รู้จักโรคแอสเพอร์เกอร์ Asperger’s Syndrome (ออทิสติกแบบ High function) ตอนที่ 12 ชีวิตของการฝึกงาน

The Asperger story By P surachet ตอนที่ 12 ชีวิตของการฝึกงาน
 บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับ โรคแอสเพอร์เกอร์ (Asperger’s Syndrome) ที่มาจากประสบการณ์ตรงของผม จากที่ผมเคยเรียน จากคุยกับเพื่อนที่เป็นเหมือนกัน และจากคุณหมอครับ เนื่องจากว่าผมเป็นโรคแอสเพอร์เกอร์และได้พบกับความยากลำบากหลายอย่างทั้งๆ ที่ผมเป็นน้อย และคนในสังคมไทยไม่ค่อยได้รู้จักโรคนี้ ผมจึงคิดที่จะทำสื่อเพื่อให้คนไทยรู้จักมากขึ้น โดยได้เขียนบทความที่ชื่อว่า “The Asperger story By P surachet” โดยจะแบ่งเป็น 15 ตอน อันนี้จะเป็นตอนที่ 12 ครับ หากว่าใครชอบดูในรูปแบบของคลิปวิดีโอมากกว่า สามารถรับชมคลิปได้เลยครับ แต่ถ้าใครชอบอ่านก็เลื่อนลงไปอ่านบทความได้เลยครับ

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ

 เนื่องจากว่าจนถึงปัจจุบันนี้ผมยังไม่เคยทำงานประจำเพราะฉะนั้นเรายังไม่รู้ว่าในอนาคตถ้าทำงานประจำในสำนักงานจะเป็นอย่างไร แต่เมื่อตอนผมเรียนปริญาตรีผมได้มีโอกาสฝึกงานที่บริษัท 2 เดือนครึ่งซึ่งได้อะไรมาพอสมควรและสามารถบอกคร่าวๆ ถึงปัญหาของเรากับการทำงานในสำนักงานได้ ผมจึงขออนุญาตเอามาแบ่งปันในส่วนของบทนี้ครับ
.
.
 ในช่วงปี 3 มหาลัยของผมบังคับในหลักสูตรว่าต้องฝึกงาน ผมได้มีโอกาสไปฝึกงานที่บริษัท 2 เดือนครึ่ง ในตอนนั้นอายุ 21 ก็พบปัญหาอยู่หลายอย่างเหมือนกันครับ เริ่มต้นเลยก็คือว่าในตอนนั้นผมหาบริษัทที่ฝึกงานกับสายตรงที่เราเรียนไม่ได้ แต่ได้เจอบริษัทนี้ซึ่งเขาก็ให้โอกาสเรา จริงๆ แล้วเขาไม่มีต่ำแหน่งงานสายตรงของเราแต่ว่าเราเรียนบริหารรวมๆ ดังนั้นถ้าจะว่าไปมันก็สามารถทำอะไรได้หลายอย่างในบริษัท ในตอนสัมภาษณ์นั้นผมได้สัมภาษณ์กับหัวหน้าบริษัทซึ่งเป็นคนใหญ่สุด ประมาณว่าเขาสงสัยว่าทำไมถึงเลือกที่นี้เพราะว่าที่นี้ไม่มีงานสายตรงให้ทำซึ่งเอาจริงๆมันก็เกิดจากว่าผมหาที่ฝึกงานช้าอาจหาที่อื่นไม่ทันและที่นี้เขาตอบรับด้วย ในตอนสัมภาษณ์นั้นหัวหน้าใหญ่บอกว่าผมคุยรู้เรื่อง ซึ่งเขาก็ถามคำถามทั่วๆ ไป แต่ผมมองว่าเขามีเชิงมากกว่า ประมาณว่าเขาอ่านคนเป็นแต่ผมไม่มีเชิงอะไร ผมก็ตอบตามความเป็นจริง ผลสุดท้ายเขาก็รับเข้าฝึกงาน
.
