JJNY : 84.1% เดือดร้อนน้ำมันแพง–85.7%ไม่เชื่อรัฐแก้ได้│สื่อเกาหลีตีข่าวทางการไทย│โรงงานจ๊ากค่าไฟพุ่ง│ครอบครัวเพื่อไทย

ปชช.เดือดร้อนน้ำมันแพง – 85.7% ไม่เชื่อรัฐแก้ได้
https://www.innnews.co.th/news/politics/news_308709/
 
 
“กรุงเทพโพลล์” ประชาชน 84.1%ได้รับผลกระทบน้ำมันแพง 57.1% มีการปรับตัวรับมืองดเดินทาง งดเที่ยว 76.7% กังวลสินค้าอื่นอาจแพงตาม 85.7%ไม่เชื่อรัฐบาลจะแก้ปัญหาได้
 
“กรุงเทพโพลล์” มหาวิทยาลัยกรุงเทพ เปิดเผยผลสำรวจความเห็นประชาชนเรื่อง “น้ำมันแพงกับผลกระทบที่ประชาชนได้รับ” โดยเก็บข้อมูลจากประชาชนทั่วประเทศ จำนวน 1,123 คน ระหว่างวันที่ 14-16 มี.ค.ที่ผ่านมา พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 84.1 ได้รับผลกระทบจากน้ำมันแพง โดยระบุ ทำให้ต้องจ่ายค่าน้ำมันเพิ่มขึ้น มีค่าเดินทางเพิ่มขึ้น เงินเหลือเก็บลดลง ขณะที่ร้อยละ 15.9 ระบุ ไม่ได้รับผลกระทบ เพราะไม่ค่อยได้เดินทาง บริษัทจ่ายค่าน้ำมันให้ ส่วนใหญ่ใช้บริการรถสาธารณะ
 
ขณะที่ ร้อยละ 57.1 มีการปรับตัวรับมือกับปัญหาน้ำมันแพง ด้วยการใช้วิธีงดเดินทาง งดเที่ยวช่วงวันหยุด, ร้อยละ 44.9 ใช้วิธีวางแผนก่อนเดินทางเพื่อเลี่ยงรถติด และร้อยละ 40.4 ใช้วิธีประหยัดค่าใช้จ่ายอื่นๆ เพื่อเก็บเงินไว้จ่ายค่าน้ำมัน ขณะเดียวกัน ร้อยละ 76.7 มีความกังวลว่า หากราคาน้ำมันยังแพงอยู่ ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคในท้องตลาดอาจแพงขึ้นอีก, ร้อยละ 11.1 เกิดการกู้หนี้ ยืมสินเพิ่มขึ้น และร้อยละ 5.5 เกิดการก่ออาชญากรรม ขโมยน้ำมัน การลักลอบขนน้ำมันเถื่อน
 
นอกจากนี้ ประชาชน ร้อยละ 85.7 ระบุ ไม่ค่อยเชื่อมั่น ถึงไม่เชื่อมั่นเลยต่อรัฐบาลว่าจะสามารถจัดการกับปัญหาราคาน้ำมันแพงได้,มีเพียงร้อยละ 14.3 ระบุ ค่อนข้างเชื่อมั่นถึงเชื่อมั่นมากอย่างไรก็ตาม ประชาชนร้อยละ 32.2 เห็นว่ารัฐบาลควรทำเพื่อช่วยเหลือประชาชนลดภาระค่าใช้จ่ายน้ำมันและค่าเดินทางมากที่สุด คือ ควรขายน้ำมันราคาถูกให้กับบางกลุ่ม เช่น ธุรกิจขนส่งสินค้าและอาหาร มอเตอร์ไซค์วิน แท็กซี่ ขนส่งมวลชน ฯลฯ, ร้อยละ 15.3 ควรปรับปรุงระบบขนส่งมวลชนให้มีประสิทธิภาพ ปลอดภัยจากโควิด เพื่อให้คนหันมาใช้แทนรถส่วนตัว และร้อยละ 14.4 คือ ลดภาษีน้ำมัน ลดจำนวนเงินเข้ากองทุนน้ำมัน เพื่อไม่ให้น้ำมันในประเทศขึ้นราคา



สื่อเกาหลี ตีข่าวทางการไทย เตรียมสอบสวนคนแชร์ภาพลิซ่า กับแบรนด์วิสกี้ดัง
https://www.matichon.co.th/foreign/news_3240764

