ในยุคเศรษฐกิจโลกที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนและการเปลี่ยนแปลงทางการค้า สงครามการค้าระหว่างประเทศกลายเป็นเรื่องที่มีผลกระทบต่อทุกฝ่าย โดยเฉพาะประเทศที่พึ่งพาการส่งออกสินค้าเป็นหนึ่งในแหล่งรายได้สำคัญ สำหรับประเทศไทย การส่งออกเป็นหัวใจสำคัญของเศรษฐกิจ แต่ก็หลีกเลี่ยงผลกระทบจากนโยบายการค้าระหว่างประเทศไม่ได้ ซึ่งหนึ่งในประเด็นที่ควรจับตามองในปัจจุบันคือสินค้าส่งออกของไทยที่อาจตกอยู่ในภาวะเสี่ยงจากการขึ้นภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ ภายใต้นโยบายของโดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีแห่งสหรัฐฯ
สินค้าที่เสี่ยงถูกกระทบ แน่นอน สินค้าไทยล้วน ๆ
ด้วยนโยบาย "America First" ของทรัมป์ที่มุ่งเน้นการปกป้องตลาดภายในประเทศ สินค้าหลายประเภทจากประเทศคู่ค้าต่าง ๆ รวมถึงประเทศไทยอาจต้องเผชิญกับกำแพงภาษีที่เพิ่มขึ้น โดยหนึ่งในรายงานเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวที่น่าจับตามองคือรายชื่อสินค้าไทยกว่า 29 รายการ ที่ "เสี่ยงสูง" ต่อการถูกสหรัฐฯ เพิ่มภาษีนำเข้า ซึ่งสินค้าที่อยู่ในข่ายมีตั้งแต่สินค้าเกษตร อาหาร และสินค้าอุตสาหกรรม
ตัวอย่างของสินค้าไทยที่อยู่ในความเสี่ยงรวมถึงผลิตภัณฑ์เกษตร เช่น ข้าวหอมมะลิ น้ำปลาที่เป็นสินค้าเฉพาะตัวของไทย รวมถึงผลิตภัณฑ์ยางพาราซึ่งมีบทบาทสำคัญในตลาดโรงงานอุตสาหกรรมในสหรัฐฯ สำหรับสินค้าอุตสาหกรรมอื่น ๆ อย่างเครื่องสำอางและเสื้อผ้าก็ได้รับการระบุว่าอาจได้รับผลกระทบเช่นกัน การขึ้นภาษีในกลุ่มสินค้าดังกล่าวจะส่งผลให้ราคานำเข้าสินค้าไทยในสหรัฐฯ สูงขึ้น และเกิดการแข่งขันในตลาดที่ยากลำบากยิ่งขึ้นสำหรับผู้ประกอบ
รายชื่อสินค้าไทยทั้งหมดที่ทรัมป์จะขึ้นภาษี
HS.8471 เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ
HS.8517 เครื่องโทรศัพท์มือถือและชิ้นส่วน
HS.8541 ไดโอด ทรานซิสเตอร์และอุปกรณ์กึ่งตัวนำแบบไวแสง (โซลาร์เซลล์)
HS.4011 ยางนอกชนิดอัดลมที่เป็นของใหม่
HS.8504 หม้อแปลงไฟฟ้า เครื่องเปลี่ยนไฟฟ้าชนิดคงที่
HS.8415 เครื่องปรับอากาศ HS.8443 เครื่องพิมพ์ที่ป้อนกระดาษเป็นม้วน
HS.8525 เครื่องส่งสัญญาณวิทยุโทรทัศน์
HS.8542 วงจรรวมอิเล็กทรอนิกส์
HS.7113 เครื่องเพชรพลอยและรูปพรรณและส่วนประกอบของดังกล่าว
HS.8543 เครื่องจักรไฟฟ้าและเครื่องอุปกรณ์ไฟฟ้า ซึ่งมีหน้าที่การทำงานเป็นเอกเทศ
HS.8418 ตู้เย็นและตู้แช่เย็น
HS.9403 เฟอร์นิเจอร์และชิ้นส่วน
HS.8523 จากบันทึก เทป อุปกรณ์หน่วยเก็บความจำแบบไม่ลบเลือนชนิดโซลิด-สเตต สมาร์ทการ์ด สื่ออื่นๆ สำหรับการบันทึกเสียง
HS.9018 ชิ้นส่วนและอุปกรณ์ที่ใช้ในทางการแพทย์
HS.7304 หลอดหรือท่อทำด้วยเหล็กหรือเหล็กกล้า
HS.8537 แป้น แผงคอนโซล ที่ติดตั้งอุปกรณ์ไฟฟ้า
HS.4202 กระเป๋าเดินทางขนาดใหญ่ กระเป๋าใส่ของทำด้วยหนัง
HS.9405 เครื่องประทีปโคมไฟ สปอตไลต์ และส่วนประกอบ
HS.2009 น้ำผลไม้และน้ำพืชผัก
