จากตัวเลขล่าสุดที่ผมฟังข่าว (17/3/2559) 87%ของเด็กจบใหม่ไม่ได้คุณสมบัติที่บริษัทต้องการ และ87%นั้นยังไม่รู้ว่าตัวเอง อยากทำงานอะไร น้องผมก็เป็น เพื่อนน้องผมก็เป็น ญาติผมก็เป็นเพื่อนญาติผมก็เป็น ซึ่งผมถามญาติผมว่า 29 จะเรียนจบป.ตรี(29เพิ่งจะจบ) ญาติผมบอกทำร้านกาแฟ ซึ่งรู้ๆกันว่าคนสมัยนี้ จบมาไม่รู้จะทำอะไรก็ร้านกาแฟ
หรือไม่ก็ทำแบบจำยอมทน และส่วนใหญ่ทำไปได้ซักพักก็ลาออก เปลี่ยนที่ทำงานไปเรื่อย เพื่อนน้องผมเป็นมีคนหนึ่งเป็นแบบนั้นหรือทำงานแบบจำยอมทนกับที่บ้าน ทำงานในฐานะลูก หลานทำงานแบบจำยอม แบบน้องผมที่เบื่อบริษัทที่บ้านเต็มทนแต่ก็ต้องทนทำงาน ทั้งๆที่น้องผมจบวิชาชีพ อย่างคอมพิวเตอร์ อาร์ตแต่กลับ ต้องทำงานเป็น แบบเบ๊ ให้แม่ซึ่งทำตั้งแต่ ขับรถยัน ช่วงช่างยิงซิลิโคน หรือไปรีสอร์ทไปล้างจาน เหตุเพราะแม่ผมยังใช้ระบบการบริหารแบบคน1คนทำทุกอย่าง ไม่ได้แบ่งหน้าที่แบบบริษัทใหญ่ๆ ซึ่งมันน่าเบื่อและเหนื่อยมาก หรือการทำงานแบบขอไปทีของคนหลายๆคนที่ผมเคยเจอในที่ทำงานแม่และที่ฝึกงาน ที่ทำงานเพื่อให้พ่อแม่ รู้ว่า "ชั้นทำงานนะ"
หรือจะเป็นแฟนน้องผมที่เลือกที่จะเรียนต่อไปเรื่อยๆ จากปริญญาตรีบริหารธุรกิจ ก็ไปต่อปวส.ช่างยนต์ที่ญี่ปุ่น ตอนนี้จะไปเรียนเป็นนักบินต่ออีก หรือบางคนก็ใช้วิธีเรียนต่อป.โท ป.เอก หนีการทำงานไปเรื่อยๆ
เพราะอะไรเพราะ หลายคนยังไม่พร้อม กับชีวิตการทำงาน การที่จะต้องมาใช้ชีวิตมนุษย์เงินเดือน พึ่งตัวเอง เข้ามาใช้ชีวิตอย่างเครื่องจักรผลิตเงินให้นายทุน หรือมาเปิดธุรกิจที่ไม่มีวันแข่งขันชนะ และไม่ได้มีแค่ประเทศไทยหลายประเทศก็ประสบกับปัญหานี้ ในสภาวะที่การแข่งขันสูง หลายคนไม่พร้อมจะเข้าสู่ระบบการทำงานจริงๆ
- คนยุคสงครามโลกครั้งที่1 เป็นกรรมกร เป็นชาวนา
-คนยุคสงครามโลกครั้งที่2 เป็นแรงงานในโรงงาน
-คนยุคเบบี้บูมเป็น พนักงานบริษัท
-คนยุคเจนX เป็นเจ้าของกิจการ+พนักงานบริษัท
-คนเจนY .....