สื่อเกาหลี ตีข่าวทางการไทย เตรียมสอบสวนคนแชร์ภาพลิซ่า กับแบรนด์วิสกี้ดัง
 
จากกรณีที่กรมควบคุมโรคเตรียมเรียกเพจ BLACKPINK Thailand ที่ได้โพสต์ภาพของ ลิซ่า แบล็กพิงก์ ถือเครื่องดื่มวิสกี้ยี่ห้อดังนั้น ก่อนสำนักงานคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จะออกมาให้คำแนะนำในการโพสต์รูปภาพเพื่อไม่ให้ผิดกฎหมายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

ล่าสุด เว็บไซต์ ALLKPOP สื่อภาษาอังกฤษของบันเทิงเกาหลี ได้เผยแพร่ข่าวว่า ทางการไทยได้เตรียมสอบสวนผู้ที่แชร์ภาพลิซ่าโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แบรนด์ดัง โดยอ้างสื่อท้องถิ่นของไทย ว่าทางการได้เตรียมสืบสวนกรณีภาพออนไลน์เผยแพร่ลิซ่ากับโฆษณาแอลกอฮอล์
 
ทั้งยังระบุว่า ประเทศไทยเป็นเมืองพุทธ โดยแบนการโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในสื่อทุกแพลตฟอร์ม ดังนั้น การเผยแพร่ภาพการโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของเธอ จึงอยู่ระหว่างการตรวจสอบ
 
ลิซ่า เพิ่งจะเปิดตัวเป็นพรีเซ็นเตอร์หญิงคนแรกของแบรนด์ ในภูมิภาคเอเชียของวิสกี้ยี่ห้อดัง โดยได้เผยแพร่ในโซเชียลมีเดียของเธอ ซึ่งในเอกสารประชาสัมพันธ์ของแบรนด์นั้น ลิซ่าเปิดเผยว่า หลังจากได้เดินตามความฝันที่ยิ่งใหญ่ของตัวเองและได้เรียนรู้ประสบการณ์มากมายในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ลิซ่าอยากเป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้คนในการพัฒนาตัวเองเช่นกัน พอรู้ว่าจะได้ร่วมงานกับแบรนด์ ลิซ่าตัดสินใจตอบตกลงโดยไม่ต้องคิด เพราะสิ่งที่แบรนด์เชื่อมั่นและให้ความสำคัญ ตรงกับมุมมองความเชื่อของลิซ่า และอีกอย่างลิซ่าก็เป็นแฟนวิสกี้ตัวยง

โดย All Kpop ยังได้รายงานโดยอ้างสื่อไทยว่า เป็นที่สงสัยว่า ลิซ่าจะโดนบทลงโทษด้วยหรือไม่
 
ทั้งนี้ ยังได้รายงานด้วยว่า ตามมาตรา 32 แห่งพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2551 บัญญัติ ห้ามมิให้ผู้ใดโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือแสดงชื่อ หรือเครื่องหมายของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อันเป็นการอวดอ้างสรรพคุณ หรือชักจูงใจให้ผู้อื่นดื่มโดยตรงหรือโดยอ้อม
โดยมีบทลงโทษ ผู้ใดฝ่าฝืนต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 500,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
 
ทั้งนี้ ศิลปินเกาหลีใต้ไม่ว่าจะเป็นนักแสดง หรือไอดอล หลายคนเป็นพรีเซ็นเตอร์ของแบรนด์เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ไม่ว่าจะเป็นโซจู หรือเบียร์ อาทิ เบซูจีไอยูซงฮเยคโยอีฮโยริฮยอนอาชินมินอาไอรีน Red Velvetพัค ซอจุน รวมไปถึง เจนนี่ BLACKPINK เพื่อนร่วมวงของลิซ่า ที่เป็นพรีเซ็นเตอร์แบรนด์โซจู ซึ่งล่าสุด เจย์ ปาร์ค ยังได้เผยธุรกิจใหม่กับแบรนด์โซจูของตัวเองด้วย
 


โรงงานจ๊าก ค่าไฟพุ่งดันต้นทุนพรวด-สุพัฒนพงษ์ ชงครม. 22 มี.ค.เคาะแพกเกจสู้น้ำมันแพง
https://www.matichon.co.th/economy/news_3241239

โรงงานจ๊ากค่าไฟพุ่งดันต้นทุนพรวด-สุพัฒนพงษ์ ชงครม.22 มี.ค.เคาะแพกเกจช่วยสู้น้ำมันแพง
 
วันที่ 19 มีนาคม โรงงานอุตสาหกรรมต้องร้องจ๊ากกันเป็นแถว เมื่อค่าไฟจะปรับขึ้นอีก ที่จะทำให้ต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้นอีก หลังต้องแบกรับภาระจากน้ำมันที่แพงขึ้น
 
