เราทำงานหน่วยงานรัฐ เมื่อช่วงประเมินผลการทำงานที่ผ่านมา เราได้รับการประเมินจากหัวหน้าด้วยคะแนนที่ดีมาก คือได้คะแนน 90 จากเต็ม 100 คะแนน ตอนนั้นเรารู้สึกดีใจมาก ทำงานมาไม่เคยได้คะแนนเยอะขนาดนี้ คิดว่าหัวหน้าให้เพราะเห็นความทุ่มเทตั้งใจทำงานของเรา ซึ่งเราก็คิดว่าตัวเองสมควรได้รับ เพราะเราทุ่มเทตั้งใจมากจริงๆ
แต่เมื่อไม่นานนี้ หัวหน้าก็ได้แอบบอกอะไรบางอย่างกับเรา ซึ่งทำให้เรารู้สึกช็อค เขาบอกเราว่า เขาประเมินพนักงานทุกคนโดยให้คะแนน 90+ และแผนกเราก็เป็นแผนกเดียวในฝ่าย.....ที่พนักงานทุกคนได้คะแนนสูงขนาดนี้ เรารู้สึกแย่มาก ที่ผ่านมาเราคิดไปเองสินะว่าตัวเองได้คะแนนสูงเพราะมีศักยภาพ แต่ตอนนี้ได้รู้แล้วว่าสิ่งที่เราทำไปไม่ได้มีค่าอะไรสำหรับหัวหน้าเลย เราอาจได้คะแนนน้อยกว่าคนอื่นๆด้วย เพราะเราได้ 90 พอดี อีกอย่างถึงพนักงานในแผนกจะมีวุฒิการศึกษาเท่ากัน แต่ปริมาณงาน ความยากง่ายของงาน และศักยภาพของแต่ละคนก็ไม่เท่ากัน หัวหน้าคิดว่าตัวเองกระจายงานให้ลูกน้องเท่ากัน แต่จริงๆมันไม่มีทางเท่ากัน มีทั้งคนทำงานหนัก คนทำงานสบาย คนขยัน คนเกียจคร้าน คนที่มีความรู้ในงานมาก คนที่ไม่ค่อยรู้อะไรแล้วเป็นภาระคนอื่น คนที่หัวหน้าจุกจิกใช้งานมาก คนที่หัวหน้าไม่ค่อยรบกวน แต่มาได้คะแนนประเมินในระดับเท่าๆกัน มันถูกต้องเหรอ ยุติธรรมเหรอ หัวหน้าคิดอะไรอยู่ เรายอมรับไม่ได้ (แต่เราดีใจที่ได้รู้เรื่องนี้ ไม่งั้นคงโง่ไปอีกนาน)
บางคนอาจสงสัยว่าทำไมหัวหน้าถึงบอกเรื่องแบบนี้ให้เรารู้ เพราะเป็นความลับ แต่จริงๆความลับไม่มีในโลก วันนั้นหัวหน้าเรียกเราเข้าไปคุยงานในห้องเขา แล้วเขาก็ระบายกึ่งขอความเห็นเรา เรื่องพนักงานคนหนึ่งที่ทำงานบกพร่อง ปกติหัวหน้าบ่นพนักงานคนนี้บ่อยมาก เพราะทำตัวเป็นภาระหัวหน้าและเพื่อนร่วมงาน (เราไม่ค่อยโอเค เพราะหลายครั้งเขาบ่นพนักงานคนนี้ตอนที่กำลังประชุมกัน และก็บ่นนาน ทำให้คนอื่นๆต้องเสียเวลาทนฟัง) หัวหน้าบอกว่าไม่รู้จะจัดการยังไง เราบอกว่าถ้าเป็นหน่วยงานเอกชนคงไม่เก็บคนแบบนี้ไว้ หัวหน้าก็บอกว่าเขาทำใจปลดหรือย้ายลูกน้องไม่ได้ เพราะอยู่ด้วยกันมานาน ถ้าย้ายเขาก็ไม่รู้จะย้ายไปไหน เพราะไม่รู้ว่ามีความสามารถอะไร อายุก็มากแล้ว และนี่เป็นหน่วยงานรัฐ อยู่กันแบบประคับประคอง ไม่ได้ทำผิดร้ายแรงจริงๆ ก็ไม่อยากใจร้ายเลิกจ้าง เราก็บอกว่าต้องประเมินพนักงานตามที่เขาเป็นจริงๆ เพราะคะแนนประเมินเป็นตัวชี้วัดว่าพนักงานเป็นยังไง (ถ้าคะแนนไม่ดี ไม่พัฒนาตัวเอง หน่วยงานก็ไม่เก็บไว้นาน)
