กระทู้นี้จริงๆแล้วจะเอาลงกระทู้สนทนา แต่เนื่องจากไม่สามารถยืนยันตัวตนด้วยบัตรประชาชนได้ ก็เลยขอเอาลงกระทู้คำถามไปก่อนละกันนะคะ เมื่อปลายเดือนมิถุนาปี 2564 จขกท เพิ่งออกจากงานกำลังมองหางานใหม่ มีอยู่วันเห็นพี่ที่ทำงานเก่าโพสต์ใน line ว่ารับสมัคร call center ก็เลยโทรไปสอบถามดูซึ่งเขายังรับอยู่ ก็เลยเข้าไปสมัครที่ตึกอมรพันธ์สีขาวเขียว ซึ่งบริษัทนี้เป็น outsource ที่ส่งคนไปทำงานตามหน่วยงานต่างๆ ฉันได้ไปทำ call center ที่บริษัทสีส้มแห่งนึงที่อินทามระ 41 ซึ่งลักษณะงานก็คือโทรออกหาลูกค้า เพื่อตรวจสอบความถูกต้องและแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับรถหรือโฉนดที่ดินที่ลูกค้าเอามาขอสินเชื่อ เทรนงานอยู่ประมาณ 2-3 วัน เขาก็ให้เลือกระหว่าง outbound กับ telesale ซึ่งฉันเลือก outbound เพราะต้องการหยุดเสาร์-อาทิตย์ พอลงงานจริงเขาก็มี script ให้ว่าเราต้องพูดกับลูกค้ายังไง เวลาคุยกับลูกค้าเสร็จก็ต้องลงบันทึกด้วยว่าผลเป็นยังไง ติดต่อได้ไม่ได้ลูกค้ารับสายไม่รับสาย ซึ่งแผนกที่ฉันทำอยู่จะมีหัวหน้างาน 2 คนแบ่งเป็นทีม 1 และทีม 2 ซึ่งฉันอยู่ทีม 1 ขอเรียกหัวหน้า 2 คนว่าบอสพุงกลมกับบอสก้านยาวตามลักษณะตัวก็แล้วกัน ซึ่งทั้งคู่เป็นหัวหน้าทีม 1 และ 2 ตามลำดับ ช่วงที่เข้าไปทำแรกๆเดือนกรกฎา-สิงหา ช่วงนั้นโควิดกำลังระบาดหนัก ทางบริษัทก็เลยให้สลับเวลาเข้างานเลิกงาน จากที่เคยเข้า 8.30 น.-17.30 น. เป็น 8.15 น.-19.15 น. อาทิตย์ไหนเข้า 8.30 น.ก็จะทำงาน 5 วันจันทร์-ศุกร์ แต่อาทิตย์ไหนที่เข้า 8.15 น.ก็จะลดจากทำงาน 5 วันเหลือ 4 วันเพราะมันเลิกดึกกว่า แล้วเขาจะให้หยุดวันธรรมดาวันใดวันหนึ่งแทน พอกลับบ้านไปบอกแม่ว่าจะต้องเลิกดึกสลับกันนะ แม่ก็ไม่พอใจอย่างมากเพราะช่วงนั้นโรคก็ระบาดหนัก และตอนนั้นก็ยังไม่ได้ฉีดวัคซีนเลยสักเข็มแม่บอกว่า “ทุ่มนึงนี่มันดึกเกินไปนะสำหรับสถานการณ์ที่มีการเคอร์ฟิวแบบนี้ ไหนจะต้องเผื่อเวลาเดินทางอีก” ตอนแรกแม่กะจะไม่ให้ทำแล้ว แต่ฉันชอบงาน call center เพราะเป็นงานที่ทำแล้วมีความสุข ได้อยู่กับตัวเองไม่ต้องยุ่งไม่ต้องเจ๊าะแจ๊ะอะไรกับใคร แค่ลงบันทึกผลการโทรกับลูกค้าระวังอย่าให้ผิดก็เท่านั้นเอง ฉันก็เลยไปปรึกษากับหัวหน้า 2 คนว่าจะหาทางแก้ไขช่วยฉันได้ยังไงดี จะออกหัวหน้าก็บอกว่าคิดให้ดีตอนนี้งานหายากนะ บอสก้านยาวก็เลยบอกว่าให้บอกเขาไปว่า “ตอนนี้เรายังไม่มีนโยบาย WFH ก็ต้องเอาตามนี้ไปก่อน เพราะเขาต้องการให้ลดวันทำงานเพื่อลดจำนวนคน แต่ชั่วโมงการทำงานยังต้องเท่าเดิมอยู่ ไว้อีกหน่อยอนาคตถ้า WFH ได้ก็อาจจะทำ คุยกับเขาให้รู้เรื่องแล้วมาบอกพี่นะ” บอสก้านยาวนี่อายุอ่อนกว่าฉัน 3 ปีนะคะ แต่เขาแทนตัวเองว่าพี่ ตอนแรกคุยกับเขาก็เรียกเขาว่าพี่ เพราะไม่รู้ว่าอายุเท่าไหร่ แต่พอรู้อายุก็เลยเปลี่ยนสรรพนามมาแทนตัวเองว่าพี่ และเรียกเขาว่าบอสเรียกชื่อตรงๆบ้าง เพราะฉันจะเป็นคนเรียกคนตามศักดิ์ คนอื่นจะคิดยังไงฉันไม่รู้นะ แต่สำหรับฉันไม่สะดวกใจที่จะเรียกคนอ่อนกว่าว่าพี่ สมมุติถ้าฉันเป็นหัวหน้าแล้วลูกน้องที่อายุมากกว่า ต้องมาเรียกฉันว่าพี่ฉันเกรงใจค่ะ ก็เลยกลายเป็นว่าต่างคนต่างเรียกแทนตัวเองว่าพี่ทั้งคู่ ส่วนเขาก็เรียกชื่อฉันตรงๆฟังดูแล้วก็ตลกดีเหมือนกัน 555 แต่ฉันว่าเขาเก่งนะอายุแค่นี้แต่ได้เป็นถึง supervisor แล้ว เห็นว่าก่อนหน้านี้เขาก็เคยเป็นหัวหน้างานที่เงินติดล้อมาก่อนด้วย ฉัน 35 แล้วยังเป็นระดับลูกน้องอยู่เลย ฉัน add facebook เขาไปด้วยแต่เขาไม่รับ
เล่ามาถึงตรงนี้ขอนอกเรื่องนิดนึงนะคะ หลังจากคุยกับแม่เข้าใจแล้ว ในที่สุดแม่ก็ยอมให้กลับไปทำค่ะ ก็ต้องขอบคุณบอสก้านยาวที่ช่วยหาวิธีพูดให้แต่แม่บอกว่า “ไม่ใช่ให้เลิกทุ่มนึงไปตลอดนะ ถ้าจะให้กลับดึกตลอดก็ออกไปเลย แล้วถ้าแม่มีอะไรที่ดีกว่าแม่ให้เราออกได้ไหม” ฉันก็เลยถามไปว่าที่ที่ดีกว่านี่คืออะไร แม่บอกจะฝากงานให้ไปทำกับบริษัทน้าชาย ซึ่งน้าคนนี้เป็นเจ้าของบริษัทอยู่ พ่อแม่ฉันทำงานอยู่ที่นี่เหมือนกัน ตอนนั้นบริษัทน้ากำลังขาดคนอยู่พอดี น้าก็เลยชวนให้ไปทำทั้งพ่อและแม่ แม่บอกถ้าแม่คุยให้น้าเขาให้อยู่แล้ว เพราะเราเป็นหลานถึงยังไงเขาก็คงไม่เอาเราออกหรอก แต่ปัญหามันมีอยู่ว่าแม่เขาเป็นคนใจร้อนใจเร็วแล้วฉันเป็นคนช้า คนเร็วกับคนช้ามาอยู่ด้วยกันส่วนมากมักมีปัญหาทุกที่ และแม่เขาเป็นคนเจ้าอารมรณ์ค่อนไปทางโมโหร้ายด้วย ฉันก็เลยเอาเรื่องนี้ไปปรึกษาลูกพี่ลูกน้องที่ไว้ใจได้ เพราะเราสนิทกันเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็กเธอบอกว่า “ถ้าเราต้องไปอยู่กับแม่ตลอดทั้งวันพี่กลัวว่าเราจะอึดอัดน่ะสิ ถ้าเรายังชอบและมีความสุขกับงานตรงนี้อยู่ เราก็ต้องคุยกับแม่เขาให้เข้าใจ” แต่ฉันรู้นิสัยแม่ดีเขาพูดคำไหนคำนั้น ฉันบอกเขาแล้วว่าฉันยังอยากทำงานที่นี่อยู่ ขอให้ฉันอยู่ต่อจนกว่าเขาจะไม่เอาแล้วค่อยไปทำกับแม่ได้ไหม แต่เขาก็ไม่พอใจมากทะเลาะกันบ้านแตกเขาบอก “งานที่มีความสุขแต่สวัสดิการอะไรไม่มีเลยนะ (บริษัท outsource ที่ส่งไปทำที่นี่ให้เงินเดือน 12000 หักภาษี 3%) คือถ้าเราได้ทำงานที่มันมีประกันสังคมแม่ก็จะไม่เข้าไปยุ่งหรอก อายุขนาดนี้แล้วยังไม่มีเงินเก็บเป็นก้อน อีกหน่อยแก่ตัวลงจะลำบากนะ” คือแม่เขาต้องการให้ฉันทำงานที่มีประกันสังคมมาตรา 33 