อมที่จะดำเนินมาตรการทางการคลังและการเงินที่เหมาะสมเพื่อให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจเป็นไปอย่างต่อเนื่องและทั่วถึงในทุกภาคส่วนของเศรษฐกิจ โดยในส่วนของสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย และยูเครน หากสามารถยุติได้เร็ว จะอยู่ในรอบคาดการณ์เดือนมิ.ย. 2565 ซึ่งจะมีการเผยแพร่ข้อมูลในเดือนก.ค. แต่หากสถานการณ์ยังคงยืดเยื้อ ก็จะอยู่ในรอบคาดการณ์เดือนต.ค. 2565” นายพรชัย กล่าว
มาม่า อั้นไม่ไหว แจ้งขึ้นราคาขายส่ง ซองละ 0.50-1 บาท
https://www.prachachat.net/marketing/news-918727
“มาม่า” แจ้งขึ้นราคาขายส่ง อั้นไม่ไหว ต้นทุน ค่าขนส่ง-แป้ง-น้ำมันพืช พุ่งไม่หยุด คาดต้น พ.ค.ราคาขายปลีกทยอยปรับตาม ซองละ 0.50-1 บาท
วันที่ 27 เมษายน 2565 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ผลพวงจากทั้งปัญหาค่าขนส่ง วัตถุดิบสำคัญ อาทิ แป้ง น้ำมันพืช ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นระลอกๆ ตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา
ล่าสุด ซัพพลายเออร์บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปรายใหญ่ บริษัท ไทยเพรซิเด้นท์ฟู้ด จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ตรา มาม่า ได้ทยอยแจ้งการปรับขึ้นราคาสินค้าไปยังคู่ค้าต่างๆ หลังจากที่พยายามตรึงราคามาตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา
โดยสินค้าที่มาม่า แจ้งปรับราคา หลักๆ จะเป็นกลุ่มเส้นสีเหลือง อาทิ รสต้มยำกุ้ง รสหมูสับ เป็นต้น โดยมีการปรับราคาขายส่งเพิ่มขึ้นอีก 2-3 บาท/กล่อง (30 ซอง) หรือ 10-14 บาท/ลัง (6 กล่อง หรือ 180 ซอง) ส่วนเส้นขาว เช่น เส้นหมี่น้ำใส และมาม่า คัพ ยังไม่มีการปรับราคา
การปรับขึ้นราคาขายส่งดังกล่าวจะทำให้ ราคาขายมาม่าปรับเป็นกล่องละ 145 บาท จากเดิม 143 บาท และลังละ 870 บาท จากเดิม 858 บาท และในตลาดจะเริ่มทยอยใช้ราคาใหม่นี้ตั้งแต่ต้นเดือน พ.ค.ที่จะถึงนี้เป็นต้นไป
ขณะที่ นายสมชาย พรรัตนเจริญ นายกสมาคมค้าส่งค้าปลีกไทย กล่าวในเรื่องนี้ว่า ขณะนี้ ผู้ผลิต บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป 2 รายใหญ่ ทั้ง มาม่า และไวไว (โรงงานผลิตภัณฑ์อาหารไทย) ได้ปรับขึ้นราคาขายส่งตั้งแต่ช่วงต้นเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา เฉลี่ยประมาณ 3 บาท/กล่อง (30 ซอง) หรือประมาณ 0.083 สตางค์ต่อซอง ขณะที่อีก 2 แบรนด์ ยำยำ (อายิโน๊ะโมะโต๊ะ) และนิสชิน (นิสชินฟูดส์) ยังไม่มีการแจ้งปรับราคาขายส่ง แต่คาดว่าอาจจะแจ้งตามมาในเร็วๆ นี้
ผู้สื่อข่าวตั้งข้อสังเกตว่า หลังจากที่ราคาขายส่งปรับขึ้นดังกล่าวแล้ว คาดว่าอีกสัก 1-2 สัปดาห์ หรืออย่างช้า 1 เดือน ราคาขายปลีกในท้องตลาดก็จะทยอยปรับขึ้นตามมา และมีความเป็นได้ที่อาจจะปรับขึ้นเฉลี่ยซองละ 0.50-1 บาท จากเดิมที่ขายในราคา 6 บาท