ทีนี้หัวหน้าก็คงเห็นว่าเราเป็น HR ของห้อง (ไม่ใช่งานหลักของเรา) และคงคิดว่าเราเป็นคนเงียบๆ ไว้ใจได้ บอกเรื่องคะแนนประเมินให้เรารู้ก็คงไม่เสียหาย คิดว่าเราไม่น่าจะเอาไปเล่าให้ใครฟังต่อ เขาก็เลยบอกเรา (เขาคิดผิด แต่เราดีใจที่ได้รู้) แต่สุดท้ายไม่ว่าเราจะให้ความเห็นอะไรไปก็ไม่เป็นผล ยังไงหัวหน้าก็จะทำตามแนวคิดตัวเอง เพราะเขาก็รู้อยู่แก่ใจว่าอะไรควรหรือไม่ควรทำ แต่เขาใจอ่อนเกินกว่าจะทำได้ ไม่งั้นคะแนนประเมินพนักงานคงไม่ออกมาแบบนี้ และทุกวันนี้เขาก็ทำได้แค่บ่นพนักงานคนนั้นไปวันๆและก็ต้องเอางานของพนักงานคนนั้นมาทำเอง เป็นแบบนี้มาเป็นปี ถ้าคิดจะจัดการจริงๆคงไม่เป็นแบบนี้
ไหนๆก็พูดเรื่องประเมินแล้ว เราจะอธิบายว่าเราทุ่มเทตั้งใจทำงานยังไง งานเราหนักแค่ไหน (เราจะไม่พูดเรื่องเนื้องาน เพราะไม่สะดวก) ทำไมถึงคิดว่าตัวเองควรได้รับการประเมินด้วยคะแนนที่ดี
1. เราทุ่มเทตั้งใจทำงานมากจริงๆ พนักงาน "เกือบ" ทุกคนในห้องได้รับมอบหมายงานในปริมาณมากและไม่สามารถทำเสร็จภายในเวลางาน (ส่วนหนึ่งเป็นเพราะงานที่ทำนั้นต้องถูกแก้ไขหลายครั้ง บางครั้งแก้เพราะหัวหน้าสื่อสารความต้องการไม่ชัดเจน หรือนึกอะไรออก อยากแก้ก็แก้ กลายเป็นทำงานวนไปมา เสียเวลามาก) ศักยภาพของพนักงานก็มีไม่เท่ากัน บางคนไม่แคร์ถ้าทำงานเสร็จไม่ทันกำหนด ถึงเวลาเลิกงานก็กลับ วันหยุดก็พักเต็มที่ (ถือว่าเป็นหน่วยงานรัฐ ไม่มีใครเอาโทษ) บางคนก็ยอมสละเวลาส่วนตัว ทำงานล่วงเวลาเพื่อให้งานเสร็จทันกำหนด และงานก็มาใหม่เรื่อยๆ ต้องรีบเคลียร์ ซึ่งเราอยู่ในกลุ่มหลัง
2. หลายครั้งเราต้องทำงานแบบเร่งด่วน กระชั้นชิด (เช่น หัวหน้าจะไปเสนองานผู้บริหารพรุ่งนี้เช้า แต่มาบอกเราเตรียมข้อมูลตอนเย็นวันนี้) จนเราอดหลับอดนอนหลายครั้ง เคยลาป่วยหลายครั้งเพราะเพลีย ปวดหัว หน้ามืด ท้องไส้ปั่นป่วน จากการนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ (บางครั้งเราก็ไม่ได้ป่วยจริง แต่ให้เหตุผลเดิมๆ เพื่อจะสื่อให้หัวหน้ารู้ทางอ้อมว่าเราทำงานหนักเกินไป พักผ่อนน้อยเกินไป แต่สุดท้ายก็รู้ว่าหัวหน้าไม่แคร์ จะลาก็ลาไป และบางครั้งเราก็ลาเพื่อจะเคลียร์งานที่บ้านแบบสงบๆ เพราะถ้าเข้าออฟฟิศจะโดนหัวหน้าเรียกใช้โน่นนี่จนอาจไม่ได้เคลียร์งานตามที่ตั้งใจไว้) เราเคยบอกหัวหน้าว่าเรานอนดึกทุกวัน บางวันนอนเกือบเช้า หัวหน้ายังจะถามอีกว่าทำไมนอนดึก (เขาคิดไม่ได้สินะ) และเราแทบไม่มีเวลาไปทำอะไรอย่างอื่นเลย เช่น เรียนต่อ หรือทำงานพิเศษ ในขณะที่บางคนว่างจนสามารถเอางานพิเศษมาทำในเวลางานปกติได้
