JJNY : สหรัฐเผยรายงานสิทธิมนุษยชน│เปิดใจสาวเหยื่อนักการเมืองข่มขืน│"ทนายตั้ม"เปิดภาพห้องลวงสาว│เม็ดเงินโฆษณาQ1ยังน่าห่วง

สหรัฐเผยรายงานสิทธิมนุษยชนทั่วโลก ระบุไทยจำกัดเสรีภาพการชุมนุม
https://www.matichon.co.th/foreign/news_3289525
 
 
สหรัฐเผยรายงานสิทธิมนุษยชนทั่วโลก ระบุไทยจำกัดเสรีภาพการชุมนุม
 
เมื่อวันที่ 14 เมษายน กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกาได้ออกรายงานประจำปี 2564 เกี่ยวกับสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนในประเทศต่างๆ ทั่วโลก
 
สำหรับประเทศไทย รายงานดังกล่าวระบุในส่วนของบทสรุปสำหรับผู้บริหารถึง ประเด็นด้านสิทธิมนุษยชน ที่มีความสำคัญ ซึ่งรวมถึงรายงานที่น่าเชื่อถือเกี่ยวกับ การทรมานและกรณีการปฏิบัติ หรือการลงโทษที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรีโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐ การจับกุมและกักขังตามอำเภอใจโดยหน่วยงานของรัฐ นักโทษการเมือง การแทรกแซงทางการเมืองในศาล การแทรกแซงความเป็นส่วนตัวโดยพลการและไม่ชอบด้วยกฎหมาย
นอกจากนี้ ยังมีข้อจำกัดที่ร้ายแรงเกี่ยวกับการแสดงออกอย่างเสรีและสื่อ รวมถึงการจับกุมและดำเนินคดีกับผู้ที่วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล การเซ็นเซอร์ และกฎหมายหมิ่นประมาททางอาญา ข้อจำกัดที่ร้ายแรงเกี่ยวกับเสรีภาพทางอินเทอร์เน็ต การแทรกแซงเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและเสรีภาพในการสมาคม ข้อจำกัดเสรีภาพในการเคลื่อนไหว
 
การส่งผู้ลี้ภัยกลับที่ถูกคุกคามต่อชีวิตหรือเสรีภาพของพวกเขา ข้อจำกัดการมีส่วนร่วมทางการเมือง การทุจริตของรัฐบาลที่ร้ายแรง การล่วงละเมิดองค์กรสิทธิมนุษยชนภายในประเทศ การค้ามนุษย์ และข้อจำกัดที่สำคัญเกี่ยวกับเสรีภาพในการสมาคมของคนงาน
เจ้าหน้าที่ได้ดำเนินการบางอย่างเพื่อตรวจสอบและลงโทษเจ้าหน้าที่ที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือการทุจริต อย่างไรก็ตาม การไม่ได้รับการยกเว้นโทษจากทางการยังคงเป็นปัญหา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งกฎอัยการศึกยังคงมีผลบังคับใช้ในจังหวัดยะลา ปัตตานี และนราธิวาส ขณะที่พระราชกำหนดฉุกเฉินภาคใต้มีผลบังคับใช้ในทุกอำเภอ ยกเว้น 7 อำเภอในจังหวัดเหล่านั้น ในแต่ละเขตเจ็ดเขตที่ยกเลิกพระราชกำหนดฉุกเฉินตั้งแต่ปี 2554 ได้มีการบังคับใช้บทบัญญัติด้านความปลอดภัยภายในของกฎหมายในภายหลัง
 
