วันวาน 6

กระทู้สนทนา

.


             ในวันที่ฝนตกในวันที่พายุเข้า ทำให้ฉันอดนึกถึงวันวานเมื่อตอนยังเด็กไม่ได้ ฉันจำได้ว่าคราวนั้นมีพายุเข้า พายุทำความเสียหายให้กับบ้านหลายหลังคาเรือนมาก ที่สำคัญมันน่ากลัวเหลือเกิน

              ฝนตกแรงมาก ฟ้าร้องคำรามราวอสูรโกรธอยู่บนท้องฟ้า ฉันสุดจะหาคำเปรียบเทียบของเสียงฟ้าร้อง ฟังดี ๆ อย่างกับเสียงปืนใหญ่แตก มีลมกรรโชกแรง พายุจะรุนแรงระดับไหนถึงมีลูกเห็บตกลงมาได้ราวก้อนหิน ฉันจำภาพนั้นได้ดี ไม่มีวันลืม มันน่ากลัวและรุนแรงมาก

              ตอนนั้นถึงมันจะน่ากลัวแค่ไหน เมื่อเวลาผ่านไป เมื่อจิตใจของทุกคนกลับมาปกติ วันวานในวันนั้นก็เป็นเพียงเรื่องเล่าที่แสนธรรมดาในวันนี้

              บางคนเล่าด้วยเสียงหัวเราะและรอยยิ้ม บางคนที่ได้รับความเสียหายอาจจะเล่าทั้งเซ็งและเบื่อหน่ายหน่อย แต่มันก็กลายเป็นความทรงจำที่มีคุณค่า ไม่มีใครลืมได้ลงเลยสักนิด สำหรับเหตุการณ์พายุเข้าในวันนั้น เมื่อวันวานที่ฉันยังเด็ก

              ไม่ได้ให้จมปลักอยู่กับอดีต แค่เพียงนึกถึงมัน เสี้ยวหนึ่งของความสุขที่มันเคยเกิดขึ้นว่า ที่ผ่านมาเรามีความสุขกับวันวานมากแค่ไหน แค่นึกถึง ไม่ใช่จมปลัก

              แม้แต่ความทุกข์! บางคราวก็คู่ควรแก่การนึกถึงให้เตือนตัวเอง ไม่ได้ให้นึกถึงเรื่องราวของความทุกข์ใจ เพราะจะทำให้เราจมปลักลงไปอีก ทว่าหากความทุกข์ใดที่เวลาผ่านเลยไปแล้ว เมื่อมองย้อนกลับไปมันทำให้เรายิ้มได้ มันก็ควรค่าแก่การนึกถึง และ มันควรถูกยกให้เป็นเรื่องที่มีความสุขได้เช่นกัน

              เรื่องมีอยู่ว่า….

            หลังจากปิดเทอมบอสกับน้องบีมไม่ได้ไปกรุงเทพหาพ่อกับแม่อย่างที่คิดเอาไว้ มีเพียงพี่ปาวกับพี่แป้งและพี่บอลสามคนที่ไปกรุงเทพหาลุงกับป้า ยกเว้นพี่บอมอยู่บ้านกับตายายเหมือนพวกเธอ

              ตอนกลางคืนพวกเธอเล่นด้วยกันสามคนพี่น้อง มันค่อนข้างเหงานิดหน่อย ไม่เหมือนตอนอยู่ครบ แต่พอกลางวันมีเพื่อนให้วิ่งเล่นด้วย ก็คลายความเหงาลงบ้าง

              วัน ๆ หนึ่งในช่วงปิดเทอมเช่นนี้ พวกเธอสองคนพี่น้อง เธอกับน้องบีมเที่ยวไปเล่นกับสองฝาแฝดบ้าง เล่นที่บ้านย่าบ้าง และ พากันแอบไปบ้านจ๋อมบ้าง ส่วนพี่บอมก็ตะลอนไปเล่นกับเพื่อนวัยเดียวกันทุกวัน ไม่ค่อยมีใครอยู่บ้านเพราะเหงา ยายก็ไม่ว่าอะไร ปล่อยให้เล่นได้ตามสบาย