HS.3920 แผ่น แผ่นบาง ฟิล์ม ฟอยล์ และแถบชนิดอื่นทำด้วยพลาสติก
HS.9503 จักรยานสามล้อ สกู๊ตเตอร์ รถยนต์ที่ใช้เท้าถีบและของเล่นมีล้อ
HS.8512 เครื่องอุปกรณ์ไฟฟ้าสำหรับให้แสงสว่างหรือให้สัญญาณ
HS.9032 อุปกรณ์และเครื่องอุปกรณ์สำหรับบังคับหรือควบคุมโดยอัตโนมัติ
HS.4412 ไม้อัดพลายวูด ไม้อัดวีเนียร์ และลามิเนเต็ดวูดที่คล้ายกัน
HS.1704 ขนมที่ทำจากน้ำตาล (รวมถึงช็อกโกแลตขาว) ที่ไม่มีโกโก้ผสม
HS.0304 เนื้อปลาแบบฟิลเลและเนื้อปลาแบบอื่น (จะบดหรือไม่ก็ตาม) สด แช่เย็น หรือแช่แข็ง
HS.2005 พืชผักอื่นๆ (ไม่รวมมะเขือเทศ เห็ดชนิดมัชรูมและชนิดทรัฟเฟิล) ที่ปรุงแต่ง หรือทำไว้ไม่ให้เสียโดยวิธีอื่น และ
HS.8209 แผ่น แท่ง ปลาย และของที่คล้ายกันทำด้วยเซอร์เมตที่ใช้กับเครื่องมือแต่ยังไม่ได้ประกอบติดกับเครื่องมือ
ผลกระทบต่อเศรษฐกิจและผู้ประกอบการไทย
ในฐานะประเทศที่มีบทบาทสำคัญในตลาดส่งออกไทย การปรับขึ้นภาษีจากสหรัฐฯ จะส่งผลกระทบในหลายมิติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็ก (SMEs) ที่เป็นผู้ผลิตสินค้าเพื่อการส่งออก พวกเขาอาจต้องบรรจุภาระต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้น รวมถึงการสูญเสียตลาดส่งออกซึ่งถือเป็นแหล่งรายได้หลัก
นอกจากนี้ ภายใต้ระบบเศรษฐกิจโลกที่เชื่อมโยงกัน การเพิ่มกำแพงภาษีของสหรัฐฯ อาจเป็นสัญญาณของสงครามการค้าที่ยังคงดำเนินต่อไป และสามารถดึงให้ประเทศอื่น ๆ ปรับตัวด้วยมาตรการปกป้องเศรษฐกิจของตัวเอง ทั้งนี้ สำหรับประเทศไทยซึ่งเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจพึ่งพาการส่งออกเป็นส่วนใหญ่ การปรับตัวและการหาแนวทางเพื่อรักษาตลาดเดิมหรือเพิ่มโอกาสในตลาดใหม่จะกลายเป็นเรื่องสำคัญ
แนวทางสำหรับการแก้ไข
เพื่อลดผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าว รัฐบาลและผู้ประกอบการไทยควรทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด มีหลายแนวทางที่สามารถดำเนินการได้ เช่น การเจรจาการค้าเพิ่มเติมเพื่อหลีกเลี่ยงการขึ้นภาษี การขยายตลาดส่งออกใหม่ที่ไม่อิงกับสหรัฐฯ เพียงแห่งเดียว และการปรับปรุงคุณภาพสินค้าเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก นอกจากนี้ เทคโนโลยีก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ไทยควรให้ความสำคัญ เช่น การนำระบบข้อมูลมาช่วยวิเคราะห์ตลาดเป้าหมาย และการพัฒนาโปรไฟล์สินค้าที่มีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น
ปัญหาการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศไทยภายใต้นโยบายของโดนัลด์ ทรัมป์นั้นเป็นเรื่องที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรม รัฐบาลและเอกชนจึงควรร่วมมือกันหามาตรการเพื่อบรรเทาผลกระทบในระยะสั้นและพัฒนากลยุทธ์ในระยะยาว แนวทางเหล่านี้จะช่วยทำให้ผู้ประกอบการไทยยังคงสามารถแข่งขันในตลาดต่างประเทศ และรักษาสถานะประเทศไทยในฐานะผู้เล่นสำคัญในตลาดส่งออกระดับโลกต่อไปได้
