ลำนำรักเทพบรรพกาล (1) : Angels and Devils. #บทที่๕ #

หลังจากที่สรษดาแสดงท่าทีแข็งกร้าวในครั้งนั้น พระนางมาทรีตระหนักถึงความแข็งแกร่งของโอรสสวรรค์ ซึ่งหากปล่อยไปนานวัน อาจควบคุมเขาไม่ได้อีกต่อไป จึงคิดตัดไฟแต่ต้นลม

“หากความลับเรื่องดวงตามารหลุดลอดออกไป ทุกสิ่งที่ข้าเพียรสร้างมาคงพินาศย่อยยับ ถึงแม้ว่าเจ้าจะเป็นหลาน แต่ในอนาคต เจ้าจะกลายเป็นขวากหนามชิ้นใหญ่ ข้าจะไม่มีวันยอมให้เกิดขึ้นได้..ขอโทษนะ สรษดา”

ป่าหิมพานต์ 

ฤๅษีเฒ่าผู้มากวิชาลืมตาถอดจิตออกจากฌานสมาธิ เมื่อรับรู้การมาเยือน และลุกขึ้นเดินออกมารอหน้าอาศรมอย่างไม่เต็มใจนัก 
เพียงไม่กี่อึดใจบังเกิดสายลมหวนม้วนวน ก่อนร่างใหญ่โตของนกหัสดินจะปรากฏ และยอบตัวลงแทบพื้น เพื่อส่งผู้เป็นนายที่นั่งอยู่บนหลังก้าวลงมายืนอย่างมั่นคง เจ้านกใหญ่จึงลุกขึ้นจำแลงกายเป็นบุรุษเช่นเดิม ซึ่งโดยปกติเวลาเดินทางพระนางมาทรีมักใช้ราชรถเป็นพาหนะเสียมากกว่า เพียงแต่ครั้งนี้นางไม่ต้องการความเอิกเกริก จึงเลือกที่จะนั่งบนหลังสัตว์ภูตแทน

สายตาของผู้ผ่านร้อนผ่านหนาวมาค่อนชีวิตหรี่ลงยามมองสัตว์ภูตศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งโดยทั่วไป สัตว์ภูตที่สามารถมีรูปกายจำแลงได้ ต้องบำเพ็ญตนถึงห้าร้อยปี แต่สัตว์ภูตตนนี้มีช่วงอายุประมาณสามร้อยปีเท่านั้น แต่สามารถสร้างร่างจำแลงได้แล้ว และยังมีฤทธาเหนือกว่าสัตว์ภูตในระดับเดียวกันอย่างมาก ทำให้ฤๅษีเฒ่านึกถึงคำล่ำลือที่เคยได้ยินมาเนิ่นนาน

ในครั้งสมัยที่พระนางมาทรีเป็นเพียงนางอัปสรผู้อ่อนเยาว์และบริสุทธิ์ผุดผ่อง ได้เที่ยวเล่นไปทั่วป่าหิมพานต์เฉกเช่นนางอัปสรตนอื่น ทว่า ความงามของเธอนั้นต้องตาต้องใจคนธรรพ์ตนหนึ่ง ซึ่งเพียรพยายามเกี้ยวพาราสี แต่ไม่สามารถพิชิตใจของนางได้ จึงฉุดคร่าขืนใจ จากนั้นก็รับปากว่าจะเลี้ยงดูเป็นอย่างดี 

ทว่า..คนธรรพ์ตนนี้ชื่นชอบการดื่มสุราเป็นชีวิตจิตใจ ยามเมามายเพื่อนฝูงขออะไรก็ให้หมด รวมถึงนางอัปสรที่ตนนั้นเคยสาบานว่าจะเลี้ยงดูเป็นอย่างดี สุดท้ายก็ถูกยกให้ชายอื่นผลัดมือกันชื่นชมครั้งแล้วครั้งเล่า นางอัปสรมาทรีได้แต่เก็บความเจ็บแค้นไว้ในอก จนเมื่อตกมาถึงมือของฤๅษีเฒ่าผู้มากด้วยอาคมตนหนึ่ง นางจึงใช้มารยาทำให้เขาลุ่มหลง โดยสิ่งแรกที่นางประสงค์คือ สัตว์ภูตศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งนางอัปสรเช่นตนนั้นไม่มีอิทธิฤทธิ์จับสัตว์ภูตได้ ฤๅษีเฒ่าจึงลงมือไปจับให้เอง โดยเลือกสัตว์ภูตที่คิดว่าดีที่สุดให้ รวมทั้งลงอาคมสยบความดุร้ายไว้ และสอนนางอัปสรให้เลี้ยงสัตว์ภูตด้วยเลือด แล้วมันจะเชื่อฟังโดยไม่จำเป็นต้องใช้อาคมควบคุมอีกต่อไป