3. เราโดนหัวหน้ารบกวนเวลานอกบ่อยมาก ต้องทำงานเกินเวลาปกติ/ทำงานในวันหยุดและวันลา โดยไม่เคยได้รับค่าโอที เงินเดือนเราก็ไม่เยอะ แค่สองหมื่น บางวันเราต้องกลับบ้านมืดค่ำและเสียค่าเดินทางมากกว่าเลิกงานตามเวลาปกติ (ซึ่งหัวหน้าก็รู้ แต่ไม่แคร์) จะบ่นว่าตัวเองงานเยอะ ทำไม่ทัน ก็บ่นไม่ได้ เพราะมีพนักงานบ่นแล้วหัวหน้าไม่เข้าใจ เขาไม่เคยคิดว่าลูกน้องมีงานเยอะ เพราะเขามองที่ผลงาน ไม่ได้มองที่การทำงาน และหัวหน้าก็เป็นคนนิสัยบ้างาน เขาทำงานหนักมานาน และมาเช้ากลับค่ำจนเป็นเรื่องปกติของเขา เขาจึงมั่นใจว่าลูกน้องไม่ได้มีงานเยอะ และถ้าใครบ่นมากๆ เขาก็จะพูดท้าให้ลูกน้องมาเป็นหัวหน้าซะเอง เขาอยากเป็นลูกน้อง ง่ายกว่าเป็นหัวหน้าเยอะ (เราก็แอบคิดว่าถ้าเขาจะพูดแบบนี้ แล้วมาเป็นหัวหน้าแต่แรกทำไม)
4. งานที่เราทำ เราถือว่าเป็นงานสำคัญของแผนก งานในแผนกเราแบ่งเป็น 2 ส่วนใหญ่ๆ เช่น งาน A กับงาน B เราเป็นคนที่ต้องรับผิดชอบงาน B แทบทั้งหมด กับพนักงานอีกคน แต่พนักงานอีกคนรับผิดชอบน้อยกว่าเรา (เพราะงานหลักของเขาคืองาน A เขารับงาน B แค่บางส่วน) ส่วนงาน A มีพนักงานรับผิดชอบเกือบสิบคน และเราเป็นเหมือนผู้บุกเบิกในงาน B เพราะแต่เดิมแผนกนี้ทำแต่งาน A ส่วนงาน B รับมาจากแผนกอื่นทีหลัง เพราะหน่วยงานมีการปรับโครงสร้าง และสภาพงาน B ที่รับมาคือเละตุ้มเป๊ะ เละมาหลายปี ต้องมาปรับเปลี่ยนแก้ไขกันยกใหญ่ หัวหน้าก็ยังไม่ค่อยมีความรู้ในงานนี้ (แต่เขาก็รู้เยอะกว่าเรา เพราะบางอย่างมันเชื่อมโยงกับงาน A ที่เขารู้ดีอยู่แล้ว ส่วนเราเป็นเหมือนเด็กใหม่ เพิ่งย้ายมาจากฝ่ายอื่น ไม่มีความรู้อะไรเลยเกี่ยวกับงานในแผนกนี้ ย้ายมาปุ๊บก็รับศึกปั๊บ เหมือนมาเป็นช่างรื้อถอนก่อสร้าง)
5. จากข้อบน งานที่เราทำอยู่ มีบางส่วนที่หัวหน้าแบ่งให้พนักงานคนอื่นทำ แต่ในทางปฏิบัติจริง ปรากฎว่าเราต้องเป็นลีด เป็นคนมอนิเตอร์งานทั้งหมดในภาพรวม ต้องรู้ว่าพนักงานอีกคนทำงานอะไรบ้าง (แล้วอีกคนก็ไม่ค่อยบอกให้เรารู้ด้วย ถ้าเราไม่ถามหรือกระตุ้น ซึ่งเราเหนื่อยมาก) เราต้องเป็นคนทำไฟล์สรุปอัพเดทงานโดยรวมกับหัวหน้าทุกสัปดาห์ (แล้วก็ต้องแก้ไขไฟล์ทุกครั้งที่อัพเดท) และพนักงานที่ทำงานร่วมกับเราเป็นคนที่ไม่ค่อยรอบคอบ ทำงานพลาดบ่อย และขี้ลืม