บทความนี้เป็นการให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับประเด็นที่มีผลกระทบต่อการส่งออกของไทย หากต้องการให้เจาะจงถึงแนวทางแก้ไขในอุตสาหกรรมเฉพาะเจาะจง โปรดแจ้งเพิ่มเติมเพื่อให้เนื้อหาสอดคล้องกับความต้องการมากขึ้น
ขอบคุณข้อมูลจาก
https://www.matichon.co.th/
เช็กรายชื่อ 29 สินค้าไทย เสี่ยงสูง ถูกทรัมป์ขึ้นภาษี
สินค้าที่เสี่ยงถูกกระทบ แน่นอน สินค้าไทยล้วน ๆ
ด้วยนโยบาย "America First" ของทรัมป์ที่มุ่งเน้นการปกป้องตลาดภายในประเทศ สินค้าหลายประเภทจากประเทศคู่ค้าต่าง ๆ รวมถึงประเทศไทยอาจต้องเผชิญกับกำแพงภาษีที่เพิ่มขึ้น โดยหนึ่งในรายงานเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวที่น่าจับตามองคือรายชื่อสินค้าไทยกว่า 29 รายการ ที่ "เสี่ยงสูง" ต่อการถูกสหรัฐฯ เพิ่มภาษีนำเข้า ซึ่งสินค้าที่อยู่ในข่ายมีตั้งแต่สินค้าเกษตร อาหาร และสินค้าอุตสาหกรรม
ตัวอย่างของสินค้าไทยที่อยู่ในความเสี่ยงรวมถึงผลิตภัณฑ์เกษตร เช่น ข้าวหอมมะลิ น้ำปลาที่เป็นสินค้าเฉพาะตัวของไทย รวมถึงผลิตภัณฑ์ยางพาราซึ่งมีบทบาทสำคัญในตลาดโรงงานอุตสาหกรรมในสหรัฐฯ สำหรับสินค้าอุตสาหกรรมอื่น ๆ อย่างเครื่องสำอางและเสื้อผ้าก็ได้รับการระบุว่าอาจได้รับผลกระทบเช่นกัน การขึ้นภาษีในกลุ่มสินค้าดังกล่าวจะส่งผลให้ราคานำเข้าสินค้าไทยในสหรัฐฯ สูงขึ้น และเกิดการแข่งขันในตลาดที่ยากลำบากยิ่งขึ้นสำหรับผู้ประกอบ
รายชื่อสินค้าไทยทั้งหมดที่ทรัมป์จะขึ้นภาษี
HS.8471 เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ
HS.8517 เครื่องโทรศัพท์มือถือและชิ้นส่วน
HS.8541 ไดโอด ทรานซิสเตอร์และอุปกรณ์กึ่งตัวนำแบบไวแสง (โซลาร์เซลล์)
HS.4011 ยางนอกชนิดอัดลมที่เป็นของใหม่
HS.8504 หม้อแปลงไฟฟ้า เครื่องเปลี่ยนไฟฟ้าชนิดคงที่
HS.8415 เครื่องปรับอากาศ HS.8443 เครื่องพิมพ์ที่ป้อนกระดาษเป็นม้วน
HS.8525 เครื่องส่งสัญญาณวิทยุโทรทัศน์
HS.8542 วงจรรวมอิเล็กทรอนิกส์
HS.7113 เครื่องเพชรพลอยและรูปพรรณและส่วนประกอบของดังกล่าว
HS.8543 เครื่องจักรไฟฟ้าและเครื่องอุปกรณ์ไฟฟ้า ซึ่งมีหน้าที่การทำงานเป็นเอกเทศ
HS.8418 ตู้เย็นและตู้แช่เย็น
HS.9403 เฟอร์นิเจอร์และชิ้นส่วน
HS.8523 จากบันทึก เทป อุปกรณ์หน่วยเก็บความจำแบบไม่ลบเลือนชนิดโซลิด-สเตต สมาร์ทการ์ด สื่ออื่นๆ สำหรับการบันทึกเสียง
HS.9018 ชิ้นส่วนและอุปกรณ์ที่ใช้ในทางการแพทย์
HS.7304 หลอดหรือท่อทำด้วยเหล็กหรือเหล็กกล้า
HS.8537 แป้น แผงคอนโซล ที่ติดตั้งอุปกรณ์ไฟฟ้า
HS.4202 กระเป๋าเดินทางขนาดใหญ่ กระเป๋าใส่ของทำด้วยหนัง
HS.9405 เครื่องประทีปโคมไฟ สปอตไลต์ และส่วนประกอบ
HS.2009 น้ำผลไม้และน้ำพืชผัก
HS.3920 แผ่น แผ่นบาง ฟิล์ม ฟอยล์ และแถบชนิดอื่นทำด้วยพลาสติก
HS.9503 จักรยานสามล้อ สกู๊ตเตอร์ รถยนต์ที่ใช้เท้าถีบและของเล่นมีล้อ
HS.8512 เครื่องอุปกรณ์ไฟฟ้าสำหรับให้แสงสว่างหรือให้สัญญาณ
HS.9032 อุปกรณ์และเครื่องอุปกรณ์สำหรับบังคับหรือควบคุมโดยอัตโนมัติ