ขณะที่ผู้ก่อความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ได้ละเมิดสิทธิมนุษยชนและโจมตีกองกำลังความมั่นคงของรัฐบาลและเป้าหมายที่เป็นพลเรือน
ทั้งนี้ ได้มีการแยกหัวข้อย่อยออกไปเป็น 7 กลุ่ม ประกอบด้วย 
1.การเคารพในความศักดิ์ศรีของบุคคล 
2.การเคารพเสรีภาพพลเมือง 
3.เสรีภาพและการมีส่วนร่วมทางการเมือง 
4.การทุจริตและขาดความโปร่งใสในวงราชการ 
5.ท่าทีรัฐบาลต่อการสืบสวนของนานาชาติและองค์กรที่ไม่ใช่รัฐบาลในข้อกล่าวหาเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิมนุษยชน 
6.การเลือกปฏิบัติและการล่วงละเมิดทางสังคม 
และ 7.สิทธิแรงงาน
 
ใน ประเด็นเสรีภาพสื่อและสื่อออนไลน์ ระบุว่า สื่ออิสระยังปฏิบัติหน้าที่ได้แต่มีอุปสรรคสำคัญในการดำเนินงานได้อย่างเสรี โดยรัฐบาลเป็นเจ้าของคลื่นความถี่ทั้งหมดและให้เช่าแก่เอกชนผู้ประกอบการ ซึ่งทำให้รัฐบาลสามารถใช้อิทธิพลทางอ้อมได้ และบางครั้งสื่อก็ทำการเซ็นเซอร์ตัวเอง สำหรับเสรีภาพทางอินเตอร์เน็ต รัฐบาลยังคงจำกัดการเข้าใช้และลงโทษผู้ที่วิพากษ์วิจารณ์สถาบัน หรือผู้ที่ให้ข้อมูลอันเป็นเท็จเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทั้งยังระบุว่ามีรายงานว่ารัฐบาลได้ติดตามการสื่อสารผ่านช่องทางออนไลน์ส่วนตัวโดยปราศจากอำนาจทางกฎหมายที่เหมาะสม และแม้โดยทั่วไปบุคคลและกลุ่มต่างๆ จะสามารถมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นโดยสันติผ่านอินเตอร์เน็ตได้ แต่ก็มีข้อจำกัดมากมายเกี่ยวกับเนื้อหาที่โพสต์ อาทิ ข้อความที่เป็นการวิพากษ์วิจารณ์การดำเนินงานของรัฐบาล การพูดถึงเรื่องอื้อฉาวของรัฐบาล และการเตือนการเฝ้าระวังของรัฐบาล
 
สำหรับ ประเด็นเสรีภาพในการชุมนุมและการรวมตัวกันอย่างสันติ รายงานระบุว่า ไทยเผชิญกับการประท้วงต่อต้านรัฐบาลขนาดใหญ่มากมายตลอดทั้งปี โดยมีการจับกุมและตั้งข้อหากับผู้ประท้วงหลายร้อยคนภายใต้พระราชกำหนดสถานการณ์ฉุกเฉินเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 กฎหมายปลุกระดมและกฎหมายหมิ่น รวมถึงกฎหมายอื่นๆ ทำให้มีผู้วิพากษ์วิจารณ์กล่าวหาว่า การจับกุมดังกล่าวเป็นการจำกัดเสรีภาพในการชุมนุมและการรวมตัวกันอย่างสันติ
 
รายงานได้อ้างข้อมูลจากทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนของไทยว่ามีผู้คน 1,161 คนที่ถูกจับกุมและดำเนินคดีฐานเข้าร่วมการประท้วงต่อต้านรัฐบาลระหว่างเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม 2563 ซึ่งรวมถึงผู้มีอายุต่ำว่า 18 ปี 143 คน โดยข้อหาที่พบมากที่สุดคือการละเมิดพรก.สถานการณ์ฉุกเฉินของโควิดที่ 893 คน การชุมนุมมากกว่า 10 คนซึ่งถือว่าผิดกฎหมาย 320 คน และม.112 อีก 124 คน รัฐบาลยังดำเนินคดีกับนักประชาธิปไตยและนักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชนรายอื่นๆ จากการเป็นผู้นำการประท้วงอย่างสันติ โดยมีการยกตัวอย่างกรณีของนายพริษฐ์ ชิวารักษ์ นายอานนท์ นำภา และอีกหลายๆ คนมาประกอบ
 