ถ้าเทียบกับเราที่หัวหน้ามองว่าละเอียดเรียบร้อยกว่า กลายเป็นว่าเวลามีงาน หัวหน้าจะส่งมาให้เราหมด แล้วเราค่อยไปกระจายงานให้อีกคนต่อ แล้วเวลาหัวหน้าสงสัยอะไรก็มาถามเราก่อน (ต่อให้เป็นเรื่องงานของอีกคน) เวลาอีกคนทำงานพลาดเราก็โดนบ่นไปด้วย เราสามารถทำงานแทนอีกคนได้ ในขณะที่อีกคนไม่สามารถทำงานแทนเราได้ วันไหนเราลางาน เราก็ยังต้องคอยสแตนบายรับโทรศัพท์/ตอบไลน์ ตอนหลังเราก็ต้องมาทำคู่มือ และทำเองคนเดียวโดยที่อีกคนไม่ได้ช่วย (ไม่รู้ว่าเขาอ่านคู่มือเราไหม) เรารู้สึกว่าการแบ่งงานแบบนี้ไม่ได้ช่วยให้เราสบายขึ้นเลย และไม่แฟร์กับเราด้วย
6. เราเป็นคนที่ทำงานจุกจิกมากกว่าใครๆในห้อง เพราะนอกจากภาระงานหลักของเราที่ทำแทบไม่ทันแล้ว หัวหน้ายังมอบหมายงานยิบย่อยที่ไม่เกี่ยวกับงานหลักให้เราทำ เช่น งาน HR ของห้อง งานพัสดุ/ครุภัณฑ์ของห้อง การจดรายงานประชุม (นอกจากประชุมเกี่ยวกับงานเราเองแล้ว ยังมีประชุมของแผนกด้วย เดือนนึงเราต้องทำ 2-3 รายงาน ขนาดเราลางานยังโดนหัวหน้าใช้ให้เข้าประชุมและจดรายงาน) ฯลฯ งานอะไรที่หัวหน้าไม่รู้จะใช้ใครก็มาลงที่เรา เหมือนเราเป็นเลขาหน้าห้อง ในขณะที่คนอื่นๆทำแต่ภาระงานหลักของเขา
สรุปแล้วคือ เรื่องการประเมินของหัวหน้าทำให้เรารู้สึกไม่ดีเลย ทำให้เรารู้สึกไม่อยากทุ่มเทตั้งใจทำงานอีกต่อไป (แต่งานมันก็เยอะเหลือเกิน ไม่ทุ่มเทยังไงไหว) และทำให้เราสงสัยว่าตัวเองควรจะทำงานที่นี่ต่อไปหรือไม่ ไม่รู้จะปรับใจปรับความคิดยังไง เราอยากทำงานในหน่วยงานนี้ แต่ไม่ใช่ทำงานในลักษณะที่โดนเอารัดเอาเปรียบแบบนี้ ไม่ใช่ทำงานหนักเหมือนฆ่าตัวตายทางอ้อมแบบนี้ ไม่ใช่ทำงานตามอารมณ์หัวหน้าแบบนี้ ไม่ใช่ทำงานดีแล้วได้รับการประเมินคะแนนเท่าๆกับคนที่ทำงานไม่ดีแบบนี้ (เราไม่คาดหวังว่าจะได้รับการโปรโมทให้เป็นหัวหน้าหรืออะไร เราไม่อยากเป็น แต่เราอยากทำงานแล้วได้รับการตอบแทนที่คุ้มค่า บวกกับมีชีวิตส่วนตัวที่ได้ทำสิ่งต่างๆมากกว่าการทำงานเพียงอย่างเดียว)
ไม่อยากจะว่าเลยว่านี่เป็นจุดอ่อนที่สำคัญมากของหน่วยงานรัฐ พนักงานไม่ได้ทำผิดร้ายแรงก็ไม่สามารถเลิกจ้างได้ และการไม่ตั้งใจทำงาน/ทำงานพลาดบ่อยไม่ถือเป็นความผิดร้ายแรง (เรามาทำงานกัน ไม่ได้มาจัดปาร์ตี้กัน) คนที่ซวยก็คือพนักงานที่มีศักยภาพ เพราะต้องรับงานหนักกว่าพนักงานที่ด้อยศักยภาพ และต้องทำงานแทนคนด้อยศักยภาพด้วย (คนทำงานไม่ดี หัวหน้าก็ไม่อยากใช้งาน เพราะใช้แล้วเหนื่อย คนทำงานดีก็ใช้ไม่หยุด) ฝากถึงคนที่เป็นหัวหน้า หรือกำลังจะเป็นด้วยว่า อย่าทำแบบหัวหน้าเรา ไม่งั้นระวังจะสูญเสียลูกน้องที่มีศักยภาพไป