.
 วันแรกที่ผมได้มาเข้าสถานที่ฝึกงานก็รู้สึกไม่กดดันอะไรออกจะตื่นเต้นซะด้วยซ้ำ ผมคุยกับทุกคนแม้กระทั้ง ร.ป.ภ. แม่บ้าน คือเราเป็นกันเองกับทุกคน จนกระทั้งได้ไปคุยกับหัวหน้าใหญ่บริษัท เขาเสนอว่าให้เราหา Project ทำให้กับฝึกงานโดยเราเราสำรวจว่าบริษัทเขามีจุดด้อยตรงไหนทำให้ผมต้องไปทำความรู้จักกับทุกคนในบริษัท ผมก็รู้สึกมึนๆ นิดหน่อยเพราะผมมาวันแรกแล้วต้องไปคุยกับคนน่าจะ 40-50 คน อย่างที่ผมบอกผมไม่ชอบคุยกับคนที่ไม่รู้จักถึงตอนนี้ผมจะมีอาการตรงนี้น้อยแต่นี้มันก็เร็วเกินไป สิ่งที่เป็นความยากลำบากของผมตั้งแต่วันแรกก็คือจำชื่อคน ผมจำชื่อคนไม่เก่ง จำหน้าอะได้แต่ชื่อต้องใช้เวลา เมื่อทำงานไปได้ 1 อาทิตย์ผมก็หาที่ลงตัวและทำ Project ได้ แต่งานอะไม่ใช่ปัญหาปัญหาอยู่ที่สังคมมากกว่า ผมจำชื่อคนยังไม่ค่อยได้จำได้แค่ไม่กี่คนทำให้ผมโดนด่า ซึ่งเขาก็รู้สึกไม่โอเคที่เราจำชื่อได้แค่บางคนแล้วค่อยถามว่า “พี่คนนี้ชื่ออะไรนะ” เอาจริงๆ ถ้านึกถึงเป็นเราซิเราก็อาจไม่โอเคก็ได้ที่น้องมันจำชื่อเราไม่ได้แต่ถ้าเป็นผมผมจะไม่ร้อน ผมก็จะบอกจนมันจำได้ แต่พวกเขากลับหัวร้อนกัน เขาอาจมองว่าเราไม่ให้ความสำคัญกับเขาก็ได้ ซึ่งในตอนนี้ผมได้นั่งทำงานที่ห้องเรขานุการเพราะว่า Project ที่ทำมันเกี่ยวข้องกับข้อมูลที่เลขามีและที่ว่างพอดี แต่ผมรู้เลยว่าจะต้องมีปัญหาแน่นอนเพราะในแผนกทั้งหมดเป็นผู้หญิง และในแผนกมี 4 คน
.
.
 เข้าทำงานได้ 1 เดือน ก็มีหลายๆ เรื่องที่โดนด่าอาจเกี่ยวกับงาน ผมอาจไม่ได้บอกในที่นี้ว่าผมเป็นโรคสมาธิสั้นด้วย แต่ขอบอกตรงนี้เลยว่าสิ่งที่ผมยังเป็นอยู่ก็คืออยู่นึ่งไม่ได้ ชอบเคลื่อนที่ไปเรื่อย อีกส่วนหนึ่งก็คือ เหมอลอยซึ่งมันมีผลต่อความจำ บางครั้งผมก็ทำงานตกๆ หล่นๆ ก็โดนด่าไป รวมทั้งผมเป็นคนทำงานช้าด้วย เข้าเรื่องกันต่อ ผมเริ่มจะมีปัญหากับคนในแผนก ในตอนนี้ผมเริ่มมีปัญหาหลายอย่างเช่น ในแผนกนี้ต้องค่อยรับโทรศัพท์ด้วย ซึ่งจริงๆ มันไม่ใช่หน้าที่ผมโดนตรง แต่ว่าเขาก็จะให้ผมช่วยรับ ผมพยายามจะปฎิเสธซึ่งเขาก็ไม่ค่อยจะพอใจกัน ในความคิดของเขาที่ถ่ายทอดออกมาเขาพยายามจะสื่อกับเราว่าก็แค่รับสายมันจะเป็นอะไรไป ถ้าไม่รู้ข้อมูลก็โอนสายไปให้คนอื่น แต่อย่างที่ผมบอกกับทุกๆ ท่านครับว่าผมไม่ชอบคุยกับคนไม่รู้จัก แล้วนี้อะไรจะให้กูรับสายแล้วคุยกับใครก็ไม่รู้นี้อะนะ ผมไม่ทำ นี้เริ่มจะเป็นประเด็นแรกแล้ว
.