เมื่อวันที่ 18 มีนาคม นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) กล่าวถึงมติคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน(กกพ.) ปรับขึ้นค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ 23.38 สตางค์ต่อหน่วย ส่งผลให้ค่าไฟรวม 4 บาทต่อหน่วย ว่า อัตราค่าไฟดังกล่าวส่งผลกระทบต่อการประกอบกิจการของภาคอุตสาหกรรมทั่วประเทศ รวมทั้งธุรกิจในกลุ่มอื่นที่เกี่ยวข้อง เพราะไฟฟ้าคือองค์ประกอบสำคัญในการผลิต การดำเนินการกิจการ โดยอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบอย่างมากคือ อุตสาหกรรมขนาดใหญ่ อาทิ เหล็ก ปิโตรเคมี อุตสาหกรรมขั้นต้น ขณะที่อุตสาหกรรมอื่นได้รับผลกระทบเช่นกัน
นายสุพันธุ์กล่าวว่า ผลสำรวจของผู้ประกอบการทั้ง 45 กลุ่มอุตสาหกรรมมีความเห็นว่าต้องการตรึงราคาพลังงาน ตรึงค่าไฟ แต่ในเมื่อเวลานี้ต้นทุนพลังงานสูง รัฐบาลเลี่ยงไม่ได้ ต้องปรับขึ้นราคาก็ควรมีมาตรการบรรเทาผลกระทบด้านต้นทุนพลังงาน โดยเฉพาะค่าไฟ อาทิ มาตรการทางภาษี
 
“ผลจากค่าไฟเพิ่มขึ้นกระทบต้นทุนผลิต จะมีส่วนทำให้ราคาสินค้าคงทยอยปรับขึ้นเช่นกัน เพราะเผชิญกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นทุกด้าน” นายสุพันธุ์กล่าว

ด้านนายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวถึงมาตรการช่วยเหลือประชาชนในภาวะราคาน้ำมันแพง ว่า ที่ผ่านมานายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน หารือร่วมกับกระทรวงการคลังหลายครั้ง คาดว่าจะเสนอมาตรการบรรเทาผลกระทบประชาชนหลายมาตรการในการประชุม คณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 22 มีนาคม ส่วนจะเป็นมาตรการเฉพาะกลุ่มหรือเป็นการทั่วไป ยังไม่สามารถตอบได้ แต่ยืนยันว่ารัฐบาลมีงบประมาณเพียงพอ ทั้งในส่วนเงินกู้ จากพ.ร.ก.กู้เงินเพิ่มเติม 5 แสนล้านบาทที่ยังเหลืออยู่ และจากงบประมาณกลาง มาตรการที่ออกมาจะดูเป็นกลุ่มๆ ซึ่งกระทรวงพลังงานกำลังวางกลุ่มเป้าหมาย เช่น กลุ่มมอเตอร์ไซค์รับจ้าง เป็นต้น
 
นายกฤษฎากล่าวว่า ในส่วนการช่วยเหลือร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ “คนละครึ่ง” ที่ได้รับผลกระทบจากราคาก๊าซหุงต้มปรับขึ้น แม้ขณะนี้จะมีร้านค้าที่มีความหลากหลายเข้าร่วมในโครงการ ซึ่งกระทรวงการคลังมีข้อมูลกลุ่มหรือประเภทร้านค้าสามารถมาใช้คัดกรองร้านค้าที่ควรจะได้รับการช่วยเหลือด้วย
  
นายกฤษฎายังกล่าวถึงข้อเสนอมให้ขยายต่อโครงการคนละครึ่ง เฟส 5 ว่า กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างประเมินว่า ควรจะขยายหรือต่ออายุเป็นโครงการคนละครึ่ง เฟส 5 หรือไม่ โดยรอดูสถานการณ์เศรษฐกิจและผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับประชาชนในระยะต่อไปก่อน ขณะนี้มาตรการคนละครึ่งยังคงดำเนินการในเฟสที่ 4 อยู่
 
“ขณะนี้ เศรษฐกิจอยู่ในช่วงที่ไม่ปกติ ฉะนั้นภาครัฐต้องเป็นพระเอกในการเข้าไปช่วยเหลือ ส่วนยังมีความจำเป็นต้องใช้มาตรการคนละครึ่งต่อไปอีกหรือไม่ ต้องดูในระยะต่อไป” นายกฤษฎากล่าว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่