นางอัปสรมาทรีอดทนเฉือนเนื้อใช้เลือดสดๆของตนเลี้ยงดูสัตว์ภูตและแอบศึกษาอาคมจากคัมภีร์อยู่นานนับปีจนแน่ใจว่าสัตว์ภูตเชื่อฟังประดุจเธอเป็นมารดาผู้ให้กำเนิด..ในค่ำคืนหนึ่ง หลังจากฤๅษีเฒ่าเสพสุขจนหลับลึก เธอจึงใช้กริชอาคมแทงเข้ากลางหน้าผากเพื่อสะกดดวงจิตอันแข็งแกร่ง ให้สัตว์ภูตฉีกกินทั้งเป็น เพื่อเพิ่มอิทธิฤทธิ์..จากนั้น ก็เริ่มชำระแค้นกับผู้ที่เคยย่ำยีเธอ จนสัตว์ภูตตนนี้สามารถจำแลงกายเป็นบุรุษติดตามรับใช้ผู้เป็นนายอย่างจงรักภักดี และนางอัปสรมาทรีได้มอบนามว่า พยม

จากนั้น ระหกระเหินอยู่หลายปี ก่อนท้าววิศิษฏ์จะรับเข้าไปอยู่ในวิมาน และเงียบหายไปนาน  จนกระทั่ง ได้ยินข่าวของนางอัปสรผู้นี้อีกครั้ง จากคำเล่าลือมาจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ว่า บุตรสาวคนโตของนางได้ขึ้นดำรงตำแหน่งพระมารดาแห่งสวรรค์
ความสวยงามยังเฉิดฉายไม่สร่างซา ทว่าแววตากลับเย็นเยือกจนน่าขนลุก

ฤๅษีเฒ่าเอ่ยทักทาย
“เคยได้ยินชื่อเสียงของท่านมานาน วันนี้เป็นครั้งแรกที่ได้พบ..นับว่าเป็นวาสนาของข้าเสียจริง”

พระนางจับได้ในเส้นเสียง ที่เหมือนจะยินดี แต่แท้จริงนั้นคงอยากหลีกหนีให้ไกล
“ที่ข้ามาวันนี้ มีเรื่องจะไหว้วานท่านสักเล็กน้อย”

“เอ่อ..เช่นนั้นเข้าไปคุยข้างในเถิด”

นางปรายสายตามองอาศรมเก่าซอมซ่อ แสนคับแคบอย่างเดียดฉันท์
“อย่าเลย..ข้าพูดไม่นานนัก” ตอบน้ำเสียงราบเรียบพลางพยักพเยิดให้สัตว์ภูตกางเขตอาคมครอบอาศรม ป้องกันภูตพรายที่อาศัยอยู่บริเวณรอบๆจะมารู้มาเห็นในสิ่งที่นางกำลังจะกระทำ

ฤๅษีเฒ่าเริ่มระแวง แต่ด้วยมั่นใจในวิชาอาคมที่ตนมี สัตว์ภูตตรงหน้าไม่สามารถทำอะไรเขาได้อย่างแน่นอน
“สิ่งที่พระนางจะไหว้วานข้านั้น คงเป็นเรื่องที่ไม่อาจแพร่งพรายได้สินะ”

รอยยิ้มปรากฏขึ้นเล็กน้อยบนมุมปากสีสด
“ข้าขอบอกตามตรงเลยก็แล้วกันว่า ที่มาในวันนี้ เพราะต้องการโอสถควบคุมวิญญาณของท่าน”

ผู้ฟังนิ่งขึงไปอึดใจ..ยาอวิชาตำรับนั้น เขาคิดค้นขึ้นมาเมื่อครั้งวัยฉกรรจ์ ซึ่งในขณะนั้น จิตใจเต็มไปด้วยความทะเยอทะยาน มุ่งมั่นจะอยู่เหนือฤๅษีตนอื่น จนเวลาล่วงเลยหลายปี ถึงตระหนักว่า ยาตัวนี้สามารถควบคุมจิตใจได้ในระยะเวลาสั้นๆ ทำให้ต้องรับยาอย่างต่อเนื่อง และเมื่อใช้ติดต่อกันนานปี ฤทธิ์ของยาจะดูดซึมทั้งเลือดเนื้อและจิตวิญญาณจนร่างกายทรุดโทรม สติเลื่อนลอยและสิ้นใจในที่สุด เขาจึงละทิ้งยาตัวนี้ และหันมาฝึกฌานสมาธิแทน

“ยาตำรับนั้นข้าทิ้งไปนานแล้ว..ต้องขออภัยที่ท่านต้องมาเสียเที่ยวเสียแล้ว”