เพราะเขาต้องการให้ฉันมีเงินสะสมเก็บเป็นก้อน ทุกวันนี้ทำประกันตนเองมาตรา 39 อยู่ ฉันเห็นด้วยกับลูกพี่ลูกน้อง ถ้าต้องอยู่กับแม่ทั้งวันรับรองว่าอึดอัดแน่นอน ขนาดเสาร์-อาทิตย์ช่วยเขาทำงานบ้าน ช่วยซักผ้าทำอะไรผิดเขาเอาสายยางฉีดน้ำใส่หน้าฉันเลย คืออยู่กับแม่เสาร์-อาทิตย์วันหยุดนักขัตฤกษ์ วันธรรมดาเจอเช้าเจอเย็นได้ค่ะแต่ไม่ใช่ทุกวันทั้งวัน ถ้า 24 ชั่วโมงพูดตรงๆไม่ไหวค่ะอึดอัดคือระยะห่างมันต้องมี ปกติฉันเป็นคนพูดอะไรตรงไปตรงมามากเลยนะ ลองอ่านกระทู้เก่าที่เคยโพสต์ดูเล่นๆก็ได้ค่ะ
https://ppantip.com/topic/38685083? แต่กับแม่เรื่องนี้พูดไม่ได้ค่ะ ขืนบอกไปตรงๆก็กลัวแม่เขาจะเสียใจ ถึงแม่จะเป็นยังไงแต่อีกด้านเขาก็มีบุญคุณให้กำเนิดเรามา ถึงเขาจะบอกไม่ต้องกลัวหรอกว่าจะใจร้อน ถ้าสอนงานน่ะรับรองว่าใจเย็นแน่นอน แต่ฉันก็ยังไม่มั่นใจอยู่ดีเกิดถึงเวลาจริงๆเขาทำไม่ได้อย่างที่พูดล่ะ คือแม่เขาไม่ใช่คนดุธรรมดาเขาดุแบบดุมาก ถ้าแม่เขาเป็นคนใจเย็นมีอะไรค่อยๆพูดค่อยๆจา มีปัญหาอะไรฉันกล้าเล่าให้เขาฟังทุกเรื่องแน่นอน 100% แต่นี่แม่เขาไม่ใช่คนแบบนั้น แม่เขาบอกฉันเป็นของฉันได้แค่นี้ล่ะมีอะไรไหม
และมีอีกอย่างบริษัทน้าที่ไม่ชอบ คือทำงานจันทร์-เสาร์ให้หยุดได้แค่เสาร์เดียวคือเสาร์ที่ 2 ของเดือน ฉันเคยทำงานจันทร์-ศุกร์มาตลอด ฉันไม่อยากไปทำงานวันเสาร์ ถ้าที่ไหนทำวันเสาร์พูดตรงๆขอบายค่ะ ไม่ใช่แค่นั้นที่นั่นยังชอบสลับวันหยุดไปมาด้วย เช่น หยุดเสาร์ที่ 2 บางทีมีเหตุจำเป็นต้องเข้าบริษัทก็ไม่ให้หยุด เกิดคนไหนที่เขาวางแผนจะไปทำธุระจะไปไหนต่อไหนก็ผิดแผนหมด หลังจากตัดสินใจที่จะไม่ไปทำงานกับแม่ที่บริษัทน้า ฉันก็ลองมาคิดหาทางว่าจะทำยังไงดี ตอนนั้นช่วงเดือนกรกฎาคุณยายเสียพอดี เลยทำให้ฉันมีโอกาสได้เจอน้าชายที่เป็นเจ้าของบริษัทที่งานศพคุณยาย ฉันก็เลยไปขอเบอร์โทรศัพท์จากน้าชายคนนี้ พอโทรไปหาน้าก็เลยเล่าทุกอย่างตามจริง แต่ไม่ได้บอกเรื่องวันเสาร์กลัวน้าจะเสียใจ แค่บอกไปว่าแม่เป็นคนอารมณ์ร้อน ไม่สามารถอยู่กับแม่ทั้งวัน 24 ชั่วโมงได้ ฉันก็เลยบอกไปว่า “ไม่ใช่ว่าบริษัทน้าไม่ดีนะคะ แต่หนูมีงานที่ชอบและยังมีความสุขกับงานตรงนี้อยู่ และอีกอย่างก็คือหนูไม่สามารถอยู่กับแม่ได้ 24 ชั่วโมง เพราะแม่เขาเป็นคนอารมณ์ร้อน ขอหนูทำงานตรงนี้จนกว่าเขาจะไม่เอาหนูก่อน ไว้ถ้าหนูพร้อมไปทำกับน้าเมื่อไหร่หนูจะบอก” น้าก็เลยถามว่าจะให้น้าช่วยยังไงฉันตอบไปว่า “ถ้าพ่อหรือแม่คุยเรื่องฝากงานช่วยปฏิเสธว่าไม่รับคนได้ไหมคะ” น้าก็ตอบกลับมาว่า “ได้จ้ะไว้เดี๋ยวน้าจะหาทางปฏิเสธแบบไม่น่าเกลียดไปละกัน”