ใน ประเด็นเสรีภาพและการมีส่วนร่วมทางการเมือง เรื่องพรรคการเมืองและการมีส่วนร่วมทางการเมือง รายงานระบุว่า มีผู้วิพากษ์วิจารณ์ว่าตำรวจและศาลพุ่งเป้าในการดำเนินคดีไปที่ฝ่ายค้านอย่างไม่เป็นธรรม โดยมีการยกตัวอย่างการยุบพรรคอนาคตใหม่ในปี 2563 ซึ่งนักเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยกล่าวหาว่าการตัดสินใจดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามทางการเมืองเพื่อทำให้พรรคฝ่ายค้านสำคัญอ่อนแอลง
 
ประเด็นการดูแลผู้พลัดถิ่นภายในประเทศและผู้ลี้ภัย รายงานระบุว่าการปฏิบัติต่อผู้ลี้ภัยและผู้ขอลี้ภัยของรัฐบาลไทยยังคงไม่สอดคล้องกัน หลายครั้งที่รัฐบาลไทยไม่อนุญาตให้บุคคลที่หลบหนีการสู้รบหรือความรุนแรงอื่นๆ ในเมียนมาอยู่ในประเทศไทย แต่ก็ได้ให้ที่พักพิงแก่ผู้ลี้ภัยและผู้ขอลี้ภัยจำนวนมาก และยังมีอีกหลายกรณีที่มีการให้การคุ้มครองแก่ผู้ที่ถูกขับไล่หรือถูกบังคับให้เดินทางกลับ
 
ในเรื่องการทารุณกรรมต่อผู้อพยพและผู้ลี้ภัย รัฐบาลไทยยังอนุญาตให้ผู้ลี้ภัยชาวเมียนมาในค่าย 9 แห่งตามแนวชายแดนอยู่ในประเทศเป็นการชั่วคราว แต่ผู้ลี้ภัยที่อยู่นอกค่ายโดยไม่มีวีซ่าหรือใบอนุญาตเข้าเมืองที่ถูกต้องยังถือว่ามีเป็นผู้อพยพเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย ซึ่งจะต้องถูกจับกุม กักขัง และเนรเทศออกนอกประเทศ อย่างไรก็ดีสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติรายงานว่า ทางการได้ลดการจับกุมที่เกี่ยวข้องกับการย้ายถิ่นฐานลงเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และอนุญาตให้ผู้ลี้ภัยบางประเภท อาทิ แม่และเด็ก ผู้ป่วย ได้รับการประกันตัว โดยมีรายงานกรณีการเรียกรับสินบนในการขอประกันตัวด้วย
 

   
เปิดใจสาวเหยื่อถูกนักการเมืองใหญ่ข่มขืน ล่าสุดป่วยซึมเศร้า-รู้สึกไร้ค่า
https://www.nationtv.tv/news/378870062?=
 
เปิดใจสาวเหยื่อนักการเมืองใหญ่ที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศตั้งแต่ปี 56 เผยเจอในงานอีเว้นท์พรรคก่อนพูดคุยคบหาวางใจเป็นเพื่อน แต่สุดท้ายถูกข่มขืนแม้จะพยายามขัดขืนทุกวิถีทาง จนตอนนี้ป่วยซึมเศร้า-รู้สึกตัวไม่มีค่า
 
เป็นประเด็นอื้อฉาวและร้อนแรงของวันนี้ (14 เม.ย.) กรณีที่มีนักศึกษาสาวรายหนึ่ง เข้าแจ้งความกับตำรวจ สน.ลุมพินี ว่า ถูกนักการเมืองชื่อดังคนหนึ่ง ลวนลาม - กอดจูบ หลังหลอกมาคุยเรื่องงานและสอนหุ้น ที่ร้านอาหารชั้นดาดฟ้าภายในโรงแรมย่านสุขุมวิท โดย ทนายตั้ม ษิทรา เบี้ยบังเกิด ผู้ที่ออกมาเปิดเผยเรื่องราวระบุว่า ยังมีเหยื่ออีกหลายราย ที่ถูกกระทำลวนลาม อนาจาร และข่มขืน ในลักษณะนี้ (อ่านข่าว
 
