ลำนำรักเทพบรรพกาล (1) : Angels and Devils. #บทที่๑๑ #(ชะตากรรมอันผกผัน.)

พระนางมาทรีไล่วิทูรกลับไปหลายอึดใจแล้ว แต่อารมณ์เดือดดาลยังคงอยู่ หันไปสั่งสัตว์ภูตน้ำเสียงเฉียบขาด
 “พยม เจ้าไปฆ่าเทพบรรพกาลผู้นั้นเดี๋ยวนี้ โทษฐานที่นางบังอาจทำให้ข้ากลายเป็นที่ขบขันของชาวสวรรค์”

สัตว์ภูตศักดิ์สิทธิ์มีสีหน้าหนักใจ
“เรื่องนี้สำหรับข้าแล้วคงเป็นไปไม่ได้แม้แต่จะคิด เทพบรรพกาลผู้นี้มีฤทธามากล้น แม้แต่เหล่ามหาเทพทั้งสิบหกชั้นฟ้า แปดดินแดนยังให้ความยำเกรง และหากผู้ใดเป็นปฏิปักษ์ต่อนาง นั่นก็เท่ากับว่าเป็นปฏิปักษ์ต่อท่านภาติกะ เทวราชผู้ทำลายด้วย แต่โดยปกติ เทพทั้งสองนี้จะถือสันโดษ การที่นางมาปรากฏตัวเช่นนี้ คงมีเรื่องอะไรสักอย่างไปกวนใจของนาง”

ยิ่งได้ฟัง ก็ยิ่งหัวเสีย

“แล้วมันเพราะอะไร เจ้าก็ไปหาสาเหตุมาให้ข้า” นางตวาดเสียงลั่น มือทั้งสองข้างกำแน่นจนสะท้าน “ข้าอุตส่าห์ลบเลือนความรู้สึกยามถูกผู้อื่นหยามหยันให้หายออกไปจากใจของข้า ข้าเพียรพยายามที่จะไม่นึกถึงเสียงซุบซิบนินทา วาจาดูหมิ่นที่ทำให้ข้าเจ็บช้ำมาครึ่งค่อนชีวิต จนเกือบจะลืมมันไปหมดแล้ว..แต่มาวันนี้ นางทำให้ข้าต้องกลับไปตกอยู่ในสภาพนั้นอีกครั้ง เพราะเหตุใดกัน”

เหตุการณ์เมื่อครู่ สายตาของชาวสวรรค์ที่จับจ้องและต่างกระซิบกระซาบดูถูกดูแคลนยังติดอยู่ในหัวราวกับภาพซ้ำในอดีต ยิ่งทำให้รู้สึกเจ็บแค้น และเมื่อไม่สามารถตอบโต้เทพบรรพกาลได้ นางจึงหันไปขว้างปาทำลายข้าวของเป็นการระบายโทสะจนเหนื่อยหอบ  
“ในเมื่อทำอะไรไม่ได้ ข้าก็จำต้องกล้ำกลืนฝืนทนปล่อยวางสินะ หึ! ไม่นึกเลย ว่าความสุขของข้าจะถูกเทพชั้นสูงเช่นนั้นก่อกวน แล้วยังเจ้าวิทูรอีก ช่างไม่ได้เรื่องเอาเสียเลย ทำตัวลนลานจนน่าหมั่นไส้ หากไม่เห็นว่ามันยังมีประโยชน์อยู่ ข้าคงส่งให้มันไปเกิดใหม่เช่นเดียวกับบิดาของมันแล้ว”

พุดพลางหายใจฟืดฟาดอย่างขุ่นเคืองที่ไม่มีอะไรได้ดั่งใจ ก่อนออกคำสั่ง
 “เจ้าคอยจับตาดูเจ้าวิทูรให้ดี ข้าไม่อยากให้ความขี้ขลาดของมัน มาทำให้แผนการของข้าเสียหาย”

สัตว์ภูตน้อมรับคำสั่งและเดินจากไป เหลือเพียงผู้เป็นนายที่ยังครุ่นคิดถึงแผนการณ์ในภายภาคหน้า
 

ภายในวิมานของโอรสสวรรค์..
วิทูรนั่งกอดเข่าอยู่บนที่นอน ภาพความเกรี้ยวกราดของผู้เป็นยายยังแจ่มชัดในหัว รวมทั้งริ้วรอยจากการถูกนางทุบตีก็ยังไม่หายไปจากเนื้อตัว และภายในใจยังสั่นสะท้านเมื่อนึกถึงดวงตาของเทพบรรพกาลยามจ้องเขม็งมา ชวนให้ขนลุกซู่ประหวั่นพรั่นพรึง ไม่เห็นถึงความเอ็นดูอย่างที่หญิงสาวกล่าวอ้างสักนิดเดียว