ทุกวันนี้งานวันหยุดน้อยลง เงินเดือนไม่พอกับค่าเลี้ยงชีพ ปัญหาการจราจรในเมืองหลวงทำให้เวลาของคนยิ่งน้อยลง สภาวะการทำงานที่กดดันตึงเครียด และไม่มีความมั่นคง สัญญาครึ่งปีหรือปีต่อปี รูปแบบงานที่หน้าเบื่อ เป็นปัจจัยให้คนยุคนี้เลือกงานมากขึ้น ขาดแรงจูงใจในการทำงาน และหลายคนเลือกจะเป็นNEET (Not in Education, Employment or Training) ซึ่งส่วนใหญ่เป็น NEETจริงๆที่เลือกจะจะหาวิธีเลี่ยงงานสารพัดมากมาย
แม้แต่คนเจนXเอง ก็มีการทำงานแบบนั่งเฉยๆ แม้จะรับเงินเดือนน้อยนิดก็ยอมก็มีเหมือนกัน ซึ่งแน่นอนมันไม่ใช่Freeters ที่เน้นทำงานpasttime เพราะงานpast timeในไทยมันไม่พอหาเลี้ยงตัวเองได้จริงๆ
สำหรับการทำงานแบบจำยอมหรือสักแต่ทำ มันได้ผลกับคนปกติแต่ไม่ใช่สำหรับ Asperger
Asperger จริงๆ เป็นคนจริงจังในชีวิต ชีวิตมีระเบียบแบบแผน เขาจริงจังกับการใช้ชีวิตและความชอบของตนมากกว่าคนทั่วไป แน่นอนการทำอะไรที่ไม่ชอบหรือไม่เกี่ยวกับสิ่งที่ตัวเองชอบเป็นดั่งฝันร้ายของ Asperger
"ผมยอมทำงานอะไรก็ได้ แต่ขอให้ได้ทำงานกับบริษัทที่ทำเกี่ยวกับสิ่งที่ผมชอบ" นี้คือความคิดของผม แม่ผมเคยเสนอให้ทำงานในบ้านหนังสือ ซึ่งเป็นโครงการของเขตผมงาน งานแสนสบายที่ทำแค่นั่งเฝ้าห้องสมุดเล็กๆ
แต่ผมกลับปฎิเสธ
มันเป็นงานที่สบายก็จริงๆ และใครที่กล้สปฎิเสธงานนี้ถือว่าโง่มากๆ เพราะเป็นงานที่สบายมากๆ แต่มันไร้ค่า งานที่เหมือนไปกินเงินภาษีรัฐฟรีๆ งานที่ไม่ได้ใช้อะไรเลยทั้งแรงและสมองและที่สำคัญมันไม่ได้อยู่กับสิ่งที่ผมชอบ มันเป็นงานที่มันสบาย แต่งานที่สบายเกินไปอยู่ไปนานๆจะเบื่อไปเอง
แต่ในความคิดของผมลึกๆ ผมกลัวการทำงาน กลัวการเปลี่ยนแปลงตารางชิวิตของผมมากกว่า จริงๆการทำงานสิ่งที่น่ากลัวที่สุดนอกจากคนรอบข้างคือ ต้องไปทำอะไรที่ตัวเองไม่ชอบตลอดไปมากกว่า
จริงๆผมสามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นได้นะ แค่ไม่สามารถสร้างความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานได้เลยก็เท่านั้น ซึ่งผมเองก็เคยพิสูทย์มาแล้วตอนฝึกงาน ผมทำงานได้ ทำได้ดีด้วย แต่เพราะฝึกงานคือฝึกงาน มันแค่งานที่ทำไม่เกิน4เดือนก็จบ
ทำให้ปัญหาของAsperger สมัยนี้มันยิ่งซับซ้อนมากAsperger ก็ยังเป็นเด็กเจนYด้วย เจนที่มีปัญหามากที่สุด
