คนไทย'เสียไปเท่าไหร่แล้ว' กับเรื่องของฝุ่น PM2.5! และ 'หมอเจด'ยกผลวิจัย! ไม่อยากสมองเสื่อมต้องกินสิ่งนี้

โพสต์ทูเดย์เปิดค่าใช้จ่ายแต่ละวันของคนไทย จากการเผชิญวิกฤตฝุ่น PM2.5 รวมไปถึงค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพจากการรับฝุ่น PM2.5 เป็นเวลานาน ในขณะที่ตัวเลขผู้เสียชีวิตของไทยก่อนวัยอันควรจากฝุ่น PM2.5 สูงถึง 14,000 รายต่อปี!

โพสต์ทูเดย์ สำรวจราคาข้าวของเครื่องใช้และรายจ่ายเพิ่มเติม จากการเผชิญวิกฤตฝุ่น PM2.5 ซึ่งมีแนวโน้มรุนแรงขึ้นในทุกๆ ปี ระหว่างที่รอมาตรการจากรัฐบาลที่จะแก้ไขภาพรวมอย่างเป็นระบบ โดยพบว่า ราคาหน้ากากอนามัยมีค่าใช้จ่ายอยู่ที่วันละ 2-20 บาทต่อวัน  เครื่องฟอกอากาศจากการสำรวจราคาในตลาดอยู่ที่ 2,000 - 60,000 บาท ราคาน้ำเกลือล้างจมูก อยู่ที่ขวดละ 45-105 บาท  คำนวนค่าไฟจากการเปิดเครื่องปรับอากาศตลอดเวลาเนื่องจากไม่สามารถเปิดหน้าต่างได้ตกชั่วโมงละ 2.69 บาทต่อเครื่อง หรือราว 65 บาทต่อวัน 

นอกจากนี้ยังมีค่ารักษาพยาบาล ซึ่งหากเจ็บป่วยเล็กน้อยสามารถซื้อยาได้ที่ร้านขายยาอยู่ที่ราวครั้งละ 100 บาทเป็นต้นไป หรือการเจ็บป่วยที่ต้องเข้ารักษาพยาบาลในโรงพยาบาลเริ่มต้นที่ 2,000 บาท ไปจนถึงเจ็บป่วยมากจากการรับฝุ่นเป็นเวลานานติดต่อกัน หรือในระยะยาวที่จะมีค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 200,000 บาทต่อคน!

ทั้งนี้ เมื่อเทียบกับรายได้ในกลุ่มคนจนของประเทศ จากรายงานของ ธนาคารโลก ระบุว่าในปี 2564 คนไทยในมีรายได้เฉลี่ยต่อหัวต่อปีต่ำสุดที่ 37,495 บาท ต่อคน หรือ 104 บาทต่อวันเท่านั้น ในขณะที่หากใช้รายได้ค่าเฉลี่ยภายในครัวเรือนของประเทศไทย (คิดเป็นครัวเรือนไม่ใช่ต่อคน) ในปี 2566 พบว่า อยู่ที่ 29,030 บาทต่อเดือน หรือ 970 บาทต่อวัน
 
ด้านกรมควบคุมโรค มีข้อมูลว่าในปีงบประมาณ 2567 ตั้งแต่ 1 ต.ค. 2566 – 31 ธ.ค. 2567  สถานการณ์จำนวนผู้ป่วยโรคที่มีความเกี่ยวข้องกับการรับสัมผัสและค่าเฉลี่ยฝุ่น PM2.5 ทั่วประเทศ  ใน 6 โรค มีทั้งสิ้น 1,048,015 ราย แยกเป็น
ปอดอุดกั้นเรื้อรัง 226,423 ราย
โรคตาอักเสบ 357,104 ราย
โรคผิวหนังอักเสบ  442,073 ราย
โรคหืด 18,336 ราย 
หัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน 4,051 ราย 
และการสัมผัสกับมลพิษทางอากาศ 28 ราย
 
ขณะที่ กรมอนามัย  เผยว่าคนไทยมีค่าเสียโอกาสด้านสุขภาพ เช่น ค่ารักษาพยาบาล ค่าหน้ากากอนามัย เครื่องฟอกอากาศ ฯลฯ ราว 2,000 – 3,000 ล้านบาท และกว่า 75% เป็นค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาล  เช่น ค่ารักษาพยาบาลของโรคที่เกี่ยวข้องกับมลพิษทางอากาศ อาทิ หอบหืด 2,752 บาท ต่อครั้ง โรคหลอดเลือดหัวใจและโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง 16,000 บาท มะเร็งปอด 141,100 - 197,600 บาท เป็นต้น 