ล่าสุด ผู้สื่อข่าวได้พูดคุยกับสาวรายหนึ่งที่เผยว่า ได้ตกเป็นเหยื่อถูกล่วงละเมิดทางเพศโดยนักการเมืองคนดังกล่าว โดยหญิงสาวรายนี้เผยว่า เหตุเกิดตั้งแต่ปี 2556 โดยตนรู้จักนักการเมืองคนดังกล่าวในงานอีเว้นท์ของพรรค ซึ่งทันทีที่พบกันนักการเมืองคนนี้ได้เข้ามาจีบ แต่ตนปฏิเสธเพราะมีแฟนแล้ว หลังจากนั้นนักการเมืองคนนี้ได้พูดคุยในลักษณะเพื่อนคบหากันมานานหลายปี ทำให้เกิดความไว้วางใจ
 
"วันเกิดเหตุเขานัดให้ไปทานข้าวที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งย่านสุขุมวิท หลังทานข้าวเสร็จฝ่ายชายอ้างว่าลืมของ และพาไปที่เพนท์เฮ้าส์ ตอนนี้คิดว่าเป็นเพียงสำนักงาน แต่เมื่อไปถึงเพนท์เฮ้าส์ได้ถูกฝ่ายชายผลักเข้าห้องนอนและล็อกห้อง ก่อนที่จะใช้กำลังล่วงละเมิดทางเพศ
 
"หนูพยายามกรีดร้อง แกล้งชัก และบอกว่ามีแฟนแล้ว รวมถึงอ้างว่ามีประจำเดือน  แต่ฝ่ายชายไม่หยุด และพูดว่า" ยอมพี่เถอะ" เดี๋ยวพี่ซื้อรถ ซื้อของให้ แล้วจะเลี้ยงดูเอง หนูขัดขืนสู้แรงนานกว่า 3 ชั่วโมงแต่ก็ไม่เป็นผล" เหยื่อสาวเล่าเหตการณ์ให้ฟัง
 
สาวรายนี้ยังบอกอีกว่า หลังก่อเหตุแล้วถูกฝ่ายชายข่มขู่ว่า ตำรวจจะช่วยอะไรได้ เพราะพ่อมีอำนาจ ด้วยความกลัวจะถูกทำร้ายจึงไม่ได้เข้าแจ้งความ จากนั้นตนไม่ได้เจอกับฝ่ายชายอีกหลายปี จนกระทั่งมาพบกันอีกครั้งในงานอีเว้นท์ของพรรค ซึ่งฝ่ายชายได้นัดตนกินข้าวอีกครั้งเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นที่ผ่านมา ซึ่งครั้งหลังตนได้ปฏิเสธและตัดขาดการติดต่อ
 
"รู้สึกโล่งใจและดีใจอย่างมากที่มีคนกล้าออกมาพูด เพราะตัวเองต้องเก็บกดมานานหลายปี กลัวว่าพูดไปแล้วจะไม่มีคนเชื่อ ตั้งแต่เกิดเรื่องก็เป็นโรคซึมเศร้าจนถึงทุกวันนี้ รู้สึกว่าตัวเองไม่มีค่า แต่คราวนี้ดีใจที่จะมีคนเชื่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสักที และเชื่อว่ามีผู้เสียหายตกเป็นเหยื่อมากกว่านี้ จึงขอให้ทุกคนกล้าออกมาพูด รวมถึงนับถือคนที่ออกมาแจ้งความเป็นอย่างมาก ส่วนฝ่ายชายหากจะไม่ยอมรับผิดก็ไม่เป็นไร เพราะจะไม่มีผู้หญิงคนไหนหลงเชื่อแล้วตกเป็นเหยื่ออีกแล้วหลังจากนี้"
 

 
"ทนายตั้ม" เปิดภาพห้องลวงสาว "อดีตรอง หน.พรรค" ใช้หลอกเหยื่อเป็นสำนักงาน
https://www.nationtv.tv/news/378870091

