จริงมั้ยค่ะ?? ทุกคนที่เรามาถึงจุดที่เรียกว่า Burn out จากการทำงาน แล้วเราไม่อยากทำอะไรเลย
เพราะตอนนี้…เหมือนเรากำลังเป็นแบบนั้นอยู่…
ตั้งแต่เกิดมา…ที่เราเริ่มทำงานมาตั้งแต่ป.5 (ชั่วคราว) เราก็ทำงานมาตลอด ปิดเทอมทีไรก็อยากที่จะไปทำงานหาเงินมาเลี้ยงตัวเอง และซื้อของที่ตัวเองอยากได้ ให้แม่บ้าง เนื่องจากด้วยฐานะทางบ้านเราไม่ได้ดีตั้งแต่เกิด พ่อกับแม่ก็แยกทางตั้งแต่เราเกิด 5 วันแรก (อันนี้แม่เล่าให้ฟังนะคะ) และมีน้า ตายาย ช่วยเลี้ยงเรามาตลอด สลับกันบ้าง แต่เราก็ไม่ได้อดถึงขนาดที่สุด เราก็รู้สึกโชคดีอยู่นะ
อ่ะ..มาต่อการทำงาน
…นั้นแหละ เราก็ทำงานมาตลอด เหนื่อยบ้าง ท้อบ้างธรรมดาของการทำงาน จนเราเรียนจบ เราก็มาทำงานประจำอยู่ที่นึง เป็นที่ๆเรา ทำต่อจากการฝึกงาน เรารู้สึกขอบคุณพี่ๆ ผู้ใหญ่ทุกท่านมาก..ในที่ทำงานที่นั้นมาก ที่ให้โอกาสเด็กคนนี้ ได้เรียนรู้งาน ได้เปิดโลกการทำงานแบบผู้ใหญ่จริงๆ
แต่แล้ว…เราก็ขอไม่สามารถไปต่อกับเส้นทางนี้ได้ เนื่องงจาก…เรารู้สึกมันไม่ใช่ทางที่เราชอบเดิน เราพยายามอยู่นาน แต่ก็ไม่สามารถปรับตัวต่อได้ เราจึงออกมาเดินทางตามความฝันที่เราอยากทำอีกอาชีพ ซึง…ไม่ได้ตรงกับสายที่เราเรียนมาสักเท่าไร แต่เราก็เคยเลือกเรียนวิชานี้ ตอนที่เราเรียนม. ซึ่งเรามีความสุขมาก หัวใจเราพองโตทุกวัน ที่เราได้เรียนวิชานี้ เราไม่เคยมีความคิดว่า เรียนวิชานี้อีกแล้วเหรอะ เบื่อจัง!! แต่วิชาไหนที่ไม่ชอบก็ไม่ได้แปลว่า จะไม่เข้าเรียนนะ เข้าเรียนตามปกติ ทำงานส่ง ตั้งใจเรียน แต่หัวใจก็ไม่ค่อยว้าวววว!!! เหมือนเรียนวิชาที่ชอบ
และแล้ว…เราก็ได้ทำงานในสายงานที่เราชอบ ซึ่งบริษัทนี้ให้โอกาสทุกคนในการทำงาน แม้ว่าคุณไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อนหรือแม้เป็นนักศึกษาจบใหม่ก็ตาม ทุกคนสามารถทำงานในแผนกที่ตัวเองอยากจะทำงานได้ แต่แต่ละแผนก เค้าก็จะมีหัวหน้า รุ่นพี่ที่มาจากสายประสบการณ์ทำงานเฉพาะของแต่ละแผนกมาอยู่แล้ว เช่น แผนกบัญชี ก็จะมีคนที่จบบัญชีและมีประสบการณ์ทางด้านบัญชีมาสอนงานเราอยู่แล้วค่ะ ประมาณนี้ เราทำงานอยู่ได้ประมาณ 1 ปี 6 เดือน ที่จริงเราตั้งใจจะทำงานอยู่ที่นี่ตลอดไป เนื่องจากหัวหน้าดี เพื่อนร่วมงานดี แต่สาเหตุที่เราไม่ได้ไปต่อก็เพราะ…บริษัทได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19ที่ผ่านมา จึงทำให้ทุกคนต้องแยกย้ายกันไป แต่เชื่อมั้ยค่ะ..ทุกคน ถึงแม้ว่าจะแยกย้าย แต่มิตรภาพก็ยังคงอยู่ ทุกคนมีเฟส มีไลน์ คอยทักหากันตลอด
