....เมื่อพิจารณาเห็นรูปโดยความเป็นของไม่เที่ยงเป็นต้น ย่อมละกิเลสที่ควร
ละได้ เมื่อพิจารณาเห็นเวทนา ... สัญญา ... สังขาร ... วิญญาณ ... จักษุ ...
ชราและมรณะ โดยความเป็นของไม่เที่ยงเป็นต้น ย่อมละกิเลสที่ควรละได้
*******เมื่อพิจารณาเห็นนิพพานอันหยั่งลงสู่อมตะ [ด้วยความเป็นอนัตตา]*****
ด้วยความว่าเป็นที่สุด ย่อมละกิเลสที่ควรละได้ ธรรมใดๆ เป็นธรรมที่ละได้แล้วธรรมนั้นๆ
เป็นอันสละได้แล้ว ชื่อว่าญาณ เพราะอรรถว่ารู้ธรรมนั้น ชื่อว่าปัญญา เพราะอรรถว่ารู้ชัด
เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า ปัญญาเครื่องทรงจำธรรมที่ได้สดับมาแล้ว คือ
เครื่องรู้ชัดธรรมที่ได้สดับมาแล้วนั้นว่า ธรรมเหล่านี้ควรละ ชื่อว่าสุตมยญาณ ฯ
แสดงว่า..
******เมื่อเห็นว่านิพพานเป็นอนัตตาแล้ว ย่อมละกิเลสที่ควรละได้*****
อย่างนี้ใช่มั้ยครับ?
แบบนี้มันไม่ใช่สัทธรรมปฏิรูปแล้ว แต่มันเป็นอสัทธรรมโดยตรงเลยนะนั่น
มันเป๋นจะอิ้ๆเน้อ
จะอู้หื้อ.....
แบบนี้แหละคือ ยิ่งกว่าสัทธรรมปฏิรูป ?
ละได้ เมื่อพิจารณาเห็นเวทนา ... สัญญา ... สังขาร ... วิญญาณ ... จักษุ ...
ชราและมรณะ โดยความเป็นของไม่เที่ยงเป็นต้น ย่อมละกิเลสที่ควรละได้
*******เมื่อพิจารณาเห็นนิพพานอันหยั่งลงสู่อมตะ [ด้วยความเป็นอนัตตา]*****
ด้วยความว่าเป็นที่สุด ย่อมละกิเลสที่ควรละได้ ธรรมใดๆ เป็นธรรมที่ละได้แล้วธรรมนั้นๆ
เป็นอันสละได้แล้ว ชื่อว่าญาณ เพราะอรรถว่ารู้ธรรมนั้น ชื่อว่าปัญญา เพราะอรรถว่ารู้ชัด
เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า ปัญญาเครื่องทรงจำธรรมที่ได้สดับมาแล้ว คือ
เครื่องรู้ชัดธรรมที่ได้สดับมาแล้วนั้นว่า ธรรมเหล่านี้ควรละ ชื่อว่าสุตมยญาณ ฯ
แสดงว่า..
******เมื่อเห็นว่านิพพานเป็นอนัตตาแล้ว ย่อมละกิเลสที่ควรละได้*****
อย่างนี้ใช่มั้ยครับ?
แบบนี้มันไม่ใช่สัทธรรมปฏิรูปแล้ว แต่มันเป็นอสัทธรรมโดยตรงเลยนะนั่น
มันเป๋นจะอิ้ๆเน้อ
จะอู้หื้อ.....