ขุดไม่เลิก! "ทนายตั้ม" เปิดภาพห้องพัก อ้างเป็นห้องลวงสาวของ "อดีตรองหัวหน้าพรรค" โดยใช้วิธีหลอกเหยื่อว่า เป็นสำนักงาน ก่อนหลงมือลวนลาม และข่มขืนผู้เสียหาย

ถือเป็นข่าวใหญ่ระดับประเทศ ภายหลัง “ทนายตั้ม” ษิทรา เบี้ยบังเกิด ทนายความชื่อดัง เปิดข้อมูลเหยื่อนักศึกษาสาววัย 18 ปี ถูกรองหัวหน้าพรรคการเมืองใหญ่ระดับประเทศ กระทำการลวนลามหลายครั้ง โดยหลอกว่า จะคุยเรื่องงาน และเรื่องหุ้นเศรษฐศาสตร์ แต่กลับก่อเหตุร้าย ซึ่งผู้เสียหายเข้าแจ้งความตำรวจไว้แล้ว
 
นอกจากนี้ ยังมีบุคคลที่อ้างว่าเป็นเหยื่อไม่ต่ำกว่า 10 ราย แจ้งข้อมูลมายัง “ทนายตั้ม” ว่า ถูกผู้ก่อเหตุรายเดียวกัน ที่กระทำการมานานหลายปี ก่อเหตุลวนลามและข่มขืน

กระทั่งนายปริญญ์ พานิชภักดิ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) แถลงข่าวยืนยันว่า ไม่เคยก่อเหตุล่วงละเมิดตามที่ถูกกล่าวอ้าง และพร้อมเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม แต่เนื่องจากเรื่องส่วนตัว กระทบต่อการทำงานของพรรค จึงขอลาออกจากทุกตำแหน่ง เพื่อเดินหน้าพิสูจน์ข้อเท็จจริงนั้น

ล่าสุด “ทนายตั้ม” โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก “ษิทรา เบี้ยบังเกิด เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ” โดยเป็นภาพห้องพักแห่งหนึ่ง ที่อ้างว่าเป็นห้องที่ “อดีตรองหัวหน้าพรรค” ใช้ก่อเหตุกับเหยื่อหลายคน
 
โดยระบุข้อความประกอบว่า “นี่เป็นห้องที่รองหัวหน้าพรรค ที่มักจะหลอกผู้หญิงว่าเป็นสำนักงาน เหยื่อคนไหนหลงเชื่อยอมขึ้นมาบนห้อง รองหัวหน้าพรรคก็จะล็อกประตู ใช้กำลังปลุกปล้ำข่มขืน แล้วก็มักจะขู่เหยื่อว่าหากแจ้งความ ครอบครัวเหยื่อจะเดือดร้อน เพราะพ่อตัวเองนั้นใหญ่มาก บางคนต้องยอมให้ข่มเหงเป็นปีๆ บางคนเป็นบาดแผลในใจถึงกับป่วยเป็นโรคซึมเศร้า บางคนถึงกับต้องหนีไปอยู่ต่างประเทศ”

วันนี้พวกเราคนไทย ต้องขอบคุณและส่งกำลังใจให้เหยื่อทุกคนนะครับ ที่กล้าออกมาเปิดเผยข้อมูลด้วยความกล้าหาญ น้องๆเป็นผู้ถูกกระทำโดยไม่เต็มใจ
 
ซึ่งสิ่งที่ทุกคนทำ ทำให้อีกหลายคนรู้สัน-าน #รองหัวหน้าพรรคโรคจิต ว่าต่อหน้าสื่อเป็นคนดี ดูน่าเชื่อถือ แต่ลับหลังกลับมีพฤติกรรมตรงกันข้ามขนาดไหน จะได้ไม่มีคนตกเป็นเหยื่อมันอีก ขอขอบคุณทุกคนด้วยใจครับ

https://www.facebook.com/sittra/posts/7218999748170342
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่