ตอนก่อนหน้าที่มาเขียนต่อภายหลัง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้เป็นอันว่าเย็นวันนั้นฉันต้องจัดการเองหมดทุกอย่าง ทั้งหุงหาอาหารสำหรับตัวเองและโต้ง ออกไปซื้อต้มเลือดหมูมาให้ยายอุ่นกินเป็นมื้อเย็น เมื่อป้อนขาวป้อนยายายอุ่นเสร็จ ฉันก็หันมาจัดการกับเด็กชาย กำกับให้โต้งอาบน้ำใส่เสื้อผ้าชุดใหม่ พาขึ้นไปนอนบนห้องของป้าตุ่มชั้นบน ก่อนไปก็เปิดไฟในห้องโถงชั้นล่างทิ้งไว้ เผื่อป้าตุ่มจะกลับเข้าบ้านมาในคืนนี้
ฉันจูงมือโต้งเดินขึ้นบันไดไปชั้นสอง พอเดินขึ้นมาถึงโถงชั้นสองของบ้าน ฉันเห็นว่าบนนี้มีห้องถึงสามห้องด้วยกัน ไม่ใช่แค่สองห้องอย่างที่เข้าใจแต่แรก
“โต้งนอนห้องไหน” ฉันถามเด็กชายที่จูงมือมา แกชี้ไปที่ห้องฟากขวามือของบ้านที่อยู่ติดกันกับอีกห้องหนึ่ง เมื่อรู้ว่าห้องไหนคือห้องของป้าตุ่ม ฉันจึงถามถึงห้องของศรีพรรณ เด็กชายก็ชี้ห้องติดกันให้ดู
“แล้วห้องนั้นล่ะ” ฉันสงสัยถึงห้องทางด้านฟากซ้ายของตัวบ้าน ที่มีอยู่ห้องเดียว มองไปแล้วมันรู้สึกแปลก ๆ เหมือนบานประตูห้องปิดไม่สนิท มันยังแง้มอยู่เล็กน้อย พร้อมกับรู้สึกคล้ายมีสายตาลอบจ้องมองดูลอดประตูที่แง้มอยู่ตลอดเวลา จนขนแขนของฉันลุกซู่ขึ้นมาดื้อ ๆ
“ห้องเพื่อน” เด็กชายตอบโดยไม่มองหน้า
“เพื่อนใคร เพื่อนโต้งเหรอ” ฉันดึงมือเด็กไว้ให้หยุดตรงหน้าห้องนี้ก่อน แล้วถามแกอีก เด็กชายผงกศีรษะแรง ๆ สองสามที มีท่าทางขัดใจนิดหน่อยที่ฉันหยุดเดิน พยายามจะฉุดมือฉันให้เดินไปยังห้องของตัวเองที่นอนกับป้าตุ่ม
“ไป...ไป เพื่อนไม่อยากให้กวน”
ฉันจึงต้องยอมเดินตามแรงดึงของแกไปจนถึงหน้าห้องแก แต่ก็ยังอดหันไปมองทางบานประตูที่แง้มอยู่ของห้องนั้นอีกไม่ได้ ดูเหมือนมันจะแง้มกว้างออกมากขึ้น แต่ฉันอาจคิดมากไปเอง ไม่มีใครอยู่ในบ้านนี้สักหน่อย เพื่อนที่เด็กชายบอกแกก็อาจพูดเพ้อเจ้อไปเรื่อยเปื่อย ในบ้านนี้ศรีบอกว่ามีแค่สามคนเท่านั้น คือตัวศรีเอง ป้าตุ่มและยายอุ่น จะมีใครที่ไหนมาอยู่ในห้องนั้นอีก...แต่ เอ แล้วห้องนั้นเป็นห้องอะไรล่ะ
ค้างความสงสัยเอาไว้ก่อน ตอนนี้ยังไม่อยากคิดไปถึงเรื่องห้องหับภายในบ้าน แค่เรื่องเด็กชายออทิสติกกับคนแก่นอนป่วยติดเตียงที่ต้องดูแลก็จะแย่อยู่แล้ว ไหนป้าตุ่มที่หายตัวไปนั่นอีก
เข้าห้องมาเปิดไฟ พาโต้งขึ้นนอนบนเตียงที่ประจำของแก ดึงผ้าห่มมาคลุมตัวให้ ส่วนตัวฉันเองก็เอนตัวลงนอนข้างแก คิดว่าถ้าเด็กน้อยหลับไปแล้ว ฉันก็จะลงไปนอนยังห้องของตัวเอง
“อ่านนิทานให้ฟังหน่อย”
เด็กน้อยบอก ป่ายมือไปหยิบเอาหนังสือนิทานเล่มบางบนเตียงนอนมายื่นให้ ฉันรับมามองดูหน้าปกหนังสือที่วาดตัวการ์ตูนสีสดใส เป็นรูปหมาป่ากับหนูน้อยที่มีผ้าคลุมศีรษะสีแดง ก็รู้ว่าเป็นหนังสือนิทานเรื่องหนูน้อยหมวกแดงนั่นเอง เหลือบมองหน้าแก เห็นจ้องมาที่ฉันตาแป๋ว นึกรู้ว่าเด็กคงชอบฟังนิทานเรื่องนี้ และป้าตุ่มคงอ่านนิทานให้หลานฟังก่อนนอนทุกคืน จึงยิ้มให้แกอย่างนึกเอ็นดู