เอาล่ะนอกเรื่องไปนานกลับเข้ามาเข้าเรื่องกันต่อนะคะ ช่วงแรกที่เข้ามาแผนก outbound จะมีนายผู้หญิงตำแหน่งระดับ manager ชื่อพี่ น.เป็นบิ๊กบอสดูแลแผนกนี้อยู่ ซึ่งเธอเป็นคนใจดี มีน้ำใจ ไม่จู้จี้จุกจิก พอหมดเดือนสิงหาเข้าเดือนกันยา จากนั้นทุกอย่างก็เปลี่ยนไปเมื่อพี่ น.ย้ายไปเป็นเจ้านายฝั่ง inbound แล้วมี manager ผู้ชายชื่อพี่ ต.ซึ่งย้ายมาจากเชียงใหม่มาเป็นนายแผนก outbound แทนพี่ น.ต่อไปฉันจะเรียกเขาว่าบิ๊กบอสนะคะ เป็นคนค่อนข้างจู้จี้จุกจิกไม่เหมือนพี่ น. วันที่เข้ามาที่อินทามระวันแรกเขาเรียกพวกเราประชุมด้วย ซึ่งตัวเขาเองเป็นพนักงานประจำอยู่ที่สำนักงานใหญ่แจ้งวัฒนะ แต่จะเข้ามาที่อินทามระเป็นครั้งคราว พอนายคนนี้เข้ามาไม่นาน หัวหน้า 2 คนก็เรียกประชุมเรื่องย้ายสถานที่ทำงานจากอินทามระไปอยู่ที่แจ้งวัฒนะ ซึ่งหลายคนก็ไม่เห็นด้วยเพราะการเดินทางไกลกว่าเดิม ถ้าไม่ได้ช่วย support ค่าใช้จ่ายในการเดินทางก็ไม่คุ้มที่จะไป เพราะอยู่ตรงนี้ยังมีรถเมล์ยังมีรถใต้ดิน ตอนแรกเขากะจะให้ย้ายไปที่นั่นประมาณต้นเดือนกันยาเลย หัวหน้า 2 คนบอกพี่ น.ไม่ใช่นายเราแล้วเราถึงต้องย้ายไป ซึ่งวันที่เขาแจ้งนั้นน่าจะปลายๆเดือนสิงหาแล้ว ซึ่งเป็นการแจ้งแบบกะทันหันมาก แต่ตอนหลังไม่รู้คุยกันยังไงก็เลื่อนออกไปก่อน พวกเราก็ได้อยู่อินทามระต่ออีกนิดนึง ตั้งแต่บิ๊กบอสมาเป็นนายของเราก็กำหนดกฎเกณฑ์มากมาย ต้องโทรออกให้ได้กี่สายต่อวัน จำนวนลูกค้ารับสายกี่ % ซึ่งยอดล่าสุดก็คือ 150 สาย/วัน จำนวนลูกค้ารับสายประมาณ 60%-65%
ทีนี้มาดูสไตล์การทำงานของฉันบ้าง แต่ก่อนตอนยังไม่กำหนดจำนวนสาย เขาจะให้โทรงานไล่จากวันที่จากอดีตขึ้นมาปัจจุบัน ฉันก็โทรงานของฉันไปเรื่อยๆ เห็นว่าอยากได้จำนวนลูกค้ารับสายเยอะ ฉันก็จะโทรจนกว่าสายจะตัดไปเอง เพื่อเพิ่มโอกาสให้ลูกค้ารับสายได้มากที่สุด แต่ฉันจะโทรค่อนข้างช้าเพราะเป็นคนพูดช้าพิมพ์ช้า พิมพ์สัมผัสไม่ได้ต้องดูแป้น บางทีเพื่อนโทรไปถึงวันที่ปัจจุบันแล้ว แต่ฉันยังไล่โทรวันที่ของเก่าอยู่เลย มีอยู่วันบอสพุงกลมก็มาบอกฉันว่า ให้โทรออกหาลูกค้าเอาแค่ 3-4 ตื๊ดพอ แล้วเวลาพูดให้แรปใส่ลูกค้าไปเลย จะได้ได้จำนวนสายเยอะๆและเก็บงานทันคนอื่นเขา ซึ่งฉันก็ลองทำตามเอาตื๊ดแค่นั้น แต่เวลาพูดไม่ได้แรปใส่ลูกค้าหรอกนะคะ ไม่เอาหรอกเดี๋ยวลูกค้าฟังไม่ทันพูดให้ชัดถ้อยชัดคำดีกว่า ปรากฏว่าได้จำนวนสายเยอะก็จริง แต่ลูกค้ารับสายก็จะน้อยเพราะเรารีบตัดสายไปซะก่อน ซึ่งบางทีคนไหนที่โทรงานช้าๆเขาก็จะตัดวันที่นั้นๆออกไม่ต้องโทรเลย แล้วให้มาโทรวันที่ปัจจุบันแทน แต่ต่อมาเนื่องจากเขากำหนดจำนวนสาย ก็ต้องปรับวิธีการโทรเพื่อให้ได้ตามยอดที่เขาต้องการ น้องผู้ชายคนนึงบอกว่าเอาแค่ 5-6 ตื๊ดพอไม่งั้นไม่ทัน เพราะส่วนใหญ่ถ้าเกินจากนี้เขาก็ไม่ค่อยรับกันแล้ว ฉันลองทำตามดูก็ได้จำนวนสาย 150/วัน จำนวนคนรับสายประมาณ 40% ปลายๆ – 50% ต้นๆ คือจำนวนสายได้แต่ % รับสายไม่ได้ แต่จะกลับไปโทรจนสายตัดไปเองแบบเดิมก็ไม่ได้แล้ว เพราะขนาดเอาตื๊ดแค่นี้กว่าจะเคลียร์งานให้ได้ครบสายก็ล่อเกือบหมดวัน สำหรับฉัน 150 นี่เหนื่อยมากนะกว่าจะหมดวันเหมือนใจจะขาดเลย เพื่อนบอกงาน call center น่ะสบายแต่เหนื่อย ฉันถามว่ายังไงเธอบอกเดี๋ยวเข้าไปทำก็รู้เองที่แท้มันเป็นอย่างนี้นี่เอง ฉันก็เลยต้องเลือกได้อย่างเสียอย่าง จริงๆถ้าจะเอา 150 สายและ % รับสายมากกว่านี้ ฉันก็ต้องโทรจนกว่าสายจะตัดไปเองเหมือนเก่า ครบเมื่อไหร่ก็กลับเมื่อนั้นเกินเวลาก็ช่างมัน แต่ปัญหามันมีอยู่ว่าแม่ไม่ให้กลับดึก เพราะเขากลัวโควิดมากเขาบอกว่า “ถ้าสถานการณ์ปกติเราจะอยู่เคลียร์งานกี่ทุ่มกี่ยามแม่ไม่ว่าหรอก แต่ช่วงนี้แม่ขอเราต้องเข้าใจสถานการณ์ เราร่างกายแข็งแรงถ้าเป็นยังมีโอกาสรอด แต่แม่มีโรคประจำตัว (ความดัน) ถ้าแม่เป็นแม่ตายอย่างเดียวเลยนะ คือถ้าเราให้แม่ไม่ได้ก็ไม่ต้องทำออกมาเถอะ ไม่ให้อยู่เกินเวลา 5 โมงครึ่งกลับมาเลยนะ” พอแม่ยื่นคำขาดมาแบบนั้นฉันก็จนใจไม่รู้จะทำยังไง คืออยากอยู่เคลียร์งานให้เสร็จได้ % รับสายเยอะก็จริง แต่ก็ต้องทำเวลาในการเดินทางกลับบ้านด้วย เพราะจะให้มีปัญหากระทบกับที่บ้านก็ไม่ได้เหมือนกัน เพราะแม่เขาก็ให้คนละครึ่งทางแล้ว เรื่องราวยังไม่จบนะคะแต่หลังจากนี้จะขอพิมพ์ต่อใน comment ลงไปด้านล่างตามลำดับนะคะ เนื่องจากไม่สามารถพิมพ์ให้จบในนี้ได้ เพราะพันทิปไม่ให้พิมพ์เกิน 10000 ตัวอักษร
เล่าประสบการณ์การทำงาน call center ที่บริษัทสีส้มร่วมกับออมสิน
เล่ามาถึงตรงนี้ขอนอกเรื่องนิดนึงนะคะ หลังจากคุยกับแม่เข้าใจแล้ว ในที่สุดแม่ก็ยอมให้กลับไปทำค่ะ ก็ต้องขอบคุณบอสก้านยาวที่ช่วยหาวิธีพูดให้แต่แม่บอกว่า “ไม่ใช่ให้เลิกทุ่มนึงไปตลอดนะ ถ้าจะให้กลับดึกตลอดก็ออกไปเลย แล้วถ้าแม่มีอะไรที่ดีกว่าแม่ให้เราออกได้ไหม” ฉันก็เลยถามไปว่าที่ที่ดีกว่านี่คืออะไร แม่บอกจะฝากงานให้ไปทำกับบริษัทน้าชาย ซึ่งน้าคนนี้เป็นเจ้าของบริษัทอยู่ พ่อแม่ฉันทำงานอยู่ที่นี่เหมือนกัน ตอนนั้นบริษัทน้ากำลังขาดคนอยู่พอดี น้าก็เลยชวนให้ไปทำทั้งพ่อและแม่ แม่บอกถ้าแม่คุยให้น้าเขาให้อยู่แล้ว เพราะเราเป็นหลานถึงยังไงเขาก็คงไม่เอาเราออกหรอก แต่ปัญหามันมีอยู่ว่าแม่เขาเป็นคนใจร้อนใจเร็วแล้วฉันเป็นคนช้า คนเร็วกับคนช้ามาอยู่ด้วยกันส่วนมากมักมีปัญหาทุกที่ และแม่เขาเป็นคนเจ้าอารมรณ์ค่อนไปทางโมโหร้ายด้วย