.
 แล้วต่อมาก็เริ่มมีปัญหากับคำพูดเช่น เวลาสั่งงานเขาจะสั่งว่า “เดี๋ยวไปทำนี้ให้เขาหน่อย” คำว่าเดี๋ยวในความหมายของเขาคือตอนนี้ แต่เดี๋ยวในความหมายของผมคืออีกแปบหนึ่งพอเขาสั่งผมยังนิ่งเขาก็เริ่มงงแล้วถึงพูดว่าไปตอนนี้เลย แล้วไม่ใช่แค่นี้ยังมีอีกหลายอย่างบางครั้งเขาสั่งงานเราด้วยคำย่อ หรือให้เราไปคิดเอง แต่เราไม่รู้ก็เลยถามเขา เขาก็งง แล้วเขาก็บอกประมาณว่าทำไมถึงพูดแล้วไม่เข้าใจ ผมก็ไม่รู้จะตอบยังไงแต่ถ้าจะตอบตรงๆ ก็คือช่วยพูดคำเต็มๆ และช่วยบอกด้วยว่าคำพูดของแต่ละคำแปลว่าอะไร ผมเริ่มจะถูกมองเป็นพิเศษจากคนในบริษัทแล้ว บางคนถึงกับพูดว่าผมไม่น่าจะฝึกงานผ่าน และยังมีอีกหลายแบบเช่น ตอนนั้นเขาคุยเรื่องสนุกๆ กันอยู่ผมก็ถามเรื่องงานเลย ก็ผมสงสัยและมันยังอยู่ในเวลางานทำไมจะถามไม่ได้ สิ่งที่เขาบอกก็ประมาณว่าให้ดูด้วยว่าตอนนี้กำลังคุยอะไรกันอยู่มันไม่เหมาะที่จะมาถึงเรื่องงานตอนนี้
.
.
 ประมาณเข้าสู่เดือนที่ 2 ผมพอรู้ว่าเขาพูดกันว่าผมแปลกๆ ผมได้ถูกเรียกมาคุยส่วนตัวจาก 2 คน ในแผนก คนหนึ่งได้บอกว่าพี่เข้าใจว่าน้องอาจทำงานได้ไม่เก่งแต่ว่าก็ขอให้ทำต่อไปอันที่จริงแล้วเราก็เป็นแค่เด็กฝึกงานไม่เคยทำงานจริงอันไหนไม่ได้ก็แค่สอนก็จบ นี้คือคำพูดของคนในแผนกคนหนึ่งแต่วันนั้นคือวันสุดท้ายที่เขาทำงานที่นี้ หลังจากนั้นผมถูกอีกคนหนึ่งเรียกมาคุยคนนั้นเป็นหัวหน้าแผนก เขาเรียนมาคุยแล้วพูดประมาณว่า “เอาจริงๆ นะ พี่ว่าน้องเรียนถึงปี 3 แต่พี่ว่าน้องไม่น่าจะเรียนจบปี 1 น้องไม่น่าจบมัธยมแล้วเข้ามหาลัยได้ด้วยซ้ำ สิ่งที่น้องเรียนมาคือการบริหารและจัดการเวลาแต่สิ่งที่น้องทำทำให้ทุกอย่างช้าลงและน้องจัดการอะไรยังไม่ถูกเลย แค่สั่งอะไรไปก็ยังไม่เข้าใจ ถามจริงๆ ปกติมีเพื่อนหรือเปล่าหรือว่าไม่มีคนคบถึงไม่รู้อะไรเลย เดียวอาจารย์มานะพี่จะจัดเต็มให้อาจารย์เลย” ประมาณนี้ จริงๆ ยาวกกว่าครับแต่ผมจำไม่ได้ ผมก็ตอบกลับไปว่าขอโทษถ้าทำอะไรผิด ประมาณนี้
.