ต่อมาเป็นบริษัทที่ 3 ที่เราทำงาน บริษัทนี้ก็ดีค่ะ ให้โอกาสให้เราได้ทำงานเหมือนกันค่ะ บริษัทนี้ เราไปววันแรก เราก็รู้ได้ถึงความรู้สึกแปลก เพื่อนร่วมแผนกและหัวหน้าแปลกๆค่ะ แต่เราก็คิดในใจ ปลอบใจตัวเองว่า คงไม่มีอะไรหรอก คิดมากไปเอง ช่วงแรกก็แบบนี้แหละ เดี๋ยวก็ปรับตัวได้ และมีพี่คนนึงในแผนก เค้ากำลังจะลาออก มันคือตำแหน่งที่เราจะไปทำแทนนี่แหละ พี่เค้าก็สอนงานเราดีนะ พูดดี ไม่ว่าร้ายใคร แต่ทำไมหัวหน้าบอกว่า ให้อยู่ห่างๆ คนนี้เข้าไว้ และให้เราไปทานข้าวกับพี่อีกคนในแผนก หัวหน้าเรียกเราไปคุย บอกว่า พี่ที่กำลังจะลาออก คือตัวอันตราย ชอบพูดว่าคนโน้นคนนี้ ชอบให้ร้ายคนอื่น ชอบเอาเรื่องไม่ดีไปใส่หัวคนอื่น เค้าบอกว่า พี่คนนี้จะทำให้เรามองภาพคนอื่นไม่ดี เราฟังแค่นั้นแหละ เราก็เริ่มลังเลแล้วว่า เราจะอยู่ต่อดีมั้ย เนื่องจากเราไม่เคยพบหรือเคยเจอสังคมการทำงานแบบนี้ แต่แล้วเราก็มาปรึกษาแม่ที่บ้าน แม่บอก ให้อดทนทำงานไปก่อน ช่วงนี้หางานทำยาก เราก็เลยอดทนทำงานแบบไม่คิดอะไร แต่แล้วแต่เล่าหัวหน้านอกจากจะบอกว่าลูกน้องตัวเองที่กำลังลาออกแล้ว ยังบอกกับเราว่า คนนี้เป็นนอย่างนี้ คนโน้นเป็นอย่างนี้ ให้เราอยู่ห่างคนนี้ไว้ อะไรประมาณนี้ แต่เราก็ไม่เชื่อนะคะ คนเรามันจะสามารถเกลียดหรือไม่ชอบหรืออยู่ดีๆให้ร้ายกันได้เหรอะค่ะ ทั้งที่ ไม่เคยคุยกันเลย และมีอยู่วันนึง หัวหน้าก็แสดงอิทธิฤทธิ์ดาบเจ็ดสีมณีเจ็ดแสงออกมาค่ะ เรียกทุกคนในแผนก พร้อมให้ลูกน้องที่กำลังจะลาออก ออกไปอยู่ข้างนอก แล้วถามเราว่า
หัวหน้า: พี่คนที่ลาออกสอนอะไรเราบ้างและเค้าได้พูดอะไรเกี่ยวกับพี่(หมายถึงตัวหัวหน้าเองค่ะ) มั้ย
เรา: เค้าไม่ได้ว่าอะไรนะคะ (เราก็บอกไปตามตรง)
หัวหน้า: ไม่จริง!!! เธอเข้าข้างเค้า เค้าต้องพูดอะไรกับพี่แน่ๆ เค้าว่าพี่ใช่มั้ย…
คือเราก็งง ก็พี่คนที่ลาออกไม่ได้ว่าอะไรจริงๆ
และเค้า(หัวหน้า) ก็หันไปบอกกับพี่ในแผนกอีกคน ให้นามว่า B แล้วกันค่ะ ส่วนพี่ที่จะลาออก นาม A
หัวหน้า: B บอกน้องไปซิว่า Aมันด่าอะไรกกับพี่ไว้บ้าง ( พี่ B สายตาเค้าก็เหมือนกับ ไม่อยากพูด แต่เค้าก็พูดออกมานะ)
พี่ B: เค้าเคยด่าหัวหน้า ด่าลับหลัง แรงมาก
เรา: อ่อค่ะ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรเลย
และเราก็คิดในใจ ทำไมต้องมาอยู่ในสังคมที่เค้าด่ากันแบบไปมาแบบนี้ด้วย ตอนนั้นคิดในใจและปลอบใจ นึกถึงคำแม่ว่า อดทนไปก่อน เราก็อดทนมาตลอด แต่ทุกครั้งที่มีประชุมแผนก เราไม่อยากให้มีเลย เพราะทุกครั้งที่มี คือแบบน้อยมาก..ที่จะหารือเกี่ยวกับงาน เพราะส่วนใหญ่จะได้ฟังหัวหน้าค่อยเทศน์ให้ฟังตลอด (เทศน์= คอยด่า คอยว่า คอยดูถูกลูกน้องสารพัดสารเพ) เราคอยฟังและพยายามหาคำสอนตลอดเวลาแต่แล้วก็ไม่พบ หรือถ้าพบคือน้อยมาก แต่ทุกคนเชื่อมั้ยว่า เค้ามีความสามารถในการว่าลูกน้องประมาณ 2-3 ชม.