รู้สึกช็อคกับการประเมินผลปฏิบัติงานของหัวหน้า
แต่เมื่อไม่นานนี้ หัวหน้าก็ได้แอบบอกอะไรบางอย่างกับเรา ซึ่งทำให้เรารู้สึกช็อค เขาบอกเราว่า เขาประเมินพนักงานทุกคนโดยให้คะแนน 90+ และแผนกเราก็เป็นแผนกเดียวในฝ่าย.....ที่พนักงานทุกคนได้คะแนนสูงขนาดนี้ เรารู้สึกแย่มาก ที่ผ่านมาเราคิดไปเองสินะว่าตัวเองได้คะแนนสูงเพราะมีศักยภาพ แต่ตอนนี้ได้รู้แล้วว่าสิ่งที่เราทำไปไม่ได้มีค่าอะไรสำหรับหัวหน้าเลย เราอาจได้คะแนนน้อยกว่าคนอื่นๆด้วย เพราะเราได้ 90 พอดี อีกอย่างถึงพนักงานในแผนกจะมีวุฒิการศึกษาเท่ากัน แต่ปริมาณงาน ความยากง่ายของงาน และศักยภาพของแต่ละคนก็ไม่เท่ากัน หัวหน้าคิดว่าตัวเองกระจายงานให้ลูกน้องเท่ากัน แต่จริงๆมันไม่มีทางเท่ากัน มีทั้งคนทำงานหนัก คนทำงานสบาย คนขยัน คนเกียจคร้าน คนที่มีความรู้ในงานมาก คนที่ไม่ค่อยรู้อะไรแล้วเป็นภาระคนอื่น คนที่หัวหน้าจุกจิกใช้งานมาก คนที่หัวหน้าไม่ค่อยรบกวน แต่มาได้คะแนนประเมินในระดับเท่าๆกัน มันถูกต้องเหรอ ยุติธรรมเหรอ หัวหน้าคิดอะไรอยู่ เรายอมรับไม่ได้ (แต่เราดีใจที่ได้รู้เรื่องนี้ ไม่งั้นคงโง่ไปอีกนาน)
บางคนอาจสงสัยว่าทำไมหัวหน้าถึงบอกเรื่องแบบนี้ให้เรารู้ เพราะเป็นความลับ แต่จริงๆความลับไม่มีในโลก วันนั้นหัวหน้าเรียกเราเข้าไปคุยงานในห้องเขา แล้วเขาก็ระบายกึ่งขอความเห็นเรา เรื่องพนักงานคนหนึ่งที่ทำงานบกพร่อง ปกติหัวหน้าบ่นพนักงานคนนี้บ่อยมาก เพราะทำตัวเป็นภาระหัวหน้าและเพื่อนร่วมงาน (เราไม่ค่อยโอเค เพราะหลายครั้งเขาบ่นพนักงานคนนี้ตอนที่กำลังประชุมกัน และก็บ่นนาน ทำให้คนอื่นๆต้องเสียเวลาทนฟัง) หัวหน้าบอกว่าไม่รู้จะจัดการยังไง เราบอกว่าถ้าเป็นหน่วยงานเอกชนคงไม่เก็บคนแบบนี้ไว้ หัวหน้าก็บอกว่าเขาทำใจปลดหรือย้ายลูกน้องไม่ได้ เพราะอยู่ด้วยกันมานาน ถ้าย้ายเขาก็ไม่รู้จะย้ายไปไหน เพราะไม่รู้ว่ามีความสามารถอะไร อายุก็มากแล้ว และนี่เป็นหน่วยงานรัฐ อยู่กันแบบประคับประคอง ไม่ได้ทำผิดร้ายแรงจริงๆ ก็ไม่อยากใจร้ายเลิกจ้าง เราก็บอกว่าต้องประเมินพนักงานตามที่เขาเป็นจริงๆ เพราะคะแนนประเมินเป็นตัวชี้วัดว่าพนักงานเป็นยังไง (ถ้าคะแนนไม่ดี ไม่พัฒนาตัวเอง หน่วยงานก็ไม่เก็บไว้นาน)