ฉันก็เลยเอาเรื่องนี้ไปปรึกษาลูกพี่ลูกน้องที่ไว้ใจได้ เพราะเราสนิทกันเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็กเธอบอกว่า “ถ้าเราต้องไปอยู่กับแม่ตลอดทั้งวันพี่กลัวว่าเราจะอึดอัดน่ะสิ ถ้าเรายังชอบและมีความสุขกับงานตรงนี้อยู่ เราก็ต้องคุยกับแม่เขาให้เข้าใจ” แต่ฉันรู้นิสัยแม่ดีเขาพูดคำไหนคำนั้น ฉันบอกเขาแล้วว่าฉันยังอยากทำงานที่นี่อยู่ ขอให้ฉันอยู่ต่อจนกว่าเขาจะไม่เอาแล้วค่อยไปทำกับแม่ได้ไหม แต่เขาก็ไม่พอใจมากทะเลาะกันบ้านแตกเขาบอก “งานที่มีความสุขแต่สวัสดิการอะไรไม่มีเลยนะ (บริษัท outsource ที่ส่งไปทำที่นี่ให้เงินเดือน 12000 หักภาษี 3%) คือถ้าเราได้ทำงานที่มันมีประกันสังคมแม่ก็จะไม่เข้าไปยุ่งหรอก อายุขนาดนี้แล้วยังไม่มีเงินเก็บเป็นก้อน อีกหน่อยแก่ตัวลงจะลำบากนะ” คือแม่เขาต้องการให้ฉันทำงานที่มีประกันสังคมมาตรา 33 เพราะเขาต้องการให้ฉันมีเงินสะสมเก็บเป็นก้อน ทุกวันนี้ทำประกันตนเองมาตรา 39 อยู่ ฉันเห็นด้วยกับลูกพี่ลูกน้อง ถ้าต้องอยู่กับแม่ทั้งวันรับรองว่าอึดอัดแน่นอน ขนาดเสาร์-อาทิตย์ช่วยเขาทำงานบ้าน ช่วยซักผ้าทำอะไรผิดเขาเอาสายยางฉีดน้ำใส่หน้าฉันเลย คืออยู่กับแม่เสาร์-อาทิตย์วันหยุดนักขัตฤกษ์ วันธรรมดาเจอเช้าเจอเย็นได้ค่ะแต่ไม่ใช่ทุกวันทั้งวัน ถ้า 24 ชั่วโมงพูดตรงๆไม่ไหวค่ะอึดอัดคือระยะห่างมันต้องมี ปกติฉันเป็นคนพูดอะไรตรงไปตรงมามากเลยนะ ลองอ่านกระทู้เก่าที่เคยโพสต์ดูเล่นๆก็ได้ค่ะ https://ppantip.com/topic/38685083? แต่กับแม่เรื่องนี้พูดไม่ได้ค่ะ ขืนบอกไปตรงๆก็กลัวแม่เขาจะเสียใจ ถึงแม่จะเป็นยังไงแต่อีกด้านเขาก็มีบุญคุณให้กำเนิดเรามา ถึงเขาจะบอกไม่ต้องกลัวหรอกว่าจะใจร้อน ถ้าสอนงานน่ะรับรองว่าใจเย็นแน่นอน แต่ฉันก็ยังไม่มั่นใจอยู่ดีเกิดถึงเวลาจริงๆเขาทำไม่ได้อย่างที่พูดล่ะ คือแม่เขาไม่ใช่คนดุธรรมดาเขาดุแบบดุมาก ถ้าแม่เขาเป็นคนใจเย็นมีอะไรค่อยๆพูดค่อยๆจา มีปัญหาอะไรฉันกล้าเล่าให้เขาฟังทุกเรื่องแน่นอน 100% แต่นี่แม่เขาไม่ใช่คนแบบนั้น แม่เขาบอกฉันเป็นของฉันได้แค่นี้ล่ะมีอะไรไหม
และมีอีกอย่างบริษัทน้าที่ไม่ชอบ คือทำงานจันทร์-เสาร์ให้หยุดได้แค่เสาร์เดียวคือเสาร์ที่ 2 ของเดือน ฉันเคยทำงานจันทร์-ศุกร์มาตลอด ฉันไม่อยากไปทำงานวันเสาร์ ถ้าที่ไหนทำวันเสาร์พูดตรงๆขอบายค่ะ ไม่ใช่แค่นั้นที่นั่นยังชอบสลับวันหยุดไปมาด้วย เช่น หยุดเสาร์ที่ 2 บางทีมีเหตุจำเป็นต้องเข้าบริษัทก็ไม่ให้หยุด เกิดคนไหนที่เขาวางแผนจะไปทำธุระจะไปไหนต่อไหนก็ผิดแผนหมด หลังจากตัดสินใจที่จะไม่ไปทำงานกับแม่ที่บริษัทน้า ฉันก็ลองมาคิดหาทางว่าจะทำยังไงดี