หลายคนเก็บตัวและกลายเป็นฮิคคิโคโมริ ฮิคคิโคโมริ เล่นเกมทั้งวันและแสวงหาเพื่อนในจินตนาการกลายเป็นเด็กติดเกมและโอทาคุ
ต่อให้แก้ปัญหา Aspergerได้ ก็เจอปัญหาของเด็กเจนYอยู่ดี ปัญหาที่มันไม่ได้มาจากตัวคนแต่ปัญหามาจากระบบ ระบบทุนนิยม ทุนนิยมที่ไม่ยอมมีช่องทางไว้ให้คนก้าวหน้า
เด็กสมัยนี้ฉลาดคับ ฉลาดเกินไป และไม่ค่อยมีตัวเลือกที่ดีในสังคมทุนนิยม และการเป็นAspergerยิ่งแย่ใหญ่ เข้าสังคมก็ไม่ได้ทำให้งานบางอย่างทำไม่ได้ และยังเกลียดการทำงานในสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบอีก
Asperger+GenY+NEET
Asperger+GenY+NEET
หรือไม่ก็ทำแบบจำยอมทน และส่วนใหญ่ทำไปได้ซักพักก็ลาออก เปลี่ยนที่ทำงานไปเรื่อย เพื่อนน้องผมเป็นมีคนหนึ่งเป็นแบบนั้นหรือทำงานแบบจำยอมทนกับที่บ้าน ทำงานในฐานะลูก หลานทำงานแบบจำยอม แบบน้องผมที่เบื่อบริษัทที่บ้านเต็มทนแต่ก็ต้องทนทำงาน ทั้งๆที่น้องผมจบวิชาชีพ อย่างคอมพิวเตอร์ อาร์ตแต่กลับ ต้องทำงานเป็น แบบเบ๊ ให้แม่ซึ่งทำตั้งแต่ ขับรถยัน ช่วงช่างยิงซิลิโคน หรือไปรีสอร์ทไปล้างจาน เหตุเพราะแม่ผมยังใช้ระบบการบริหารแบบคน1คนทำทุกอย่าง ไม่ได้แบ่งหน้าที่แบบบริษัทใหญ่ๆ ซึ่งมันน่าเบื่อและเหนื่อยมาก หรือการทำงานแบบขอไปทีของคนหลายๆคนที่ผมเคยเจอในที่ทำงานแม่และที่ฝึกงาน ที่ทำงานเพื่อให้พ่อแม่ รู้ว่า "ชั้นทำงานนะ"
หรือจะเป็นแฟนน้องผมที่เลือกที่จะเรียนต่อไปเรื่อยๆ จากปริญญาตรีบริหารธุรกิจ ก็ไปต่อปวส.ช่างยนต์ที่ญี่ปุ่น ตอนนี้จะไปเรียนเป็นนักบินต่ออีก หรือบางคนก็ใช้วิธีเรียนต่อป.โท ป.เอก หนีการทำงานไปเรื่อยๆ
เพราะอะไรเพราะ หลายคนยังไม่พร้อม กับชีวิตการทำงาน การที่จะต้องมาใช้ชีวิตมนุษย์เงินเดือน พึ่งตัวเอง เข้ามาใช้ชีวิตอย่างเครื่องจักรผลิตเงินให้นายทุน หรือมาเปิดธุรกิจที่ไม่มีวันแข่งขันชนะ และไม่ได้มีแค่ประเทศไทยหลายประเทศก็ประสบกับปัญหานี้ ในสภาวะที่การแข่งขันสูง หลายคนไม่พร้อมจะเข้าสู่ระบบการทำงานจริงๆ
- คนยุคสงครามโลกครั้งที่1 เป็นกรรมกร เป็นชาวนา
-คนยุคสงครามโลกครั้งที่2 เป็นแรงงานในโรงงาน
-คนยุคเบบี้บูมเป็น พนักงานบริษัท
-คนยุคเจนX เป็นเจ้าของกิจการ+พนักงานบริษัท
-คนเจนY .....