HS.4412 ไม้อัดพลายวูด ไม้อัดวีเนียร์ และลามิเนเต็ดวูดที่คล้ายกัน
HS.1704 ขนมที่ทำจากน้ำตาล (รวมถึงช็อกโกแลตขาว) ที่ไม่มีโกโก้ผสม
HS.0304 เนื้อปลาแบบฟิลเลและเนื้อปลาแบบอื่น (จะบดหรือไม่ก็ตาม) สด แช่เย็น หรือแช่แข็ง
HS.2005 พืชผักอื่นๆ (ไม่รวมมะเขือเทศ เห็ดชนิดมัชรูมและชนิดทรัฟเฟิล) ที่ปรุงแต่ง หรือทำไว้ไม่ให้เสียโดยวิธีอื่น และ
HS.8209 แผ่น แท่ง ปลาย และของที่คล้ายกันทำด้วยเซอร์เมตที่ใช้กับเครื่องมือแต่ยังไม่ได้ประกอบติดกับเครื่องมือ
ผลกระทบต่อเศรษฐกิจและผู้ประกอบการไทย
ในฐานะประเทศที่มีบทบาทสำคัญในตลาดส่งออกไทย การปรับขึ้นภาษีจากสหรัฐฯ จะส่งผลกระทบในหลายมิติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็ก (SMEs) ที่เป็นผู้ผลิตสินค้าเพื่อการส่งออก พวกเขาอาจต้องบรรจุภาระต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้น รวมถึงการสูญเสียตลาดส่งออกซึ่งถือเป็นแหล่งรายได้หลัก
นอกจากนี้ ภายใต้ระบบเศรษฐกิจโลกที่เชื่อมโยงกัน การเพิ่มกำแพงภาษีของสหรัฐฯ อาจเป็นสัญญาณของสงครามการค้าที่ยังคงดำเนินต่อไป และสามารถดึงให้ประเทศอื่น ๆ ปรับตัวด้วยมาตรการปกป้องเศรษฐกิจของตัวเอง ทั้งนี้ สำหรับประเทศไทยซึ่งเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจพึ่งพาการส่งออกเป็นส่วนใหญ่ การปรับตัวและการหาแนวทางเพื่อรักษาตลาดเดิมหรือเพิ่มโอกาสในตลาดใหม่จะกลายเป็นเรื่องสำคัญ
แนวทางสำหรับการแก้ไข
เพื่อลดผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าว รัฐบาลและผู้ประกอบการไทยควรทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด มีหลายแนวทางที่สามารถดำเนินการได้ เช่น การเจรจาการค้าเพิ่มเติมเพื่อหลีกเลี่ยงการขึ้นภาษี การขยายตลาดส่งออกใหม่ที่ไม่อิงกับสหรัฐฯ เพียงแห่งเดียว และการปรับปรุงคุณภาพสินค้าเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก นอกจากนี้ เทคโนโลยีก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ไทยควรให้ความสำคัญ เช่น การนำระบบข้อมูลมาช่วยวิเคราะห์ตลาดเป้าหมาย และการพัฒนาโปรไฟล์สินค้าที่มีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น
ปัญหาการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศไทยภายใต้นโยบายของโดนัลด์ ทรัมป์นั้นเป็นเรื่องที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรม รัฐบาลและเอกชนจึงควรร่วมมือกันหามาตรการเพื่อบรรเทาผลกระทบในระยะสั้นและพัฒนากลยุทธ์ในระยะยาว แนวทางเหล่านี้จะช่วยทำให้ผู้ประกอบการไทยยังคงสามารถแข่งขันในตลาดต่างประเทศ และรักษาสถานะประเทศไทยในฐานะผู้เล่นสำคัญในตลาดส่งออกระดับโลกต่อไปได้
บทความนี้เป็นการให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับประเด็นที่มีผลกระทบต่อการส่งออกของไทย หากต้องการให้เจาะจงถึงแนวทางแก้ไขในอุตสาหกรรมเฉพาะเจาะจง โปรดแจ้งเพิ่มเติมเพื่อให้เนื้อหาสอดคล้องกับความต้องการมากขึ้น
ขอบคุณข้อมูลจาก
https://www.matichon.co.th/