กันเลยทีเดียว พอลูกน้องทำงานเสร็จไม่ทันก็ว่า แต่ไม่ได้นึกเลยว่า อ่อ ที่ไม่ทันส่วนนึงเพราะมานั่งฟังตัวเองบ่น และให้เราทำงานต่อช่วงเลิกงาน โดยไม่มีโอที เราเคยทำงานเลิกดึกสุด ประมาณตี 1 โดยไม่มีโอที แต่อันนั้นไม่ใช่ประเด็นค่ะ ประเด็นคือเราต้องการให้ว่า ทุกครั้งที่มีประชุม เราขอแค่มีแต่เนื้อๆได้มั้ย ส่วนน้ำๆ หรือใครทำผิด ก็ขอให้เรียกไปตักเตือนคนต่อคน หรืออยากให้เพื่อนร่วมแผนกรับรู้ก็ใช้เวลาแค่แปปเดียวก็พอ ไม่ต้องสาธยายเป็น2-3 ชม. เราเคยนั่งฟังนานสุดคือตั้งแต่เช้าจรเที่ยงน่ะค่ะ ทุกคน เป็นงงมั้ยค่ะ และก็เวลาขอคำปรึกษาตากหัวหน้า ไม่เคยได้คำปรึกษาค่ะ เค้าบอกกับเราว่าไงรู้มั้ยค่ะ เค้าบอกว่า มีสมองก็หัดคิดซะบ้าง เราไม่ได้รับคำตอบแค่ครั้งนี้ครั้งเดียวแล้วเอามาลงนะคะ เราโดนคำตอบนี้มาหลายครั้งงค่ะ จนเราไม่กล้าถามอะไรเค้าอีกเลยและพองานผิดพลาดมา ก็ว่าเราและบอกกกับเราว่า พี่บอกแล้วใช่มั้ย?? (ทั้งที่เค้าไม่ได้บอกอะไรเราเลย) พอเราอธิบายก็หาว่าเถียงคำไม่ตกฟาก พอไม่อธิบาย ก็จบ!! และก็บอกให้เรา กลับไปคิดมาใหม่ ไม่แนะนำเลยค่ะ เค้าเป็นแบบนี้มาตลอด คนภายนอกแผนกก็เคยบอกเร่นะคะว่าให้สู้ๆ และก็บอกว่าหัวหน้าเราก็เป็นแบบนี้นี่แหละไม่เคยมีใครเปลี่ยนเค้าได้ มีแต่เปลี่ยนลูกน้องในแผนกอย่างเดียว แบบเปลี่ยนคนใหม่ไปเรื่อยๆค่ะ และทางผู้ใหญ่แจ้งว่าให้หาคนใหม่มาช่วยงาน เนื่องจากงานที่มีอยู่มันล้นมือแล้ว โดยปกติ ลูกน้องในแผนกมี 3 คน แต่ตอนนี้เหลือเรากับพี่ B 2 คน ซึ่งงงานไม่ทันค่ะ เค้าก็ไม่หามาสักทีค่ะ พอถามเค้าก็ว่า พอจะช่วยหาก็ถามว่า รู้รายละเอียดงานที่เค้ามาทำดีพอแล้วเหรอะ จนกระทั่งเดือนนึงพี่ B ออกจากงานไปแบบไม่บอกกล่าวอะไรเลย หายไปเลยค่ะ ก็เหลือเราคนเดียว ตอนแรกเราก็ว่าจะลาออก แต่ก็สงสารหัวหน้า เลยอยู่ช่วยงานจนกว่าเค้าจะมีคนมาเพิ่มและช่วยงานเค้า ถึงจะขอลาออก เราก็ช่วยงานเค้าหลังพี่บีลาออกไปประมาณ 3 เดือน เลิกดึกดื่นเราไม่ว่า เพราะด้วยความที่เรามีรถ รถขับกลับเองได้ แต่แล้วพอคนใหม่มาช่วงเดือนที่ 3 ปลายเดือน นัยจากที่พี่ B ลาออกไป เค้าก็ยังไม่ได้ให้คนใหม่ทำอะไร ให้คอยเรียนรู้งานไปก่อน ส่วนงานก็ยังอยู่กับเราเหมือนเดิม แต่เราก็ไม่ได้คิดอะไร ขอแค่เค้าไม่ด่าไม่ว่า เป็น2-3 ชม. จนไม่ได้งานอะไรก็พอ เราก็อยู่ช่วยงานเหมือนเดิม พอเดือนที่ 4 นับจากพี่ B ลาออกไป ก็ได้มาเพิ่ม อีก 1 คน เราก็เลยถามทางหัวหน้าว่า จะให้เราบอกงานอะไรเค้ามั้ย คำตอบจากหัวหน้าที่ได้คือเธอเป็นหัวหน้าว่นเค้าเหรอะ ถึงจะไปสั่งไปสอนงานเค้า และหัวหน้าก็บอกต่ออีกว่า ชั้ลนิเป็นหัวหน้างานเค้า และหลังจากที่เราได้ยินคำตอบแล้ว เราเองก็ไม่กล้าอะไรกับเพื่อนร่วมงานใหม่ต่อเลย แต่พอเพื่อนร่วมงานถามมา เราก็ไม่กล้าตอบอะไรเค้าเยอะกลัวหัวหน้าว่า และพอเพื่อนร่วมงานทำผิด เราก็ว่าก่อนคนแรก หัวหน้าถามว่า ทำไมไม่บอกเค้า เราก็งงว่า ก็ตัวเองเป็นคนบอกเอง ไม่ให้บอกงานเค้า