              ทุก ๆ วันก่อนออกไปเล่น ยายเพียงบอกว่าเวลาคนอื่นทานมื้อเที่ยงหรือมื้อเย็น ให้พากันกลับมาที่บ้านตนเอง หรือไม่ก็ไปทานข้าวที่บ้านย่า อย่าไปนั่งเฝ้าคนอื่นทานข้าว มันดูไม่ดี พวกเธอก็รับปากและทำตามเสมอ

              จนมาถึงวันนี้ แต่ว่าสำหรับวันนี้พวกเธอสามคนพี่น้อง ไม่มีใครไปเที่ยวเล่นกับเพื่อนเลยสักคน อากาศก็ร้อนอบอ้าวมาหลายวัน เธอกับน้องบีมขึงยางกับเสาหน้าบ้าน กระโดดเล่นกันอยู่สองคนตั้งแต่เช้า ส่วนยายนั่งทอผ้าซิ่นที่กี่ พี่บอมดูทีวีอยู่ในบ้าน ตาไปเลี้ยงวัวที่ทุ่งนา สาย ๆ ยายพรก็หาบขนมมาขาย

            “เย้! ยายพรแอวอ่อนมาแล้ว” เมื่อน้องบีมเห็นยายพรหาบตะกร้าขนมเดินเข้าซอยมาแต่ไกล ๆ จึงหยุดกระโดดยางร้องทักทายอย่างตื่นเต้นที่จะได้กินขนม ใครก็ตามที่เข้ามาขายขนมอะไรในซอยบ้านของเธอ ไม่เคยผิดหวัง! ได้ขายทุกคน

              “พุ่นน่ะ! ยายพรกะบ่ยายพรซือ ๆ ยังว่าแอวอ่อนนำอยู่ นึงเราได้ยินนึงเราก็ฮ่าย” ยายเอ็ดน้องบีมส่วนเธอก็หัวเราะเสียเลย เพราะยายพาเรียกน้องบีมจึงจำและเรียกตาม

              “เอ๋า… อี่ยายยังเอิ้นยายพรแอวอ่อน น้องบีมกะเอิ้นนำ เราชื่อยายพรแอวอ่อนบ่ยาย หาอี่ยาย!”
น้องบีมคาดคั้น ส่วนยายหัวเราะอึกอักอยู่คนเดียว

             “จะแมนมืงจำดีตายมืงน้อ ลูกบักผีบ้า” ยายบ่น พร้อมยกมือเขกมะเหงกให้น้องบีมทางไกล เพียงทำกับอากาศให้น้องบีมเท่านั้น

              “บ่แมน! อี่พ่อบ่ได้เป็นผีบ้า!” น้องบีมเถียงยาย คราวนี้ทำเอายายขำพรืดทันที น้ำหมากเกือบกระจายเลอะผ้าซิ่นที่กำลังทออยู่

              “เราชื่อยายพรซือ ๆ ตั้วบีม” บอสรีบตอบน้องสาวแทนยาย ก่อนที่ยายพรจะเดินมาถึงหน้าบ้าน แล้วน้องบีมเรียกว่ายายพรแอวอ่อน

             “บีม… บอส… มากินขนมยายพรมาแล้ว” ยายพรตะโกนเรียกมาแต่ไกล ๆ เดินหาบตะกร้าไม้ไผ่เดินส่ายสะโพกมุ่งหน้ามายังบ้ายของเธอ นี่เป็นที่มาของฉายายายพรว่า ‘ยายพรแอวอ่อน’

              “แมนหยังว่ะ ยายหลานพากันหัวอีหยังกัน ว่าแมนไปกรุงเทพหาพ่อกับแม่ บ่ได้ไปตั้วหนิ ยายพรแฮงย่านบ่มีคนซื้อขนมนำอยู่” ยายพูดทั้งเดินหาบตะกร้าใส่ไม้คานเดินดุ่ม ๆ เข้ามานั่งบนแคร่หน้าบ้าน วางตะกร้าขนมไว้ที่พื้นดิน

              “บอสบ่ได้ไปจ้า มีตะเอื้อยปาวกับเอื้อยแป้งกับอ้ายบอลไป” บอสตอบพร้อมเดินมาส่องดูขนม

              “น้องบีมกะบ่ไปยายพร อ้ายบอมกะบ่อไป” น้องบีมแย่งเธอตอบ เรียกรอยยิ้มของยายพรได้เป็นอย่างดี ลูกค้าขาประจำ