“หรือว่า..นางจะรู้ตัวตนที่แท้จริงของข้า แล้วหากเป็นเช่นนั้น นางจะบอกองค์อินทร์หรือไม่” เขาพึมพำอย่างตื่นตระหนก คาดเดาไปต่างๆนานา “หากเป็นเช่นนั้น องค์อินทร์ต้องสั่งโยนข้าลงจากสวรรค์ไปเป็นสัตว์เดรัจฉานเป็นแน่..ไม่! ข้าไม่อยากมีสภาพที่น่าอนาถเช่นนั้น”
เด็กหนุ่มเริ่มลนลาน หากเป็นดั่งที่คาดคิด ชาติภพนี้ก็คงไม่ได้กลับไปพบหน้าผู้ให้กำเนิด ซึ่งป่านนี้ไม่รู้จะเป็นอย่างไรบ้าง

เมื่อความหวาดกลัวเพิ่มพูน จิตใจก็ยิ่งคิดถึงผู้ให้กำเนิดทั้งสอง ซึ่งเมื่อก่อนมักเกิดคำถามหลายครั้งว่า เหตุใด มารดาถึงไม่มารับเขาสักที ถึงแม้ว่าผู้เป็นยายจะสั่งห้ามอย่างไร เขาก็เชื่อว่า ผู้ที่มีนิสัยดื้อรั้นไม่ยอมผู้ใดง่ายๆอย่างมารดาจะต้องหาหนทางมาเยี่ยมเยือนเขาจนได้ แต่ในความเป็นจริง มารดากลับหายเงียบราวไร้ตัวตน จนเขาหวาดระแวงว่าจะเกิดเรื่องร้ายขึ้น แต่เพราะนิสัยขี้ขลาดตาขาวที่ติดตัวมาแต่กำเนิด ทำให้ไม่กล้าซักไซ้เอากับผู้เป็นยาย เพราะแค่เอ่ยปาก ก็ถูกนางตวาดไล่จนสะดุ้งอยู่ร่ำไป

ถึงแม้ว่าตอนนี้จะดำรงสถานะโอรสสวรรค์ มีบริวารคอยรับใช้มากมาย ได้อยู่ในวิมานใหญ่โตรโหฐาน แต่สำหรับเขามันไม่ต่างอะไรกับคุกลอยฟ้า ไร้ซึ่งอิสรภาพ..ในทุกวันต้องตื่นแต่ย่ำรุ่งท่องตำรับตำรามากมายก่ายกอง ทั้งบำเพ็ญฌานสมาธิข้ามวันข้ามคืน จนเมื่อยขบไปทั้งตัว อีกทั้งต้องประพฤติตนอยู่แต่ในกรอบที่ผู้เป็นยายกำหนดไว้ให้ทุกอย่าง หากทำผิดพลาด ก็จะถูกเรียกมาทำโทษให้เจ็บเนื้อเจ็บตัว

หลายครั้งเขานึกอิจฉาเหล่าเด็กน้อยชาวสวรรค์ที่ได้เล่น ได้เที่ยวตามวัยอย่างเสรี แล้วเหตุใดเขาถึงมีชะตากรรมเช่นนี้ ด้วยเพียงแค่พลาดหลงคารมผู้เป็นยาย ที่ชักชวนให้มาเที่ยวสวรรค์ในครั้งนั้นเพียงครั้งเดียว ชีวิตของเขาจึงถูกจองจำให้อยู่ในความกลัวและหวาดระแวง โชคดีที่ยังมีพระมเหสีมณฑามอบความรัก ความอบอุ่นประดุจว่าเขาเป็นบุตรในอุทร เพียงแต่เขาไม่เข้าใจอย่างหนึ่งในตัวของพระมเหสี ที่ไม่ว่าจะต่อหน้าหรือลับหลังผู้อื่น พระนางก็จะเรียกเขาว่า สรษดา และยามพูดคุยก็เหมือนพูดคุยกับบุตรชายตัวจริง ไม่ใช่พูดกับเขาซึ่งเป็นหลานชาย จนเขาเองก็นึกแปลกใจที่พระนางจำบุตรของตนเองไม่ได้กระนั้นหรือ และบางครั้ง ก็ดูเหม่อลอยราวไร้ชีวิตจิตใจชอบกล 

ส่วนสรษดาตัวจริงที่ถูกผู้เป็นยายส่งไปศึกษาเล่าเรียนยังแดนหิมพานต์ตั้งแต่วัยเยาว์ก็หายเงียบ ไม่มีวี่แววว่าจะกลับมา และพระนางมาทรีก็ไม่ใส่ใจที่จะพูดถึงไม่เคยไปเยี่ยมเยียน และยังสั่งห้ามเขาปริปากพูดเรื่องนี้ขึ้นมาอีก รวมถึงการมาเยือนสวรรค์ของเขาเช่นกัน ราวกับว่า เขาไม่เคยมีตัวตนมาก่อน
วิทูรนึกทบทวนในพฤติกรรมและนิสัยของพระนางมาทรี แล้วก็เริ่มหวาดกลัว ดูเหมือนว่า ผู้ที่ทำให้นางไม่พอใจจะหายสาบสูญ นั่นก็คง จะรวมถึงเขาในสักวันหนึ่ง