เชื่อมั้ยค่ะทุกคน…หลังจากมีพนักงานใหม่มา 2 คนเค้ากลับมาเป็นเหมือนเดิมทุกอย่าง แต่ที่ไม่เหมือนคือ เค้าไม่กล้าว่าพนักงานใหม่เลยค่ะ อะไรที่เป็นความผิดลงที่เราทุกอย่างค่ะ
และแล้ววันนี้เราก็ได้ออกมาเพื่อพักใจสักที เพราะเราไม่ไหวจริง ตอนแรกเราไม่รู้ว่าเรามีอาการ Burn out จนเราลองลิสต์รายการที่มีความรู้สึกตอนนี้ออกมา ก่อนที่จะไปเช็คทางเนต
1. ตอนเช้าไม่อยากลุกไปทำงาน
2.เบือ…ไม่อยากทำอะไรเลย
3. อยากลาออกจากงาน แล้วไปอยู่ในที่ที่ไม่มีใคร อยู่กับตัวเอง นั่งทบทวนวนไป
4. ทำงานไม่มีสมาธิเลย
5.วันๆ คิดแต่เรื่องเรื่องลาออก (ต้องขอบอกก่อนว่า เราเคยยื่นการลาออกไป 1 ครั้งแต่เค้าไม่บอมให้ออก แต่เราออก เค้าจะแจ้งเราในประกันสังคมว่า ไล่ออก)
6. เราเริ่มรู้ตัวแล้วว่า เราทำงานไม่มีประสิทธิภาพ
หลังจากเช็คลิสท์ออกมาก็มีอยู่หลายข้อที่ตรงกับคำว่า Burn out
และนอกจากนี้ เราก็กลัวว่าเราจะเป็นซึมเศร้า เพราะก่อนหน้านี้มีพี่ 1 คน คนที่เราไปทำงานแทน เค้าก็เป็นคนปกติดี แต่พอมาอยู่นี่กลายเป็นคนเป็นซึมเศร้า ต้องไปหาหมอทุกเดือน รับยา เราก็เลยไปทำแบบทดสอบอาการซึมเศร้า ผลปรากฏว่า เรามีอาการเป็นซึมเศร้าในระดับนึง แต่2 อาการที่เราไม่มีในซึมเศร้า ค่อการรู้สึกหมดค่าในตัวและอยากฆ่าตัวตาย เพราะตอนเด็กเราเคยเข้าวัด ฟังธรรมะ เค้าบอกว่าการฆ่าตัวตาย มันเป็นบาป เมื่อตายไปแล้ว เราก็ฆ่าตัวตายในเวลานั้น อยู่ประมาณ 500 ครั้งง หรือ 500 ชาตินี้แหละถ้าจำไม่ผิด เราก็เลยไม่เลือกทางเดินนี้ และเราก็คิดอยู่เสมอว่าที่ทำงานที่นี้ไม่ใช่คำตอบสุดท้ายของชีวิตเรา แต่คำตอบชีวิตของเราคือ ครอบครัว ก่อนที่เราจะออกมา เราก็ถามแม่หรือปรึกษาแม่หรือคอยบอกแม่ว่าเราเจอแบบนี้ เราไม่ไหว ครั้งแรก,2,3 แม่ก็บอกว่า อดทน ต่อมาครั้งที่4 แม่ก็ไม่พูดอะไร และต่อมาครั้งที่ 5,6,7 แม่บอกว่า คิดดีๆ มีสติ แค่นี้ และล่าสุด แม่บอกว่า แม่เคารพการตัดสินใจของลูก และแกบอกว่า ไม่ต้องเครียด มีอะไรคุยหรือปรึกษาได้ และเท่านั้นแหละ เราจึงหยุดทันที เพราะยัฃไงคำว่าครอบครัวค่อสิ่งที่สำคัญกว่าทุกสิ่งบนโลกใบนี้ อันนี้คือสำหรับเรานะ จบแล้วค่ะ…
ปล.บทความนี้ไม่ได้เรียกระบายแต่เรียกประสบการณ์ดีๆ เมื่อเจอเหตุการณ์แบบนี้ จะได้คอยกลับมาอ่านและเตือนตัวเองค่ะ