              “อี่น้องบีมคือบ่ไปอยู่นำอี่แม่ บ่อยากไปเที่ยวกรุงเทพบ่” ยายพรพูดปนยิ้มกับน้องบีมด้วยความเอ็นดู มาครั้งไหน ๆ ไม่มีเลยที่จะไม่ได้ขายขนมให้

              “บอกให้มันไปมันกะบ่พากันไป อดไปเบิดซุคนแนสั่นหรอก กูจังบ่อยากไล่หู” ยายวางมือจากการทอผ้า หันมาคุยกับยายพรอย่างคนคุ้นเคยกัน

              “มันดีแล้วยายเด็กน้อยบ่ไปเบิดซุคน เจ้ากับอี่พ่อใหญ่จังบ่เงียบเหงา หลานข่อยมีผู้เดียวอี่น้องมันนี่ ปิดเทอมแม่มาฮับไปกรุงเทพมื้อก่อน ข่อยนอนคิดฮอดอยู่เด้ยาย อย่าว่าเด้อ! หลานเจ้าหลาย ๆ คนไปเบิดซุคนคือสิเงียบคัก” ยายพรตอบ “มาฮ้อนเอ้าเป็นตะฝนตกแถะยาย มื้อคืนเขาแฮงข่าวว่าพายุสิเข้าอยู่”

              “ให้มันตกมาแนพร อุบาดฮ้อนโพดโพ!” ยายกับยายพรนั่งคุยกัน ส่วนเธอกับน้องบีม กำลังส่องเลือกขนมในตะกร้าไม้ไผ่ของยายพรอย่างรู้งาน “อ้ายไปไส บอม! มืงกินบ่ขนมนั่น มาบ่ออกมาเลือกเอา” ยายหันหน้าตะโกนเข้าไปในบ้านเรียกพี่บอมออกมาซื้อขนม

              “ยายบอสเอาข้าวปุ้นเด้อชุดนึง” บอสชูถุงขนมจีนน้ำยาให้ยายดู

              “น้องบีมเอาขนมหมกสองอัน” น้องบีมก็ชูขนมห่อหมกให้ยายดูเช่นกัน พี่บอมเดินออกมาจากในบ้าน เดินมาส่องดูตะกร้าขนมของยายพร และก็เลือกเอาน้ำเต้าหู้กับปลาท่องโก๋ไป

              “น้ำขนมแซ่บเด้ยาย ข่อยเฮ็ดน้ำป่ามาขาย” ยายพรถือโอกาสอวดฝีมือในการทำน้ำยาขนมจีนเสียเลย

              “เอาข้าวปุ้นไว้ให้ยายนำถุงนึงสั่น ยายกะอยากกิน ปิดเทอมกะเปลืองเงิน นึกว่าปิดเทอมแล้วสิบ่กินขนมยังกินอยู่” ยายบ่นให้พวกเธอแต่มือก็ควักเงินในกระเป๋าเสื้อจ่ายยายพรไป

              “ให้เขากินโลดยาย พ่อแม่เขาหาเงินเก่งอยู่ ส่งมาให้ซุเดือนบ่ขาด” ยายพรพูดเพื่อรักษาลูกค้าประจำเอาไว้ “สั่นข่อยไปหน้าก่อนเด้อยาย มันสวยแล้ว” เมื่อขายของให้พวกเธอเรียบร้อยยายพรก็ขอตัวไปขายให้บ้านอื่น ส่วนเธอกับน้องบีมขึ้นไปนั่งกินขนมที่ซื้อกับยายพรบนแคร่

             “น้องบีมกินข้าวปุ้นนำเอื้อยบ่” บอสเอ่ยชวนให้น้องสาวกินด้วย ไม่หวง เพราะบอสมีแผนต่างหาก “ให้เอื้อยชิมขนมหมกนำ คนละคำพอ!”