.
 เอาจริงๆ นะตอนนั้นผมไม่คิดอะไรแล้วอย่างแรกก็คือมันเป็นเรื่องส่วนตัว บางเรื่องไม่น่ายุ่ง ผมคิดว่าจะทำที่นี้ให้จบๆ ตามเวลาหลังจากนั้นไม่ต้องยุ่งกับกู และอีกสิ่งหนึ่งที่ผมคิดได้ก็คือผมน่าจะทำคู่มือไว้สำหรับคนที่ต้องมีความสัมพันธ์กับผม ผมคุยเรื่องนี้กับพ่อแม่ มีหลายคนบอกว่าให้ไปบอกอาจารย์ว่าเราเป็นโรคแล้วให้อาจารย์ไปบอกที่ฝึกงาน แต่ผมค้านเพราะผมว่าอาจารย์ไม่รู้จักและไม่เข้าใจ ทำแบบนั้นไม่มีประโยชน์ หลังจากนั้นผมจึงนัดพบหมอและปรึกษาหมอ สิ่งที่หมอพยายามจะช่วยก็คือ หาเทคนิคเช่น ถ้าจำไม่ได้ให้จด ให้พยายามคุยแต่เรื่องงานในเวลาที่เขาคุยงานกัน ถามเขาให้ละเอียดในแต่ละเรื่อง อันที่จริงหมอแนะนำให้กินยาช่วยแต่ผมไม่เอา หมอบอกว่าเอาใบรับรองแพทย์ไปก็ได้แต่เขาคิดว่าที่บริษัทไม่น่าจะเข้าใจผมจึงตัดสินใจพยายามเอาตัวรอดเอง อีกอย่างมันแค่ฝึกงานเขาไม่น่าจริงจังขนาดนั้น
.
.
 หลังจากนั้นต่อมาจนจะจบฝึกงาน บางคนก็เริ่มเข้าใจว่าถ้าคุยกับน้องคนนี้ต้องทำอย่างไร อีกอย่างเขาก็ไม่ได้คิดอะไรมากเพราะเราฝึกงานแปบเดียวเดียวก็ไปแล้ว ผมเริ่มมีปัญหากับผู้หญิงอีกคนหนึ่ง คนนี้เขาว่าเป็นคนที่สวยสุด ซึ่งแรกๆ ผมกับเธอก็ไม่ได้มีปัญหากัน แต่อยู่ดีๆ เธอก็เหมือนกับไม่อยากยุ่งกับผม เวลาคุยก็ถามคำตอบคำ เคยมีอยู่ครั้งหนึ่งผมได้ไปขอ FACEBOOK เธอและอีกหลายๆ คน สิ่งที่เธอตอบกลับมาก็คือ “FACEBOOK เป็นเรื่องส่วนตัว ปกติเขาไม่ขอเพื่อนร่วมงานกัน” ส่วนคนอื่นๆ ก็ไม่ให้เหมือนกัน สุดท้ายผมก็ไม่ได้เป็นเพื่อนใน FACEBOOK กับใคร ซึ่งผมก็ไม่ได้สนใจ ไม่ให้ก็ไม่ให้ และเราก็ไม่ได้บอกอะไรกับใครว่าเราเป็นโรคจนกระทั้งฝึกงานจบ เมื่อฝึกงานจบก็ส่ง Project ให้เขาไปและกลับสู่มหาลัย ส่วนผู้หญิงที่เขาว่าสวยที่สุดในช่วงอาทิตย์ให้หลังเห็นได้ชัดเจนว่าความสัมพันธ์กับผมไม่ดีเธอออกแนวกลัวๆ ผม อันที่จริงแล้วในวันสุดท้ายที่ฝึกงานผมกับขอถ่ายรูปกับทุกคนเพราะผมเป็นคนชอบบันทึกเรื่องราวแต่ทุกคนปฏิเสธโดยเฉพาะไอ้คนที่สวยที่สุดปฏิเสธแบบไร้เยื่อใย ก็ตามนั้นอันที่จริงใจเราไม่มีอะไรถึงกับยอมถ่ายรูปกับทุกคนแต่เขาไม่ให้ถ่าย
.