จริงมั้ย???เมื่อถึงจุดที่เรา Burn out จากการทำงานแล้วไม่อยากทำอะไรเลย
เพราะตอนนี้…เหมือนเรากำลังเป็นแบบนั้นอยู่…
ตั้งแต่เกิดมา…ที่เราเริ่มทำงานมาตั้งแต่ป.5 (ชั่วคราว) เราก็ทำงานมาตลอด ปิดเทอมทีไรก็อยากที่จะไปทำงานหาเงินมาเลี้ยงตัวเอง และซื้อของที่ตัวเองอยากได้ ให้แม่บ้าง เนื่องจากด้วยฐานะทางบ้านเราไม่ได้ดีตั้งแต่เกิด พ่อกับแม่ก็แยกทางตั้งแต่เราเกิด 5 วันแรก (อันนี้แม่เล่าให้ฟังนะคะ) และมีน้า ตายาย ช่วยเลี้ยงเรามาตลอด สลับกันบ้าง แต่เราก็ไม่ได้อดถึงขนาดที่สุด เราก็รู้สึกโชคดีอยู่นะ
อ่ะ..มาต่อการทำงาน
…นั้นแหละ เราก็ทำงานมาตลอด เหนื่อยบ้าง ท้อบ้างธรรมดาของการทำงาน จนเราเรียนจบ เราก็มาทำงานประจำอยู่ที่นึง เป็นที่ๆเรา ทำต่อจากการฝึกงาน เรารู้สึกขอบคุณพี่ๆ ผู้ใหญ่ทุกท่านมาก..ในที่ทำงานที่นั้นมาก ที่ให้โอกาสเด็กคนนี้ ได้เรียนรู้งาน ได้เปิดโลกการทำงานแบบผู้ใหญ่จริงๆ
แต่แล้ว…เราก็ขอไม่สามารถไปต่อกับเส้นทางนี้ได้ เนื่องงจาก…เรารู้สึกมันไม่ใช่ทางที่เราชอบเดิน เราพยายามอยู่นาน แต่ก็ไม่สามารถปรับตัวต่อได้ เราจึงออกมาเดินทางตามความฝันที่เราอยากทำอีกอาชีพ ซึง…ไม่ได้ตรงกับสายที่เราเรียนมาสักเท่าไร แต่เราก็เคยเลือกเรียนวิชานี้ ตอนที่เราเรียนม. ซึ่งเรามีความสุขมาก หัวใจเราพองโตทุกวัน ที่เราได้เรียนวิชานี้ เราไม่เคยมีความคิดว่า เรียนวิชานี้อีกแล้วเหรอะ เบื่อจัง!! แต่วิชาไหนที่ไม่ชอบก็ไม่ได้แปลว่า จะไม่เข้าเรียนนะ เข้าเรียนตามปกติ ทำงานส่ง ตั้งใจเรียน แต่หัวใจก็ไม่ค่อยว้าวววว!!! เหมือนเรียนวิชาที่ชอบ
และแล้ว…เราก็ได้ทำงานในสายงานที่เราชอบ ซึ่งบริษัทนี้ให้โอกาสทุกคนในการทำงาน แม้ว่าคุณไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อนหรือแม้เป็นนักศึกษาจบใหม่ก็ตาม ทุกคนสามารถทำงานในแผนกที่ตัวเองอยากจะทำงานได้ แต่แต่ละแผนก เค้าก็จะมีหัวหน้า รุ่นพี่ที่มาจากสายประสบการณ์ทำงานเฉพาะของแต่ละแผนกมาอยู่แล้ว เช่น แผนกบัญชี ก็จะมีคนที่จบบัญชีและมีประสบการณ์ทางด้านบัญชีมาสอนงานเราอยู่แล้วค่ะ ประมาณนี้ เราทำงานอยู่ได้ประมาณ 1 ปี 6 เดือน ที่จริงเราตั้งใจจะทำงานอยู่ที่นี่ตลอดไป เนื่องจากหัวหน้าดี เพื่อนร่วมงานดี แต่สาเหตุที่เราไม่ได้ไปต่อก็เพราะ…บริษัทได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19ที่ผ่านมา จึงทำให้ทุกคนต้องแยกย้ายกันไป แต่เชื่อมั้ยค่ะ..ทุกคน ถึงแม้ว่าจะแยกย้าย แต่มิตรภาพก็ยังคงอยู่ ทุกคนมีเฟส มีไลน์ คอยทักหากันตลอด