              “ได้! น้องบีมซดคำนึง”

              “บีมให้ขนมหมกเอื้อยกินอันหนึง เอื้อยให้น้องบีมกินข้าวปุ้นนำหลาย ๆ คำเอาบ่! แซ่บเด้ข้าวปุ้น” บอสทำเป็นตักเส้นขนมจีนซด แล้วซู้ดปากทำเป็นอร่อยมาก ๆ ให้น้องบีมเห็น “เอาบ้อ!” บอสทำเสียงสูง

              น้องบีมทำท่าทางครุ่นคิด สุดท้ายก็ยื่นขนมหมกให้เธอมาหนึ่งห่อ แต่เธอก็ทำตามสัญญาให้น้องบีมกินขนมจีนน้ำยาด้วย พวกเธอนั่งคุยกันและกินขนมจีนน้ำยาด้วยกันอยู่บนแคร่หน้าบ้าน

              “แมนหยังล่อกินขนมน้องบ่?! ยายคือให้ซื้อคนละอันอยู่” ยายหันหน้ามาถาม ดูพวกเธอกินขนม

              “บ่ได้ล่อ! น้องบีมมันแลกกับบอสเอง” บอสแก้ตัวแบบลอยหน้าลอยตา

              “เปลืองตะเงินยาย มื้อใดกะซื้อตะขนม ปิดเทอมแล้วยังกินขนมอยู่” ยายมิวายบ่นให้อีก ทว่าคนที่ต่อปากต่อคำกับยายไม่หยุดคือน้องบีม “พ่อกดขายลูกชิ้นมาห้ามขอยายซื้อเด้อ กินขนมยายพรล่ะ”

              “บ่! น้องบีมซื้อคือเก่า อันนึงกะขนมยายพร อันนึงกะลูกชิ้นพ่อกดเด้หั่น บ่คือกัน” น้องบีมเถียงยาย

              “เป็นลูกเศรษฐีบ่ จังสิซื้อกินซุอย่างปานนั่น” ยายเถียงน้องบีม แต่เป็นการเถียงปนรอยยิ้ม ไม่ได้ดุจริงจัง เธอก็หัวเราะไปกับคำพูดของยาย จากนั้นยายก็เลิกสนใจหันไปทอผ้าต่อ

              ทานขนมจีนน้ำยาหมดแล้ว พวกเธอสองคนพี่น้องก็เล่นกระโดดยางกันต่อ พอเบื่อก็เล่นตุ๊กตา เล่นขายของกันอยู่แบบนั้น วันนี้เธอไม่ไปเล่นที่บ้านกับสองฝาแฝด ไม่ไปบ้านหาย่าด้วย พอเธอไม่ไปน้องบีมก็ไม่ไปเช่นกัน ส่วนพี่บอมก็ไม่ไปเล่นกับเพื่อน เปิดทีวีดูในบ้านทั้งวัน ยายก็ไม่บ่นอะไร

              พอพี่ปาวพี่แป้งไม่อยู่ คนรับหน้าที่ทำงานบ้านก็เป็นเธอ ทว่าทำเท่าที่ทำได้ ช่วยยายเป็นลูกมือให้ยาย จึงไม่ค่อยได้ไปเล่นเท่าที่ควรจะเป็นเหมือนตอนช่วงเปิดเทอม

             “บอสเที่ยงแล้วไปซื้อตำบักหุ่งเฮือนยายกันมากินข้าวไป ให้ไปเร็ว ๆ ฝนตั้งเค้ามาแล้วนั่นมันสิบ่ได้กินข้าวเที่ยง ฟ้ามืดมาแล้วแหล่ปื้อ ๆ มาแล้วพุ่น” สิ้นคำพูดของยายลมก็พัดมาอย่างแรง เป็นลมฝนเหมือนพายุจะเข้า เที่ยงวันยายเลิกทอผ้า สั่งให้พวกเธอสองคนเลิกกระโดดยางเพื่อทานข้าวเที่ยง

              บอสมองไปยังท้องฟ้าไกล ๆ มองไปทางชายทุ่ง เห็นฟ้ามืดมาน่ากลัวมาก เที่ยงนี้บ่ายนี้ท่าจะฝนตกแน่ ๆ เหมือนที่ยายพรบอกเอาไว้ว่าพายุจะเข้าวันนี้

              “เอาเงินมายาย บอสสิฟ้าวไปซื้อ”