ทีนี้หัวหน้าก็คงเห็นว่าเราเป็น HR ของห้อง (ไม่ใช่งานหลักของเรา) และคงคิดว่าเราเป็นคนเงียบๆ ไว้ใจได้ บอกเรื่องคะแนนประเมินให้เรารู้ก็คงไม่เสียหาย คิดว่าเราไม่น่าจะเอาไปเล่าให้ใครฟังต่อ เขาก็เลยบอกเรา (เขาคิดผิด แต่เราดีใจที่ได้รู้) แต่สุดท้ายไม่ว่าเราจะให้ความเห็นอะไรไปก็ไม่เป็นผล ยังไงหัวหน้าก็จะทำตามแนวคิดตัวเอง เพราะเขาก็รู้อยู่แก่ใจว่าอะไรควรหรือไม่ควรทำ แต่เขาใจอ่อนเกินกว่าจะทำได้ ไม่งั้นคะแนนประเมินพนักงานคงไม่ออกมาแบบนี้ และทุกวันนี้เขาก็ทำได้แค่บ่นพนักงานคนนั้นไปวันๆและก็ต้องเอางานของพนักงานคนนั้นมาทำเอง เป็นแบบนี้มาเป็นปี ถ้าคิดจะจัดการจริงๆคงไม่เป็นแบบนี้
ไหนๆก็พูดเรื่องประเมินแล้ว เราจะอธิบายว่าเราทุ่มเทตั้งใจทำงานยังไง งานเราหนักแค่ไหน (เราจะไม่พูดเรื่องเนื้องาน เพราะไม่สะดวก) ทำไมถึงคิดว่าตัวเองควรได้รับการประเมินด้วยคะแนนที่ดี
1. เราทุ่มเทตั้งใจทำงานมากจริงๆ พนักงาน "เกือบ" ทุกคนในห้องได้รับมอบหมายงานในปริมาณมากและไม่สามารถทำเสร็จภายในเวลางาน (ส่วนหนึ่งเป็นเพราะงานที่ทำนั้นต้องถูกแก้ไขหลายครั้ง บางครั้งแก้เพราะหัวหน้าสื่อสารความต้องการไม่ชัดเจน หรือนึกอะไรออก อยากแก้ก็แก้ กลายเป็นทำงานวนไปมา เสียเวลามาก) ศักยภาพของพนักงานก็มีไม่เท่ากัน บางคนไม่แคร์ถ้าทำงานเสร็จไม่ทันกำหนด ถึงเวลาเลิกงานก็กลับ วันหยุดก็พักเต็มที่ (ถือว่าเป็นหน่วยงานรัฐ ไม่มีใครเอาโทษ) บางคนก็ยอมสละเวลาส่วนตัว ทำงานล่วงเวลาเพื่อให้งานเสร็จทันกำหนด และงานก็มาใหม่เรื่อยๆ ต้องรีบเคลียร์ ซึ่งเราอยู่ในกลุ่มหลัง
2. หลายครั้งเราต้องทำงานแบบเร่งด่วน กระชั้นชิด (เช่น หัวหน้าจะไปเสนองานผู้บริหารพรุ่งนี้เช้า แต่มาบอกเราเตรียมข้อมูลตอนเย็นวันนี้) จนเราอดหลับอดนอนหลายครั้ง เคยลาป่วยหลายครั้งเพราะเพลีย ปวดหัว หน้ามืด ท้องไส้ปั่นป่วน จากการนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ (บางครั้งเราก็ไม่ได้ป่วยจริง แต่ให้เหตุผลเดิมๆ เพื่อจะสื่อให้หัวหน้ารู้ทางอ้อมว่าเราทำงานหนักเกินไป พักผ่อนน้อยเกินไป แต่สุดท้ายก็รู้ว่าหัวหน้าไม่แคร์ จะลาก็ลาไป และบางครั้งเราก็ลาเพื่อจะเคลียร์งานที่บ้านแบบสงบๆ เพราะถ้าเข้าออฟฟิศจะโดนหัวหน้าเรียกใช้โน่นนี่จนอาจไม่ได้เคลียร์งานตามที่ตั้งใจไว้) เราเคยบอกหัวหน้าว่าเรานอนดึกทุกวัน บางวันนอนเกือบเช้า หัวหน้ายังจะถามอีกว่าทำไมนอนดึก (เขาคิดไม่ได้สินะ) และเราแทบไม่มีเวลาไปทำอะไรอย่างอื่นเลย เช่น เรียนต่อ หรือทำงานพิเศษ ในขณะที่บางคนว่างจนสามารถเอางานพิเศษมาทำในเวลางานปกติได้