ตอนนั้นช่วงเดือนกรกฎาคุณยายเสียพอดี เลยทำให้ฉันมีโอกาสได้เจอน้าชายที่เป็นเจ้าของบริษัทที่งานศพคุณยาย ฉันก็เลยไปขอเบอร์โทรศัพท์จากน้าชายคนนี้ พอโทรไปหาน้าก็เลยเล่าทุกอย่างตามจริง แต่ไม่ได้บอกเรื่องวันเสาร์กลัวน้าจะเสียใจ แค่บอกไปว่าแม่เป็นคนอารมณ์ร้อน ไม่สามารถอยู่กับแม่ทั้งวัน 24 ชั่วโมงได้ ฉันก็เลยบอกไปว่า “ไม่ใช่ว่าบริษัทน้าไม่ดีนะคะ แต่หนูมีงานที่ชอบและยังมีความสุขกับงานตรงนี้อยู่ และอีกอย่างก็คือหนูไม่สามารถอยู่กับแม่ได้ 24 ชั่วโมง เพราะแม่เขาเป็นคนอารมณ์ร้อน ขอหนูทำงานตรงนี้จนกว่าเขาจะไม่เอาหนูก่อน ไว้ถ้าหนูพร้อมไปทำกับน้าเมื่อไหร่หนูจะบอก” น้าก็เลยถามว่าจะให้น้าช่วยยังไงฉันตอบไปว่า “ถ้าพ่อหรือแม่คุยเรื่องฝากงานช่วยปฏิเสธว่าไม่รับคนได้ไหมคะ” น้าก็ตอบกลับมาว่า “ได้จ้ะไว้เดี๋ยวน้าจะหาทางปฏิเสธแบบไม่น่าเกลียดไปละกัน”
เอาล่ะนอกเรื่องไปนานกลับเข้ามาเข้าเรื่องกันต่อนะคะ ช่วงแรกที่เข้ามาแผนก outbound จะมีนายผู้หญิงตำแหน่งระดับ manager ชื่อพี่ น.เป็นบิ๊กบอสดูแลแผนกนี้อยู่ ซึ่งเธอเป็นคนใจดี มีน้ำใจ ไม่จู้จี้จุกจิก พอหมดเดือนสิงหาเข้าเดือนกันยา จากนั้นทุกอย่างก็เปลี่ยนไปเมื่อพี่ น.ย้ายไปเป็นเจ้านายฝั่ง inbound แล้วมี manager ผู้ชายชื่อพี่ ต.ซึ่งย้ายมาจากเชียงใหม่มาเป็นนายแผนก outbound แทนพี่ น.ต่อไปฉันจะเรียกเขาว่าบิ๊กบอสนะคะ เป็นคนค่อนข้างจู้จี้จุกจิกไม่เหมือนพี่ น. วันที่เข้ามาที่อินทามระวันแรกเขาเรียกพวกเราประชุมด้วย ซึ่งตัวเขาเองเป็นพนักงานประจำอยู่ที่สำนักงานใหญ่แจ้งวัฒนะ แต่จะเข้ามาที่อินทามระเป็นครั้งคราว พอนายคนนี้เข้ามาไม่นาน หัวหน้า 2 คนก็เรียกประชุมเรื่องย้ายสถานที่ทำงานจากอินทามระไปอยู่ที่แจ้งวัฒนะ ซึ่งหลายคนก็ไม่เห็นด้วยเพราะการเดินทางไกลกว่าเดิม ถ้าไม่ได้ช่วย support ค่าใช้จ่ายในการเดินทางก็ไม่คุ้มที่จะไป เพราะอยู่ตรงนี้ยังมีรถเมล์ยังมีรถใต้ดิน ตอนแรกเขากะจะให้ย้ายไปที่นั่นประมาณต้นเดือนกันยาเลย หัวหน้า 2 คนบอกพี่ น.ไม่ใช่นายเราแล้วเราถึงต้องย้ายไป ซึ่งวันที่เขาแจ้งนั้นน่าจะปลายๆเดือนสิงหาแล้ว ซึ่งเป็นการแจ้งแบบกะทันหันมาก แต่ตอนหลังไม่รู้คุยกันยังไงก็เลื่อนออกไปก่อน พวกเราก็ได้อยู่อินทามระต่ออีกนิดนึง ตั้งแต่บิ๊กบอสมาเป็นนายของเราก็กำหนดกฎเกณฑ์มากมาย ต้องโทรออกให้ได้กี่สายต่อวัน จำนวนลูกค้ารับสายกี่ % ซึ่งยอดล่าสุดก็คือ 150 สาย/วัน จำนวนลูกค้ารับสายประมาณ 60%-65%
ทีนี้มาดูสไตล์การทำงานของฉันบ้าง แต่ก่อนตอนยังไม่กำหนดจำนวนสาย เขาจะให้โทรงานไล่จากวันที่จากอดีตขึ้นมาปัจจุบัน ฉันก็โทรงานของฉันไปเรื่อยๆ เห็นว่าอยากได้จำนวนลูกค้ารับสายเยอะ ฉันก็จะโทรจนกว่าสายจะตัดไปเอง เพื่อเพิ่มโอกาสให้ลูกค้ารับสายได้มากที่สุด แต่ฉันจะโทรค่อนข้างช้าเพราะเป็นคนพูดช้าพิมพ์ช้า พิมพ์สัมผัสไม่ได้ต้องดูแป้น บางทีเพื่อนโทรไปถึงวันที่ปัจจุบันแล้ว แต่ฉันยังไล่โทรวันที่ของเก่าอยู่เลย มีอยู่วันบอสพุงกลมก็มาบอกฉันว่า ให้โทรออกหาลูกค้าเอาแค่ 3-4 ตื๊ดพอ แล้วเวลาพูดให้แรปใส่ลูกค้าไปเลย จะได้ได้จำนวนสายเยอะๆและเก็บงานทันคนอื่นเขา ซึ่งฉันก็ลองทำตามเอาตื๊ดแค่นั้น แต่เวลาพูดไม่ได้แรปใส่ลูกค้าหรอกนะคะ ไม่เอาหรอกเดี๋ยวลูกค้าฟังไม่ทันพูดให้ชัดถ้อยชัดคำดีกว่า ปรากฏว่าได้จำนวนสายเยอะก็จริง แต่ลูกค้ารับสายก็จะน้อยเพราะเรารีบตัดสายไปซะก่อน ซึ่งบางทีคนไหนที่โทรงานช้าๆเขาก็จะตัดวันที่นั้นๆออกไม่ต้องโทรเลย แล้วให้มาโทรวันที่ปัจจุบันแทน แต่ต่อมาเนื่องจากเขากำหนดจำนวนสาย ก็ต้องปรับวิธีการโทรเพื่อให้ได้ตามยอดที่เขาต้องการ น้องผู้ชายคนนึงบอกว่าเอาแค่ 5-6 ตื๊ดพอไม่งั้นไม่ทัน เพราะส่วนใหญ่ถ้าเกินจากนี้เขาก็ไม่ค่อยรับกันแล้ว ฉันลองทำตามดูก็ได้จำนวนสาย 150/วัน จำนวนคนรับสายประมาณ 40% ปลายๆ – 50% ต้นๆ คือจำนวนสายได้แต่ % รับสายไม่ได้ แต่จะกลับไปโทรจนสายตัดไปเองแบบเดิมก็ไม่ได้แล้ว เพราะขนาดเอาตื๊ดแค่นี้กว่าจะเคลียร์งานให้ได้ครบสายก็ล่อเกือบหมดวัน สำหรับฉัน 150 นี่เหนื่อยมากนะกว่าจะหมดวันเหมือนใจจะขาดเลย เพื่อนบอกงาน call center น่ะสบายแต่เหนื่อย ฉันถามว่ายังไงเธอบอกเดี๋ยวเข้าไปทำก็รู้เองที่แท้มันเป็นอย่างนี้นี่เอง ฉันก็เลยต้องเลือกได้อย่างเสียอย่าง จริงๆถ้าจะเอา 150 สายและ % รับสายมากกว่านี้ ฉันก็ต้องโทรจนกว่าสายจะตัดไปเองเหมือนเก่า ครบเมื่อไหร่ก็กลับเมื่อนั้นเกินเวลาก็ช่างมัน แต่ปัญหามันมีอยู่ว่าแม่ไม่ให้กลับดึก เพราะเขากลัวโควิดมากเขาบอกว่า “ถ้าสถานการณ์ปกติเราจะอยู่เคลียร์งานกี่ทุ่มกี่ยามแม่ไม่ว่าหรอก แต่ช่วงนี้แม่ขอเราต้องเข้าใจสถานการณ์ เราร่างกายแข็งแรงถ้าเป็นยังมีโอกาสรอด แต่แม่มีโรคประจำตัว (ความดัน) ถ้าแม่เป็นแม่ตายอย่างเดียวเลยนะ คือถ้าเราให้แม่ไม่ได้ก็ไม่ต้องทำออกมาเถอะ ไม่ให้อยู่เกินเวลา 5 โมงครึ่งกลับมาเลยนะ” พอแม่ยื่นคำขาดมาแบบนั้นฉันก็จนใจไม่รู้จะทำยังไง คืออยากอยู่เคลียร์งานให้เสร็จได้ % รับสายเยอะก็จริง แต่ก็ต้องทำเวลาในการเดินทางกลับบ้านด้วย เพราะจะให้มีปัญหากระทบกับที่บ้านก็ไม่ได้เหมือนกัน เพราะแม่เขาก็ให้คนละครึ่งทางแล้ว เรื่องราวยังไม่จบนะคะแต่หลังจากนี้จะขอพิมพ์ต่อใน comment ลงไปด้านล่างตามลำดับนะคะ เนื่องจากไม่สามารถพิมพ์ให้จบในนี้ได้ เพราะพันทิปไม่ให้พิมพ์เกิน 10000 ตัวอักษร