“ทิ้งไปแล้ว ก็ปรุงขึ้นมาใหม่ได้..ท่านคงไม่แก่จนเลอะเลือนวิธีปรุงยาหรอกนะ ในเมื่อ ท่านเป็นผู้ที่คิดค้นมันขึ้นมาเอง”

“ยาตำรับนั้น ถือว่าเป็นภัย..ข้าคงไม่อาจทำตามที่ท่านประสงค์ได้ ท่านจงกลับไปเสียเถิด”

พระนางมาทรีมองท่าทีแข็งขึงของอีกฝ่าย และไม่คิดอดทนต่อความโอหังนั้นอีกต่อไป
“ข้าเองก็คิดไว้เช่นกันว่าท่านคงปฏิเสธ..แต่ในเมื่อข้าต้องการสิ่งใดแล้ว ท่านก็ไม่อาจขัดได้”

สิ้นคำ ร่างกำยำของสัตว์ภูตขยับเข้าหาด้วยท่าทีคุกคาม

ฤๅษีเฒ่ากระแทกปลายไม้เท้าลงพื้นดินจนสะเทือน ประกาศเสียงกร้าว
“เป็นแค่สัตว์ภูต คิดว่าจะเอาชนะข้าได้เรอะ” 

อีกฝ่ายหยุดยืน มองสบด้วยใบหน้าเรียบเฉย ก่อนแบมือบังเกิดลูกแก้วใส ซึ่งภายในกักขังภรรยาและลูกสาววัยเยาว์ของฤๅษีไว้
สีหน้าพลันเผือดซีด ตื่นตระหนก
“เจ้าช่างบังอาจนัก..คืนพวกเขามาให้ข้าเดี๋ยวนี้!”

พระนางมาทรียิ้มเยือน ขยับเข้าไปยืนข้างสัตว์ภูต พลางจ้องมองผู้ที่อยู่ภายในลูกแก้วด้วยสายตามุ่งร้าย 
“ข้าจะคืนลูกเมียให้ หลังจากข้าได้สิ่งที่ต้องการแล้ว”

“อย่าหมายข่มขู่ข้าได้ แค่สัตว์ภูตตนเดียว คิดเรอะว่าจะขวางข้าได้”

“ข้ารู้ว่าท่านนั้นมากด้วยวิชาอาคม สัตว์ภูตของข้าคงไม่อาจต้านทานได้..ดังนั้น ข้าก็เลยให้ท่านกินยาพิษเข้าไป และข้าก็ยังใจดีนะ คิดว่าหากท่านตายไปก็คงจะเหงา เลยให้ลูกเมียของท่านกินด้วย..เป็นไงล่ะ ข้ามีเมตตาขนาดนี้แล้ว ยังไม่สำนึกบุญคุณกันอีกเรอะ” 

“เหลวไหล ข้าไม่เคยกินยาพิษของเจ้า”
ตวาดเสียงลั่น และตั้งท่าจะเข้าฟาดฟัน แต่พระนางมาทรีไม่มีท่าทีตื่นกลัวสักนิด

ฤๅษีเฒ่าร่ายเวทได้ไม่กี่อักขระ ท้องไส้พลัน เจ็บปวดรุนแรงราวถูกบิดจนล้มลงไปขดร่างคุดคู้ด้วยความทรมาน และได้ยินเสียงเล็กแหลมหัวเราะขึ้นอย่างเย้ยหยัน เพราะนางนั้นสั่งสัตว์ภูตให้แอบผสมยาพิษในอาหารและน้ำดื่มไว้ก่อนหน้าแล้ว และรอคอยเวลาให้ยาออกฤทธิ์ ถึงได้เดินทางมาหาด้วยตนเอง

“เห็นไหมล่ะ ข้าจะโกหกท่านไปไย และข้านั้นก็รักษาสัจจะเสมอ เพียงแค่ท่านรับปากในสิ่งที่ข้าไหว้วาน ยาถอนพิษก็จะถูกแจกจ่ายให้ท่านพร้อมลูกเมียคนละหนึ่งเม็ดเพื่อระงับความเจ็บปวด”

ร่างที่นอนคุดคู้ฝืนลุกขึ้นนั่ง มองผู้พูดอย่างอาฆาต
“เพียงเพื่อระงับความเจ็บปวดเช่นนั้นเรอะ” 

“ใช่..หนึ่งเม็ด ต่อหนึ่งเดือน และอย่าหวังคิดปรุงยาแก้พิษด้วยตนเองเลย เพราะตัวยาส่วนใหญ่ข้านำมาจากห้องยาของสวรรค์” รวมทั้งใช้เลือดพิษของสัตว์ภูตเป็นส่วนผสมด้วย