เนื้อตัวสั่นเทาอย่างห้ามไม่อยู่ เมื่อนึกถึงชะตากรรมอันโหดร้ายที่กำลังจะมาเยือน..ด้านหนึ่งก็จากองค์อินทร์ ที่ต้องสั่งให้เขาไปกำเนิดเป็นสัตว์เดรัจฉานไม่รู้กี่ชาติภพ อีกด้านก็เป็นพระนางมาทรีผู้โหดเหี้ยม และไม่เคยเห็นเขาเป็นหลานชายจริงๆสักครั้ง และที่นางยังเลี้ยงดูก็คงเพราะว่าเขายังมีประโยชน์เท่านั้น หากหมดประโยชน์เมื่อใด ก็คงมีชะตากรรมไม่ต่างจากผู้อื่น

ยิ่งคิดก็ยิ่งหวาดกลัว คงถึงเวลาแล้ว ที่เขาต้องเสี่ยงหนีออกจากคราบจอมปลอมแห่งโอรสสวรรค์นี้เสียที

ในค่ำคืนหนึ่ง..
เด็กหนุ่มตระเตรียมทางหนีทีไล่จนมั่นใจว่าจะสามารถผ่านบรรดาทหารเทพที่เฝ้าแดนสวรรค์ออกไปได้ และเฝ้ารอยามวิกาลอันเงียบสงบมาเยือน ใช้มนต์กำบังกายหลบเร้นออกจากวิมานอย่างชำนาญหมายกลับแดนหิมพานต์ไปตามหาผู้ให้กำเนิดทั้งสอง ทว่า ยังไม่ทันพ้นเขตแดน ก็ถูกพยมจับได้ และถึงแม้จะต่อสู้ดิ้นรน แต่ไม่อาจสู้ฤทธาที่ภูตศักดิ์สิทธิ์มี เขาจึงถูกจับกลับไปอีกครั้ง

ไม่กี่อึดใจ..ร่างถูกผลักให้มาอยู่ต่อหน้าผู้เป็นยาย ซึ่งจ้องมองด้วยสีหน้าถทึง และก้าวเข้ามาตบใบหน้าเขาฉาดใหญ่ จนรู้สึกแสบชาไปทั้งซีก
“เจ้ากล้ามากนะ คิดจะหนีข้าเรอะ !”

วิทูรรีบแก้ตัว
“เปล่านะพ่ะย่ะค่ะ..หลานแค่รู้สึกว่าในวิมานมันอึดอัด เลยคิดจะออกมารับลม ก็เท่านั้นเอง”

“รับลมถึงประตูสวรรค์เลยเรอะ..หึ! อย่าคิดนะว่าข้าจะไม่รู้ทันความคิดอันขลาดเขลาของเจ้า”

“ในเมื่อเสด็จยายก็รู้ว่าหลานขลาดเขลา เช่นนั้น หลานก็ไม่กล้าหนีไปไหนแน่นอน..แต่ที่อยากออกไปก็เป็นเพราะ..เอ่อ...” วิทูรพยายามเค้นความกล้าออกมา เพื่อพูดในสิ่งที่ตนคิดไว้ เผื่อเกิดเหตุการณ์ผิดพลาด เช่นในขณะนี้

พระนางมาทรีเค้นถามเสียงเข้ม “เพราะอะไร”

“เอ่อ..ช่วงนี้แดนสวรรค์ใกล้ถึงเทศกาลเฉลิมฉลองกันแล้ว หลานเห็นบรรดาบริวารกระตือรือร้นที่จะกลับบ้านไปฉลองกับครอบครัว มันทำให้หลานคิดถึงท่านแม่..หลายปีแล้วที่เสด็จยายบอกว่าท่านแม่จะมาหากระหม่อม แต่จนป่านนี้ หลานก็ยังไม่ได้พบท่านแม่สักครั้ง..จึงคิดจะออกไปเยี่ยมด้วยตัวเอง..จากนั้นค่อยกลับมาพ่ะย่ะค่ะ”

“กลับมาเรอะ?” นางทวนประโยคนั้นอย่างไม่ไว้ใจ

“พ่ะย่ะค่ะ..หลานจะกลับมาอย่างแน่นอน” เขายืนยัน พลันสะดุ้งเฮือกกับเสียงตลาดลั่นของนาง

“โกหก ! ..วาจาบุรุษนั้นล้วนโกหกทั้งสิ้น” พร้อมผลักอกเขาเต็มแรง จนร่างสูงเพรียวล้มลงไปนั่งกับพื้นหน้าตาตื่น

“หลานพูดความจริง..หลานแค่อยากพบท่านแม่เท่านั้น”

พระนางมาทรีแค่นยิ้มเหี้ยมเกรียม
“หึ ! อยากพบแม่มากใช่ไหม..ได้ ข้าจะให้เจ้าได้สมหวัง” แล้วหันไปสั่งภูตศักดิ์สิทธิ์ “ลากมันไป!”

พยมตรงเข้าฉุดกระชากร่างของวิทูรให้ลุกขึ้นเดินตรงไปห้องลับ 

(ต่อค่ะ)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่