              “บีมไปเก็บบักเขือเปาะอยู่ข้างเฮือนมาไป เบิ่งหนามมันนำแนล่ะเก็บบักเขือกะดาย ยายสิหาข้าวเที่ยงให้กิน บอมเอ้ยปิดโทรทัศน์แนลูก หนีออกมาหากินข้าวเที่ยง เบิ่งฝนมะลืดทืดเท่ามาล่ะนั่น เปิดคักเปิดแนแต่มื้อเช้าหนิ ปิดมันแนโทรทัศน์นั่น” ยายทั้งควักเงินให้เธอทั้งบ่นไปเรื่อย ขณะนี้ก็มีลมพัดมาไม่ขาดระยะ

              ยายควักเงินให้สิบบาท แล้วเธอก็รีบปั่นจักรยานไปซื้อทันที ส่วนน้องบีมเดินไปเก็บมะเขือให้ยายตามคำสั่ง พี่บอมเดินออกมาจากในบ้าน ไม่นานเธอก็ซื้อส้มตำเสร็จปั่นจักรยานกลับมาบ้าน ขณะนี้มีเพียงลมพัดเท่านั้น ฝนยังไม่ตก

              ยายนำเสื่อและถุงพลาสติกใบใหญ่มาคลุมกี่ทอผ้าเอาไว้ เวลาฝนตกผ้าซิ่นที่ทอจะได้ไม่เปียกเสียหายเวลาโดนฝนสาดเข้ามา

             ยายพาพวกเธอนั่งทานข้าวที่แคร่หน้าบ้านรับลมเย็น ๆ ลมมาเป็นช่วง ๆ ท้องฟ้าก็ยังมืดอึมครึม บรรยากาศอึมครึมสลัว ๆ อย่างกับตอนนี้เป็นช่วงหกโมงเย็นไม่มีผิด ทั้งที่แค่พึ่งจะเที่ยงเอง

              “พายุเข้าเด้หนิยาย มื้อคืนบอมเบิ่งข่าวพยากรณ์อากาศอยู่ เบิ่งขี้ฟ้าทางนาเฮา มืดอื้อคื้ออยู่” พี่บอมท้วง บอสมองท้องฟ้าไกล ๆ มืดน่ากลัวมาก ท้องฟ้าทางด้านชายทุ่ง ฝั่งทางทุ่งนาของบอสมันมืดดำทมิฬจนน่ากลัวในความรู้สึก “อี่ตาเราสิอยู่จังใดยาย ถ้าฝนตกแฮงหนิ” พี่บอมพูดด้วยความเป็นห่วงตา ตานำวัวไปเลี้ยงที่นาเช่นทุกวัน พอพี่ชายพูดบอสก็นึกห่วงตาขึ้นมาอยู่เหมือนกัน ท้องฟ้ามันก่อตัวจับกันเป็นก้อนมืดมาน่ากลัวมาก

              “ยายพรกะว่าพายุสิเข้ามื้อเช้าหนิ” บอสพูดแทรก

              “นั่นล่ะให้ฟ้าวกิน ฟ้าวเมี่ยนของเข้าไปในเฮือน ฝนตกอี่ตาเรากะพางัวอยู่เถียงนานั่นล่ะ เถียงเฮาดีกะด้อ ฝนตกลมมากะบ่เปียกบ่พัง” ยายตอบ จากนั้นพวกเธอต่างก็ทานข้าวมื้อเที่ยงกันไป รีบทานรีบอิ่มรีบเก็บสำรับ เพราะฝนกำลังมา

              ขณะนี้ก็มีลมพัดมาเป็นระยะ ๆ ฝนก็ยังไม่ตกสักที ลมพัดมาแบบนี้ก็ทำให้อากาศเย็นสบายไม่น้อย ตามด้วยสายฟ้าแลบเป็นเส้นยาว และ เสียงฟ้าร้องกระหึ่มมาเป็นระยะเช่นกัน มันร้องน่ากลัวมาก! เธอไม่เคยชอบเสียงฟ้าร้อง มันน่ากลัวที่สุด! ทว่ามียายกับพี่ชายน้องสาวอยู่ด้วยทั้งคนเธอจะกลัวอะไร

              ทานข้าวเสร็จพวกเธอก็ช่วยกันยกสำรับไปเก็บ เก็บกวาดแคร่ให้สะอาด แล้วก็ช่วยยายเก็บข้าวของที่อยู่ข้างนอกเข้าไปไว้ในบ้านให้หมดสิ่งไหนที่จำเป็น เก็บเพียงสิ่งของที่จำเป็นเท่านั้นก่อนที่ฝนจะมา
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่