ในส่วนสถานการณ์มลพิษอากาศของประเทศไทย พบ 38 ล้านคนอยู่ในพื้นที่ที่มีค่า PM2.5 เกินค่ามาตรฐาน (37.5 มคก./ลบ.ม.) 15 ล้านคนหรือ 1 ใน 5 เป็นกลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้ป่วยโรคหอบหืด ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยติดเตียง และ เด็กเล็ก ซึ่งผลกระทบต่อสุขภาพ PM2.5 ทำให้ค่าอายุเฉลี่ยของคนไทยลดลง 1.78 ปี

นอกจากนี้ ในด้านการเสียชีวิต พบผลการศึกษาของกรีนพีซ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และ IQAir  ซึ่งรายงานในปี 2563 ว่ามลพิษทางอากาศเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรของคนไทยกว่า 14,000 รายใน 6 จังหวัด โดยคิดเป็นมูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจประมาณ 5 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 149,367,000,000 บาท  ทั้งนี้ ฝุ่นPM2.5 เป็นสาเหตุที่ทำให้เสียชีวิตมากเป็นอันดับ 5 ของโลก เป็น 1 ใน 5 ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรค NCDs (โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง) และเป็นปัจจัยเสี่ยงทำให้เกิดมะเร็ง

สำหรับกรุงเทพมหานครมีความเสียหายมูลค่าทางเศรษฐกิจจากมลพิษทางอากาศ PM2.5 กว่า 3.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 104,557,000,000 บาท โดยคิดเป็นร้อยละ 5 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมของจังหวัด (city’s GDP)
  
ทั้งนี้ หากรัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่เล็งเห็นความสำคัญของปัญหาฝุ่น ที่ไม่ได้กระทบแค่สุขภาพ แต่กระทบต่อเศรษฐกิจในครัวเรือนของคนไทย และยังไม่ออกมาตรการดูแลและกำกับที่ชัดเจน รวมไปถึงยังไม่มีความคืบหน้าเรื่อง พ.ร.บ.อากาศสะอาดฯ จากฝั่งการเมือง ก็คงเห็นคนไทยต้อง 'ชิน' กับการผ่อนจ่ายชีวิต เพราะต้องเสียสุขภาพกาย-จิต และเสียเงินจาก 'มลพิษทางอากาศ' ไปเรื่อยๆ.

Cr. https://www.posttoday.com/smart-life/718515



'หมอเจด'ยกผลวิจัย! ไม่อยากสมองเสื่อมต้องกินสิ่งนี้
 
วันที่ 20 มกราคม 2568  นพ.เจษฎ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลมหาราช นครราชสีมา ให้ความรู้ด้านสุขภาพ ผ่านเพจเฟซบุ๊ก "หมอเจด" โดยระบุถึง วิจัยเผย ! ไม่อยากสมองเสื่อมต้องกินสิ่งนี้

“สมองเสื่อม” เชื่อว่าใครๆ ก็ไม่อยากเป็น ไม่มีใครอยากตื่นขึ้นมาแล้วลืมว่ากุญแจรถวางไว้ตรงไหน หรือจำไม่ได้ว่าคนตรงหน้าคือใคร อันนี้น่าเศร้ามากนะ ซึ่งภาวะสมองเสื่อมไม่ใช่เรื่องไกลตัว และยิ่งเราอายุมากขึ้น โอกาสที่สมองจะทำงานช้าลงก็ยิ่งมีมากขึ้น แต่วันนี้มีงานผลวิจัยใหม่ที่น่าสนใจมาเล่าให้ฟังนะครับ เกี่ยวกับแมกนีเซียมและการป้องกันสมองเสื่อม ใครที่กังวลเรื่องสมองเสื่อมลองอ่านโพสต์นี้ดูนะครับ
 