ทุกวันนี้งานวันหยุดน้อยลง เงินเดือนไม่พอกับค่าเลี้ยงชีพ ปัญหาการจราจรในเมืองหลวงทำให้เวลาของคนยิ่งน้อยลง สภาวะการทำงานที่กดดันตึงเครียด และไม่มีความมั่นคง สัญญาครึ่งปีหรือปีต่อปี รูปแบบงานที่หน้าเบื่อ เป็นปัจจัยให้คนยุคนี้เลือกงานมากขึ้น ขาดแรงจูงใจในการทำงาน และหลายคนเลือกจะเป็นNEET (Not in Education, Employment or Training) ซึ่งส่วนใหญ่เป็น NEETจริงๆที่เลือกจะจะหาวิธีเลี่ยงงานสารพัดมากมาย
แม้แต่คนเจนXเอง ก็มีการทำงานแบบนั่งเฉยๆ แม้จะรับเงินเดือนน้อยนิดก็ยอมก็มีเหมือนกัน ซึ่งแน่นอนมันไม่ใช่Freeters ที่เน้นทำงานpasttime เพราะงานpast timeในไทยมันไม่พอหาเลี้ยงตัวเองได้จริงๆ
สำหรับการทำงานแบบจำยอมหรือสักแต่ทำ มันได้ผลกับคนปกติแต่ไม่ใช่สำหรับ Asperger
Asperger จริงๆ เป็นคนจริงจังในชีวิต ชีวิตมีระเบียบแบบแผน เขาจริงจังกับการใช้ชีวิตและความชอบของตนมากกว่าคนทั่วไป แน่นอนการทำอะไรที่ไม่ชอบหรือไม่เกี่ยวกับสิ่งที่ตัวเองชอบเป็นดั่งฝันร้ายของ Asperger
"ผมยอมทำงานอะไรก็ได้ แต่ขอให้ได้ทำงานกับบริษัทที่ทำเกี่ยวกับสิ่งที่ผมชอบ" นี้คือความคิดของผม แม่ผมเคยเสนอให้ทำงานในบ้านหนังสือ ซึ่งเป็นโครงการของเขตผมงาน งานแสนสบายที่ทำแค่นั่งเฝ้าห้องสมุดเล็กๆ
แต่ผมกลับปฎิเสธ
มันเป็นงานที่สบายก็จริงๆ และใครที่กล้สปฎิเสธงานนี้ถือว่าโง่มากๆ เพราะเป็นงานที่สบายมากๆ แต่มันไร้ค่า งานที่เหมือนไปกินเงินภาษีรัฐฟรีๆ งานที่ไม่ได้ใช้อะไรเลยทั้งแรงและสมองและที่สำคัญมันไม่ได้อยู่กับสิ่งที่ผมชอบ มันเป็นงานที่มันสบาย แต่งานที่สบายเกินไปอยู่ไปนานๆจะเบื่อไปเอง
แต่ในความคิดของผมลึกๆ ผมกลัวการทำงาน กลัวการเปลี่ยนแปลงตารางชิวิตของผมมากกว่า จริงๆการทำงานสิ่งที่น่ากลัวที่สุดนอกจากคนรอบข้างคือ ต้องไปทำอะไรที่ตัวเองไม่ชอบตลอดไปมากกว่า
จริงๆผมสามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นได้นะ แค่ไม่สามารถสร้างความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานได้เลยก็เท่านั้น ซึ่งผมเองก็เคยพิสูทย์มาแล้วตอนฝึกงาน ผมทำงานได้ ทำได้ดีด้วย แต่เพราะฝึกงานคือฝึกงาน มันแค่งานที่ทำไม่เกิน4เดือนก็จบ
ทำให้ปัญหาของAsperger สมัยนี้มันยิ่งซับซ้อนมากAsperger ก็ยังเป็นเด็กเจนYด้วย เจนที่มีปัญหามากที่สุด
หลายคนเก็บตัวและกลายเป็นฮิคคิโคโมริ ฮิคคิโคโมริ เล่นเกมทั้งวันและแสวงหาเพื่อนในจินตนาการกลายเป็นเด็กติดเกมและโอทาคุ
ต่อให้แก้ปัญหา Aspergerได้ ก็เจอปัญหาของเด็กเจนYอยู่ดี ปัญหาที่มันไม่ได้มาจากตัวคนแต่ปัญหามาจากระบบ ระบบทุนนิยม ทุนนิยมที่ไม่ยอมมีช่องทางไว้ให้คนก้าวหน้า
เด็กสมัยนี้ฉลาดคับ ฉลาดเกินไป และไม่ค่อยมีตัวเลือกที่ดีในสังคมทุนนิยม และการเป็นAspergerยิ่งแย่ใหญ่ เข้าสังคมก็ไม่ได้ทำให้งานบางอย่างทำไม่ได้ และยังเกลียดการทำงานในสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบอีก
Asperger+GenY+NEET