ต่อมาเป็นบริษัทที่ 3 ที่เราทำงาน บริษัทนี้ก็ดีค่ะ ให้โอกาสให้เราได้ทำงานเหมือนกันค่ะ บริษัทนี้ เราไปววันแรก เราก็รู้ได้ถึงความรู้สึกแปลก เพื่อนร่วมแผนกและหัวหน้าแปลกๆค่ะ แต่เราก็คิดในใจ ปลอบใจตัวเองว่า คงไม่มีอะไรหรอก คิดมากไปเอง ช่วงแรกก็แบบนี้แหละ เดี๋ยวก็ปรับตัวได้ และมีพี่คนนึงในแผนก เค้ากำลังจะลาออก มันคือตำแหน่งที่เราจะไปทำแทนนี่แหละ พี่เค้าก็สอนงานเราดีนะ พูดดี ไม่ว่าร้ายใคร แต่ทำไมหัวหน้าบอกว่า ให้อยู่ห่างๆ คนนี้เข้าไว้ และให้เราไปทานข้าวกับพี่อีกคนในแผนก หัวหน้าเรียกเราไปคุย บอกว่า พี่ที่กำลังจะลาออก คือตัวอันตราย ชอบพูดว่าคนโน้นคนนี้ ชอบให้ร้ายคนอื่น ชอบเอาเรื่องไม่ดีไปใส่หัวคนอื่น เค้าบอกว่า พี่คนนี้จะทำให้เรามองภาพคนอื่นไม่ดี เราฟังแค่นั้นแหละ เราก็เริ่มลังเลแล้วว่า เราจะอยู่ต่อดีมั้ย เนื่องจากเราไม่เคยพบหรือเคยเจอสังคมการทำงานแบบนี้ แต่แล้วเราก็มาปรึกษาแม่ที่บ้าน แม่บอก ให้อดทนทำงานไปก่อน ช่วงนี้หางานทำยาก เราก็เลยอดทนทำงานแบบไม่คิดอะไร แต่แล้วแต่เล่าหัวหน้านอกจากจะบอกว่าลูกน้องตัวเองที่กำลังลาออกแล้ว ยังบอกกับเราว่า คนนี้เป็นนอย่างนี้ คนโน้นเป็นอย่างนี้ ให้เราอยู่ห่างคนนี้ไว้ อะไรประมาณนี้ แต่เราก็ไม่เชื่อนะคะ คนเรามันจะสามารถเกลียดหรือไม่ชอบหรืออยู่ดีๆให้ร้ายกันได้เหรอะค่ะ ทั้งที่ ไม่เคยคุยกันเลย และมีอยู่วันนึง หัวหน้าก็แสดงอิทธิฤทธิ์ดาบเจ็ดสีมณีเจ็ดแสงออกมาค่ะ เรียกทุกคนในแผนก พร้อมให้ลูกน้องที่กำลังจะลาออก ออกไปอยู่ข้างนอก แล้วถามเราว่า
หัวหน้า: พี่คนที่ลาออกสอนอะไรเราบ้างและเค้าได้พูดอะไรเกี่ยวกับพี่(หมายถึงตัวหัวหน้าเองค่ะ) มั้ย
เรา: เค้าไม่ได้ว่าอะไรนะคะ (เราก็บอกไปตามตรง)
หัวหน้า: ไม่จริง!!! เธอเข้าข้างเค้า เค้าต้องพูดอะไรกับพี่แน่ๆ เค้าว่าพี่ใช่มั้ย…
คือเราก็งง ก็พี่คนที่ลาออกไม่ได้ว่าอะไรจริงๆ
และเค้า(หัวหน้า) ก็หันไปบอกกับพี่ในแผนกอีกคน ให้นามว่า B แล้วกันค่ะ ส่วนพี่ที่จะลาออก นาม A
หัวหน้า: B บอกน้องไปซิว่า Aมันด่าอะไรกกับพี่ไว้บ้าง ( พี่ B สายตาเค้าก็เหมือนกับ ไม่อยากพูด แต่เค้าก็พูดออกมานะ)
พี่ B: เค้าเคยด่าหัวหน้า ด่าลับหลัง แรงมาก
เรา: อ่อค่ะ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรเลย
และเราก็คิดในใจ ทำไมต้องมาอยู่ในสังคมที่เค้าด่ากันแบบไปมาแบบนี้ด้วย ตอนนั้นคิดในใจและปลอบใจ นึกถึงคำแม่ว่า อดทนไปก่อน เราก็อดทนมาตลอด แต่ทุกครั้งที่มีประชุมแผนก เราไม่อยากให้มีเลย เพราะทุกครั้งที่มี คือแบบน้อยมาก..ที่จะหารือเกี่ยวกับงาน เพราะส่วนใหญ่จะได้ฟังหัวหน้าค่อยเทศน์ให้ฟังตลอด (เทศน์= คอยด่า คอยว่า คอยดูถูกลูกน้องสารพัดสารเพ) เราคอยฟังและพยายามหาคำสอนตลอดเวลาแต่แล้วก็ไม่พบ หรือถ้าพบคือน้อยมาก แต่ทุกคนเชื่อมั้ยว่า เค้ามีความสามารถในการว่าลูกน้องประมาณ 2-3 ชม.