.
 เมื่อจบจากการฝึกงานก็ไม่มีอะไรก็ฝึกงานผ่าน ถือว่าจบการฝึกงาน หลังจากนั้นผมได้ไปเยี่ยมอยู่ครั้งหนึ่ง อันที่จริงตัวหัวหน้าใหญ่บริษัทดีนะครับ เขาสอนอะไรหลายอย่างให้ผม แต่พนักงานบางคนก็ต้องยอมรับว่าไม่โอเค ผมเลยได้รู้ว่าแท้ที่จริงแล้วคนที่เป็นหัวหน้าแผนกที่ด่าผมนั้นจริงๆ ตัวเขาเองก็ไม่ได้ดีอะไรนักหนา คนอื่นก็บอกอยู่ว่าเขาก็มีปัญหาเหมือนกัน และได้รู้อีกเรื่องว่าไอ้คนที่สวยที่สุดเขากลัวผม อาจด้วยความที่ว่าเขาสวยเลยยิ่งระวังตัวและเขาไม่เคยเจอคนแบบนี้ เขาบอกคนอื่นว่า บุคลิกทั้งภายนอกและภายในน่ากลัว ดูหึ่น กลัวว่าจะทำมิดีมิร้ายเขา ผมฟังแล้วก็เฉยๆ แต่ในใจคิดว่า เอาเลย คิดได้ขนาดนี้เลยหรอ ใจต้องขนาดไหนถึงคิดได้ขนาดนี้ เอาที่สบายใจเลย จบการฝึกงาน 2 เดือนครึ่ง
.
.
 ผมขอสรุปนิดหนึ่งนะครับ ผมได้คุยกับเพื่อนที่เป็นโรคเดียวกันหลายคนรวมทั้งเคยอ่านบทความของคนที่เป็นโรคในต่างประเทศ เขามักจะทำงานส่วนที่ไม่เกี่ยวกับคนเยอะ หรือทำงานกับคอมพิวเตอร์ เครื่องจักร และถ้าจะทำงานบริษัทเขามักจะเปิดบริษัทเองแล้วสร้างสังคมของตัวเองขึ้นมาเพราะเขาไปทำงานร่วมกับบริษัทอื่นในฐานะลูกจ้างไม่ได้ เขาเข้ากับสังคมไม่ได้ อันนี้ฝากให้ท่านผู้อ่านคิดครับ

ผม P สุรเชษฐ์ ฆังนิมิตร 
สามารถติดตามและพูดคุยกับผมได้ที่เพจ : P สุรเชษฐ์ ฆังนิมิตร
หรือลิงค์ : https://www.facebook.com/psurachet95/?show_switched_toast=0&show_invite_to_follow=0&show_switched_tooltip=0&show_podcast_settings=0&show_community_transition=0&show_community_review_changes=0
ช่อง Youtube : P สุรเชษฐ์ ฆังนิมิตร 
หรือลิงค์ :  https://www.youtube.com/channel/UCcaotwQy4XufCWfUdJGmFtw
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่