3. เราโดนหัวหน้ารบกวนเวลานอกบ่อยมาก ต้องทำงานเกินเวลาปกติ/ทำงานในวันหยุดและวันลา โดยไม่เคยได้รับค่าโอที เงินเดือนเราก็ไม่เยอะ แค่สองหมื่น บางวันเราต้องกลับบ้านมืดค่ำและเสียค่าเดินทางมากกว่าเลิกงานตามเวลาปกติ (ซึ่งหัวหน้าก็รู้ แต่ไม่แคร์) จะบ่นว่าตัวเองงานเยอะ ทำไม่ทัน ก็บ่นไม่ได้ เพราะมีพนักงานบ่นแล้วหัวหน้าไม่เข้าใจ เขาไม่เคยคิดว่าลูกน้องมีงานเยอะ เพราะเขามองที่ผลงาน ไม่ได้มองที่การทำงาน และหัวหน้าก็เป็นคนนิสัยบ้างาน เขาทำงานหนักมานาน และมาเช้ากลับค่ำจนเป็นเรื่องปกติของเขา เขาจึงมั่นใจว่าลูกน้องไม่ได้มีงานเยอะ และถ้าใครบ่นมากๆ เขาก็จะพูดท้าให้ลูกน้องมาเป็นหัวหน้าซะเอง เขาอยากเป็นลูกน้อง ง่ายกว่าเป็นหัวหน้าเยอะ (เราก็แอบคิดว่าถ้าเขาจะพูดแบบนี้ แล้วมาเป็นหัวหน้าแต่แรกทำไม)
4. งานที่เราทำ เราถือว่าเป็นงานสำคัญของแผนก งานในแผนกเราแบ่งเป็น 2 ส่วนใหญ่ๆ เช่น งาน A กับงาน B เราเป็นคนที่ต้องรับผิดชอบงาน B แทบทั้งหมด กับพนักงานอีกคน แต่พนักงานอีกคนรับผิดชอบน้อยกว่าเรา (เพราะงานหลักของเขาคืองาน A เขารับงาน B แค่บางส่วน) ส่วนงาน A มีพนักงานรับผิดชอบเกือบสิบคน และเราเป็นเหมือนผู้บุกเบิกในงาน B เพราะแต่เดิมแผนกนี้ทำแต่งาน A ส่วนงาน B รับมาจากแผนกอื่นทีหลัง เพราะหน่วยงานมีการปรับโครงสร้าง และสภาพงาน B ที่รับมาคือเละตุ้มเป๊ะ เละมาหลายปี ต้องมาปรับเปลี่ยนแก้ไขกันยกใหญ่ หัวหน้าก็ยังไม่ค่อยมีความรู้ในงานนี้ (แต่เขาก็รู้เยอะกว่าเรา เพราะบางอย่างมันเชื่อมโยงกับงาน A ที่เขารู้ดีอยู่แล้ว ส่วนเราเป็นเหมือนเด็กใหม่ เพิ่งย้ายมาจากฝ่ายอื่น ไม่มีความรู้อะไรเลยเกี่ยวกับงานในแผนกนี้ ย้ายมาปุ๊บก็รับศึกปั๊บ เหมือนมาเป็นช่างรื้อถอนก่อสร้าง)
5. จากข้อบน งานที่เราทำอยู่ มีบางส่วนที่หัวหน้าแบ่งให้พนักงานคนอื่นทำ แต่ในทางปฏิบัติจริง ปรากฎว่าเราต้องเป็นลีด เป็นคนมอนิเตอร์งานทั้งหมดในภาพรวม ต้องรู้ว่าพนักงานอีกคนทำงานอะไรบ้าง (แล้วอีกคนก็ไม่ค่อยบอกให้เรารู้ด้วย ถ้าเราไม่ถามหรือกระตุ้น ซึ่งเราเหนื่อยมาก) เราต้องเป็นคนทำไฟล์สรุปอัพเดทงานโดยรวมกับหัวหน้าทุกสัปดาห์ (แล้วก็ต้องแก้ไขไฟล์ทุกครั้งที่อัพเดท) และพนักงานที่ทำงานร่วมกับเราเป็นคนที่ไม่ค่อยรอบคอบ ทำงานพลาดบ่อย และขี้ลืม ถ้าเทียบกับเราที่หัวหน้ามองว่าละเอียดเรียบร้อยกว่า กลายเป็นว่าเวลามีงาน หัวหน้าจะส่งมาให้เราหมด แล้วเราค่อยไปกระจายงานให้อีกคนต่อ แล้วเวลาหัวหน้าสงสัยอะไรก็มาถามเราก่อน (ต่อให้เป็นเรื่องงานของอีกคน) เวลาอีกคนทำงานพลาดเราก็โดนบ่นไปด้วย เราสามารถทำงานแทนอีกคนได้ ในขณะที่อีกคนไม่สามารถทำงานแทนเราได้ วันไหนเราลางาน เราก็ยังต้องคอยสแตนบายรับโทรศัพท์/ตอบไลน์ ตอนหลังเราก็ต้องมาทำคู่มือ และทำเองคนเดียวโดยที่อีกคนไม่ได้ช่วย (ไม่รู้ว่าเขาอ่านคู่มือเราไหม) เรารู้สึกว่าการแบ่งงานแบบนี้ไม่ได้ช่วยให้เราสบายขึ้นเลย และไม่แฟร์กับเราด้วย
6. เราเป็นคนที่ทำงานจุกจิกมากกว่าใครๆในห้อง เพราะนอกจากภาระงานหลักของเราที่ทำแทบไม่ทันแล้ว หัวหน้ายังมอบหมายงานยิบย่อยที่ไม่เกี่ยวกับงานหลักให้เราทำ เช่น งาน HR ของห้อง งานพัสดุ/ครุภัณฑ์ของห้อง การจดรายงานประชุม (นอกจากประชุมเกี่ยวกับงานเราเองแล้ว ยังมีประชุมของแผนกด้วย เดือนนึงเราต้องทำ 2-3 รายงาน ขนาดเราลางานยังโดนหัวหน้าใช้ให้เข้าประชุมและจดรายงาน) ฯลฯ งานอะไรที่หัวหน้าไม่รู้จะใช้ใครก็มาลงที่เรา เหมือนเราเป็นเลขาหน้าห้อง ในขณะที่คนอื่นๆทำแต่ภาระงานหลักของเขา
สรุปแล้วคือ เรื่องการประเมินของหัวหน้าทำให้เรารู้สึกไม่ดีเลย ทำให้เรารู้สึกไม่อยากทุ่มเทตั้งใจทำงานอีกต่อไป (แต่งานมันก็เยอะเหลือเกิน ไม่ทุ่มเทยังไงไหว) และทำให้เราสงสัยว่าตัวเองควรจะทำงานที่นี่ต่อไปหรือไม่ ไม่รู้จะปรับใจปรับความคิดยังไง เราอยากทำงานในหน่วยงานนี้ แต่ไม่ใช่ทำงานในลักษณะที่โดนเอารัดเอาเปรียบแบบนี้ ไม่ใช่ทำงานหนักเหมือนฆ่าตัวตายทางอ้อมแบบนี้ ไม่ใช่ทำงานตามอารมณ์หัวหน้าแบบนี้ ไม่ใช่ทำงานดีแล้วได้รับการประเมินคะแนนเท่าๆกับคนที่ทำงานไม่ดีแบบนี้ (เราไม่คาดหวังว่าจะได้รับการโปรโมทให้เป็นหัวหน้าหรืออะไร เราไม่อยากเป็น แต่เราอยากทำงานแล้วได้รับการตอบแทนที่คุ้มค่า บวกกับมีชีวิตส่วนตัวที่ได้ทำสิ่งต่างๆมากกว่าการทำงานเพียงอย่างเดียว)
ไม่อยากจะว่าเลยว่านี่เป็นจุดอ่อนที่สำคัญมากของหน่วยงานรัฐ พนักงานไม่ได้ทำผิดร้ายแรงก็ไม่สามารถเลิกจ้างได้ และการไม่ตั้งใจทำงาน/ทำงานพลาดบ่อยไม่ถือเป็นความผิดร้ายแรง (เรามาทำงานกัน ไม่ได้มาจัดปาร์ตี้กัน) คนที่ซวยก็คือพนักงานที่มีศักยภาพ เพราะต้องรับงานหนักกว่าพนักงานที่ด้อยศักยภาพ และต้องทำงานแทนคนด้อยศักยภาพด้วย (คนทำงานไม่ดี หัวหน้าก็ไม่อยากใช้งาน เพราะใช้แล้วเหนื่อย คนทำงานดีก็ใช้ไม่หยุด) ฝากถึงคนที่เป็นหัวหน้า หรือกำลังจะเป็นด้วยว่า อย่าทำแบบหัวหน้าเรา ไม่งั้นระวังจะสูญเสียลูกน้องที่มีศักยภาพไป