กันเลยทีเดียว พอลูกน้องทำงานเสร็จไม่ทันก็ว่า แต่ไม่ได้นึกเลยว่า อ่อ ที่ไม่ทันส่วนนึงเพราะมานั่งฟังตัวเองบ่น และให้เราทำงานต่อช่วงเลิกงาน โดยไม่มีโอที เราเคยทำงานเลิกดึกสุด ประมาณตี 1 โดยไม่มีโอที แต่อันนั้นไม่ใช่ประเด็นค่ะ ประเด็นคือเราต้องการให้ว่า ทุกครั้งที่มีประชุม เราขอแค่มีแต่เนื้อๆได้มั้ย ส่วนน้ำๆ หรือใครทำผิด ก็ขอให้เรียกไปตักเตือนคนต่อคน หรืออยากให้เพื่อนร่วมแผนกรับรู้ก็ใช้เวลาแค่แปปเดียวก็พอ ไม่ต้องสาธยายเป็น2-3 ชม. เราเคยนั่งฟังนานสุดคือตั้งแต่เช้าจรเที่ยงน่ะค่ะ ทุกคน เป็นงงมั้ยค่ะ และก็เวลาขอคำปรึกษาตากหัวหน้า ไม่เคยได้คำปรึกษาค่ะ เค้าบอกกับเราว่าไงรู้มั้ยค่ะ เค้าบอกว่า มีสมองก็หัดคิดซะบ้าง เราไม่ได้รับคำตอบแค่ครั้งนี้ครั้งเดียวแล้วเอามาลงนะคะ เราโดนคำตอบนี้มาหลายครั้งงค่ะ จนเราไม่กล้าถามอะไรเค้าอีกเลยและพองานผิดพลาดมา ก็ว่าเราและบอกกกับเราว่า พี่บอกแล้วใช่มั้ย?? (ทั้งที่เค้าไม่ได้บอกอะไรเราเลย) พอเราอธิบายก็หาว่าเถียงคำไม่ตกฟาก พอไม่อธิบาย ก็จบ!! และก็บอกให้เรา กลับไปคิดมาใหม่ ไม่แนะนำเลยค่ะ เค้าเป็นแบบนี้มาตลอด คนภายนอกแผนกก็เคยบอกเร่นะคะว่าให้สู้ๆ และก็บอกว่าหัวหน้าเราก็เป็นแบบนี้นี่แหละไม่เคยมีใครเปลี่ยนเค้าได้ มีแต่เปลี่ยนลูกน้องในแผนกอย่างเดียว แบบเปลี่ยนคนใหม่ไปเรื่อยๆค่ะ และทางผู้ใหญ่แจ้งว่าให้หาคนใหม่มาช่วยงาน เนื่องจากงานที่มีอยู่มันล้นมือแล้ว โดยปกติ ลูกน้องในแผนกมี 3 คน แต่ตอนนี้เหลือเรากับพี่ B 2 คน ซึ่งงงานไม่ทันค่ะ เค้าก็ไม่หามาสักทีค่ะ พอถามเค้าก็ว่า พอจะช่วยหาก็ถามว่า รู้รายละเอียดงานที่เค้ามาทำดีพอแล้วเหรอะ จนกระทั่งเดือนนึงพี่ B ออกจากงานไปแบบไม่บอกกล่าวอะไรเลย หายไปเลยค่ะ ก็เหลือเราคนเดียว ตอนแรกเราก็ว่าจะลาออก แต่ก็สงสารหัวหน้า เลยอยู่ช่วยงานจนกว่าเค้าจะมีคนมาเพิ่มและช่วยงานเค้า ถึงจะขอลาออก เราก็ช่วยงานเค้าหลังพี่บีลาออกไปประมาณ 3 เดือน เลิกดึกดื่นเราไม่ว่า เพราะด้วยความที่เรามีรถ รถขับกลับเองได้ แต่แล้วพอคนใหม่มาช่วงเดือนที่ 3 ปลายเดือน นัยจากที่พี่ B ลาออกไป เค้าก็ยังไม่ได้ให้คนใหม่ทำอะไร ให้คอยเรียนรู้งานไปก่อน ส่วนงานก็ยังอยู่กับเราเหมือนเดิม แต่เราก็ไม่ได้คิดอะไร ขอแค่เค้าไม่ด่าไม่ว่า เป็น2-3 ชม. จนไม่ได้งานอะไรก็พอ เราก็อยู่ช่วยงานเหมือนเดิม พอเดือนที่ 4 นับจากพี่ B ลาออกไป ก็ได้มาเพิ่ม อีก 1 คน เราก็เลยถามทางหัวหน้าว่า จะให้เราบอกงานอะไรเค้ามั้ย คำตอบจากหัวหน้าที่ได้คือเธอเป็นหัวหน้าว่นเค้าเหรอะ ถึงจะไปสั่งไปสอนงานเค้า และหัวหน้าก็บอกต่ออีกว่า ชั้ลนิเป็นหัวหน้างานเค้า และหลังจากที่เราได้ยินคำตอบแล้ว เราเองก็ไม่กล้าอะไรกับเพื่อนร่วมงานใหม่ต่อเลย แต่พอเพื่อนร่วมงานถามมา เราก็ไม่กล้าตอบอะไรเค้าเยอะกลัวหัวหน้าว่า และพอเพื่อนร่วมงานทำผิด เราก็ว่าก่อนคนแรก หัวหน้าถามว่า ทำไมไม่บอกเค้า เราก็งงว่า ก็ตัวเองเป็นคนบอกเอง ไม่ให้บอกงานเค้า