1.มีงานวิจัยที่เพิ่งตีพิมพ์ในวารสาร European Journal of Nutrition บอกว่าถ้าเรากินแมกนีเซียมให้ได้เยอะๆ อย่าง 550 มิลลิกรัมต่อวัน อาจช่วยลดความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะสมองเสื่อมได้ในระยะยาวนะ เรื่องนี้เขาศึกษากันที่ประเทศอังกฤษ โดยดูข้อมูลจากคนกว่า 6,000 คน ที่อายุระหว่าง 40-73 ปี แล้วพบว่าคนที่กินแมกนีเซียมในปริมาณสูง จะมีสมองที่ดู "เด็กกว่า" เมื่อเทียบกับคนที่กินแค่ปริมาณแนะนำทั่วไป (ประมาณ 350 มิลลิกรัมต่อวัน) ยิ่งอายุมาก สมองก็ยิ่งเสื่อมช้าลง
2. เริ่มกินแมกนีเซียมตอนอายุน้อยดีกว่านะ
นักวิจัยเขาบอกว่า ถ้าเริ่มกินแมกนีเซียมเยอะๆ ตั้งแต่อายุก่อน 40 ปี จะช่วยป้องกันสมองแก่ตัวไวได้ พออายุเลย 55 ปี ไป สมองเราก็ยังทำงานได้ดีเหมือนเดิม ลองเพิ่มปริมาณอีกสัก 40% ก็อาจเห็นผลได้ดีขึ้น อยากบอกทุกคนนะครับว่าเริ่มตั้งแต่ตอนนี้เลย น่าจะง่ายกว่าไปรอแก้ไขทีหลังนะครับ
3. กินอะไรดีที่มีแมกนีเซียมเยอะๆ?
ถ้าจะเพิ่มแมกนีเซียมจากอาหารธรรมชาติ ลองดูอาหารเหล่านี้ได้เลย
•ผักใบเขียวเข้ม อย่างผักปวยเล้ง (spinach) แค่กิน 1 ถ้วยที่ต้มสุกก็ได้แมกนีเซียมเกือบครึ่งของที่ต้องการในวันแล้ว
•ผักกาดก้านแดง ก็ไม่แพ้กัน มีแมกนีเซียมสูงเหมือนกัน
•ถั่วต่างๆ เช่น ถั่วดำ ถั่วเขียว อัลมอนด์ และเมล็ดมะม่วงหิมพานต์ ก็อร่อยและมีแมกนีเซียมสูง
•ผลไม้และผักอีกนิด อย่างกล้วย อะโวคาโด และบรอกโคลี ก็มีแมกนีเซียมอยู่พอสมควร ง่ายๆ เลย ถ้ากินผักวันละ 5 ถ้วยแบบที่เขาแนะนำ ก็ได้แมกนีเซียมใกล้เคียงกับปริมาณที่วิจัย
4. อาหารเสริมแมกนีเซียมเลือกยังไงดี?
ถ้าใครไม่ชอบกินผักหรือถั่ว หรือมีอาการแพ้ เลือกเป็นอาหารเสริมก็ได้นะครับ แต่ต้องเลือกดีๆ นะ เพราะแมกนีเซียมมีหลายแบบมาก เช่น:
•แมกนีเซียมไกลซิเนต ช่วยเรื่องการนอนหลับและลดเครียด เหมาะกับคนทำงานหนัก
•แมกนีเซียมมาเลต ตัวนี้ช่วยให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่า มีแรง เพราะมันดีต่อการทำงานของไมโตคอนเดรีย
•แมกนีเซียมแอล-ทรีโอเนต ฟอร์มนี้เหมาะกับบำรุงสมองมาก ดูดซึมดีสุดๆ แต่อย่าเลือก แมกนีเซียมออกไซด์ เพราะดูดซึมไม่ดี แถมกินเยอะแล้วอาจทำให้ท้องเสียได้นะ
5. ต้องกินเยอะแค่ไหนถึงพอดี?

ถ้าเน้นดูแลสมองและอยากให้ยังทำงานได้ดี และชะลอความเสื่อม ปริมาณที่แนะนำคือ 550 มิลลิกรัมต่อวัน แต่ถ้ากินแล้วต้องเข้าห้องน้ำบ่อย หรือท้องเสียจนรู้สึกว่าแปลกๆ อาจจะเป็นเพราะกินเยอะไป ลองลดลงหน่อยก็ได้ และถ้าเลือกกินเป็นอาหารเสริม ก็เลือกที่เหมาะกับตัวเองนะครับ
การกินแมกนีเซียมเยอะๆ ช่วยให้สมองการทำงานของสมองนะครับ ถ้าจะเริ่มดูแลตัวเอง กินตั้งแต่อายุยังน้อยดีกว่าเนอะ ของดีๆ แบบนี้มีในผักบ้านเรานี่แหละ ลองกินดูแล้วมาแชร์กันนะว่าได้ผลยังไง ใครมีคำถามก็คอมเมนต์ไว้ได้เลยนะครับ

Cr. https://www.naewna.com/likesara/855162

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่