“ถึงต่อให้ท่านสามารถปรุงยาสำเร็จ แต่คงต้องใช้ระยะเวลาหลายเดือน หรืออาจเป็นปี ซึ่งลูกเมียของท่านคงทนรอไม่ไหวเป็นแน่..หากไม่เชื่อ ท่านก็ลองดูได้นะ” แล้วหันมองผู้ที่ถูกขังในลูกแก้ว ซึ่งกำลังทุรนทุรายอย่างเจ็บปวด นางก็หัวเราะร่า หันกลับมาชี้ชวนฤๅษีเฒ่า

“ดูสิ ลูกเมียของท่านกำลังทรมานอยู่นะ..เหตุใดท่านถึงใจจืดใจดำมองลูกเมียทรมานต่อหน้าต่อตาได้เช่นนี้เล่า”

“ผ่านไปหลายปี ความโหดเหี้ยมของเจ้ากลับไม่ลดลงเลยสักกระผีก..เวรกรรมต้องตามสนองเจ้าในสักวัน”

“หึ เวรกรรมเรอะ! ช่างน่าขันนัก..ข้ามิใช่มนุษย์ เหตุใดต้องเชื่อเรื่องพวกนี้กันเล่า..ตอนนี้สิ่งที่ข้าต้องการก็คือยา เท่านั้น และหากยังอิดออด ลูกเมียของท่านคงจะไปเกิดใหม่ตามวัฏสงสารในไม่กี่อึดใจนี้เป็นแน่”

ฤๅษีเฒ่ามองภาพบุตรและภรรยาที่นอนดิ้นทุรนทุรายก็ไม่อาจฝืนทน จำต้องรับปาก
“ได้..รีบนำยาแก้พิษให้พวกเขา แล้วข้าจะรีบปรุงยาตามที่ท่านต้องการ”

เมื่อได้ฟังดังนั้น พระนางจึงมอบยาให้ทั้งสาม และสัตว์ภูตก็เก็บลูกแก้วกลับคืน
“ข้ารับปากแล้ว เหตุใดถึงไม่คืนพวกเขามาให้ข้า” ฤๅษีเฒ่าทวงถาม ขัดเคือง

“หากท่านนำเรื่องนี้ไปแพร่งพราย แล้วข้าจะทำเยี่ยงไร..ท่านไม่ต้องร้อนใจ หากทำตามคำสั่ง ข้ารับรองความปลอดภัยได้ แต่วันใดท่านบิดพลิ้ว ก็อย่าโทษที่ข้าจำต้องใจร้ายกับท่านก็แล้วกัน”

ฤๅษีได้แต่เก็บความโกรธแค้น แค่นเสียงออกไป
“ได้..ข้าไม่บิดพลิ้วอย่างแน่นอน และหวังว่าท่านจะรักษาคำพูด ไม่เช่นนั้น ข้าจะทำทุกทางเพื่อให้ท่านทุกข์ทรมานยิ่งกว่าข้าให้จงได้”

พระนางพยักหน้า
“ข้ารับปาก..ในเมื่อเราตกลงกันได้แล้ว อีกห้าวัน ข้าจะมารับยา”

“ห้าวันมันเร็วไป เพราะข้าต้องเสาะหาตัวยาและใช้เวลาในการปรุง..อย่างน้อยต้องสิบวัน”

“นานไป เจ็ดวันพอ”

“ข้าบอกแล้วไง นอกจากหาตัวยาแล้ว ยังว่าต้องใช้เวลาในการปรุงยาด้วย”
ฤๅษีเฒ่ายืนยันเสียงแข็ง แต่ก็ไม่สามารถสั่นคลอนความต้องการของอีกฝ่าย

“ตัวท่านก็มากด้วยอิทธิฤทธิ์ คงหาตัวยาได้ไม่ยาก เวลาที่เหลือใช้ปรุงยาได้เพียงพออยู่แล้ว..ข้ายังคิดว่า เจ็ดวันนั้นยังนานไปเสียด้วยซ้ำ..หรือจะห้าวันดี”
ฤๅษีเฒ่ากัดฟันกรอด

“ได้..เจ็ดวันก็เจ็ดวัน แต่ก่อนที่จะปรุงยา ท่านต้องนำเลือดของผู้ที่จะควบคุมมาให้ข้า..และข้าบอกเสียก่อนนะ ว่ายาตัวนี้ไม่สามารถใช้กับผู้ที่มีฤทธาเหนือข้า”

“ข้าเข้าใจ..เอาล่ะ ที่เหลือก็เป็นหน้าที่ของท่านก็แล้วกัน..อีกเจ็ดวัน ข้าจะมาเอาสิ่งที่ต้องการ”
เมื่อหมดธุระ นางก็กลับวิมาน โดยไม่สนใจสายตาอาฆาตของฤๅษีเฒ่า เพราะหากเมื่อใดที่หมดประโยชน์ นางจะกำจัดผู้นั้นทิ้งเสีย จะไม่ปล่อยให้เป็นปัญหาในภายหลังเด็ดขาด

(ต่อค่ะ)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่