เชื่อมั้ยค่ะทุกคน…หลังจากมีพนักงานใหม่มา 2 คนเค้ากลับมาเป็นเหมือนเดิมทุกอย่าง แต่ที่ไม่เหมือนคือ เค้าไม่กล้าว่าพนักงานใหม่เลยค่ะ อะไรที่เป็นความผิดลงที่เราทุกอย่างค่ะ
และแล้ววันนี้เราก็ได้ออกมาเพื่อพักใจสักที เพราะเราไม่ไหวจริง ตอนแรกเราไม่รู้ว่าเรามีอาการ Burn out จนเราลองลิสต์รายการที่มีความรู้สึกตอนนี้ออกมา ก่อนที่จะไปเช็คทางเนต
1. ตอนเช้าไม่อยากลุกไปทำงาน
2.เบือ…ไม่อยากทำอะไรเลย
3. อยากลาออกจากงาน แล้วไปอยู่ในที่ที่ไม่มีใคร อยู่กับตัวเอง นั่งทบทวนวนไป
4. ทำงานไม่มีสมาธิเลย
5.วันๆ คิดแต่เรื่องเรื่องลาออก (ต้องขอบอกก่อนว่า เราเคยยื่นการลาออกไป 1 ครั้งแต่เค้าไม่บอมให้ออก แต่เราออก เค้าจะแจ้งเราในประกันสังคมว่า ไล่ออก)
6. เราเริ่มรู้ตัวแล้วว่า เราทำงานไม่มีประสิทธิภาพ
หลังจากเช็คลิสท์ออกมาก็มีอยู่หลายข้อที่ตรงกับคำว่า Burn out
และนอกจากนี้ เราก็กลัวว่าเราจะเป็นซึมเศร้า เพราะก่อนหน้านี้มีพี่ 1 คน คนที่เราไปทำงานแทน เค้าก็เป็นคนปกติดี แต่พอมาอยู่นี่กลายเป็นคนเป็นซึมเศร้า ต้องไปหาหมอทุกเดือน รับยา เราก็เลยไปทำแบบทดสอบอาการซึมเศร้า ผลปรากฏว่า เรามีอาการเป็นซึมเศร้าในระดับนึง แต่2 อาการที่เราไม่มีในซึมเศร้า ค่อการรู้สึกหมดค่าในตัวและอยากฆ่าตัวตาย เพราะตอนเด็กเราเคยเข้าวัด ฟังธรรมะ เค้าบอกว่าการฆ่าตัวตาย มันเป็นบาป เมื่อตายไปแล้ว เราก็ฆ่าตัวตายในเวลานั้น อยู่ประมาณ 500 ครั้งง หรือ 500 ชาตินี้แหละถ้าจำไม่ผิด เราก็เลยไม่เลือกทางเดินนี้ และเราก็คิดอยู่เสมอว่าที่ทำงานที่นี้ไม่ใช่คำตอบสุดท้ายของชีวิตเรา แต่คำตอบชีวิตของเราคือ ครอบครัว ก่อนที่เราจะออกมา เราก็ถามแม่หรือปรึกษาแม่หรือคอยบอกแม่ว่าเราเจอแบบนี้ เราไม่ไหว ครั้งแรก,2,3 แม่ก็บอกว่า อดทน ต่อมาครั้งที่4 แม่ก็ไม่พูดอะไร และต่อมาครั้งที่ 5,6,7 แม่บอกว่า คิดดีๆ มีสติ แค่นี้ และล่าสุด แม่บอกว่า แม่เคารพการตัดสินใจของลูก และแกบอกว่า ไม่ต้องเครียด มีอะไรคุยหรือปรึกษาได้ และเท่านั้นแหละ เราจึงหยุดทันที เพราะยัฃไงคำว่าครอบครัวค่อสิ่งที่สำคัญกว่าทุกสิ่งบนโลกใบนี้ อันนี้คือสำหรับเรานะ จบแล้วค่ะ…
ปล.บทความนี้ไม่ได้เรียกระบายแต่เรียกประสบการณ์ดีๆ เมื่อเจอเหตุการณ์แบบนี้ จะได้คอยกลับมาอ่านและเตือนตัวเองค่ะ