“อยากให้พี่อ่านให้ฟังใช่ไหมจ้ะ” ถามแกยิ้ม ๆ โต้งผงกศีรษะทันที
“อ่าน...อ่าน หมาป่า” โต้งชี้ไปยังรูปหมาป่า แยกแสยะโชว์เขี้ยวแหลมยาวขาวจั้วะบนปกหนังสือ
“ชอบหมาป่า...” แกบอก
“ทำไมชอบหมาป่าล่ะจ๊ะ มันเป็นตัวโกงนะ”
ฉันพลิกดูหนังสือที่มีรูปตัวการ์ตูนสีสันสดใสวาดประกอบเรื่องทุกหน้า ค่ำคืนแห่งปริศนาและความยุ่งยากหลากหลายที่ประเดประดังเข้ามานี้ อย่างน้อย ๆ ฉันก็มีเด็กเจ็ดขวบคนหนึ่งอยู่เป็นเพื่อน อ่านหนังสือนิทานให้แกฟังไปเพลิน ๆ ก็คงดีเหมือนกัน
เหลือบมองนาฬิกาติดผนังข้างฝาห้อง บอกเวลาว่าเกือบสองทุ่ม ป่านนี้ป้าตุ่มก็ยังไม่กลับมา แกไปอยู่เสียที่ไหนนะ และฉันจะตามหาแกกับใครดี ศรีก็อยู่ไกลถึงกรุงเทพ ครุ่นคิดอย่างเป็นกังวลถึงคุณป้าที่เพิ่งรู้จักกันได้แค่วันเดียวเท่านั้นก็มาหายตัวไปอย่างเป็นปริศนา ด้วยความอ่อนอกอ่อนใจ ถ้าแกหายไปจนถึงพรุ่งนี้เช้า เห็นทีฉันคงต้องเข้าแจ้งความกับตำรวจให้ออกตามหา คิดถึงทางบ้านขึ้นมาจับใจ ฉันยังไม่กล้าเล่าเรื่องนี้ให้แม่ฟัง เพราะไม่อยากให้แม่ไม่สบายใจ ได้แต่ภาวนาว่าจะไม่เกิดเหตุร้ายอะไรขึ้นกับคนของบ้านนี้ เป็นแค่เหตุบังเอิญเท่านั้นเอง ที่ทำให้ป้าตุ่มเกิดติดค้างทำธุระอย่างกะทันหัน แกอาจวางใจว่ามีฉันดูแลทางนี้ให้แล้ว อยู่ทำธุระของแกต่อจนเสร็จเสียก่อนถึงค่อยกลับ...แต่ก็นะ หลายสิ่งหลายอย่างมันดูผิดปกติไปมาก ไม่สมเหตุสมผล จนฉันต้องถอนหายใจยาวออกมา
“อ่าน อ่าน หมาป่า” ฉันออกจากภวังค์ครุ่นคิดปริวิตกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเองจากเสียงรบเร้าของโต้ง
“โต้งยังไม่ตอบพี่เลย ทำไมชอบหมาป่าจ๊ะ” ฉันถามแกใหม่ พูดกับเด็กพิเศษต้องใช้ความอดทน เพราะแกมีพัฒนาการทางการสื่อสารที่ไม่ค่อยดี
“หมาป่ากิน....กินตุ๊กตา”
คำตอบธรรมดาของโต้งที่ไม่ธรรมดาสำหรับฉัน เพราะทำเอาฉันขนแขนลุกซู่ขึ้นมาอีก ระงับความหวาดหวั่นอันบอกไม่ถูกเอาไว้ ฝืนยิ้มให้แก
“หมาป่ากินคนต่างหาก ไม่ใช่ตุ๊กตา”
“หมาป่ากินตุ๊กตา...ตุ๊กตาชอบมาหยิกโต้ง กิน ๆ ๆ กินมันให้หมด ตุ๊กตาตัวไม่ดี”
“มะ...มีตุ๊กตาตัวไม่ดีอยู่ในบ้านเหรอโต้ง” ฉันถามแกเสียงหวิว กระเถิบตัวเข้าหาเด็กชาย ขณะขนแขนลุกซู่ขึ้นมาครั้งแล้วครั้งเล่า
“ตุ๊กตาอยู่ตรงไหนบ้าง” กลั้นใจถามเสียงสั่นพลางหันมองหน้ามองหลังอย่างหวาดระแวง ภาพตุ๊กตาเก่า ๆ ห้อยแขวน กองสุมอยู่ตามพื้นในห้องโถงเป็นกอง ๆ เต็มไปหมด ปรากฏชัดอยู่ในมโนความคิด ไหนจะตุ๊กตาเสียกะบานที่แต่ละตัวหัวขาดแขนกุดพิกลพิการพวกนั้นอีก ความคิดหลอกหลอนตัวเองของฉันเริ่มทำงาน คิดเสียจนราวกับเห็นพวกมันกำลังพากันขยับเขยื้อนเคลื่อนตัว บ้างก็ไต่ลงมาตามข้างฝา บ้างก็หันหน้ามามองทางฉัน แล้วพากันเดินโคลงเคลงโซซัดโซเซเข้ามา
“นั่นไง ยืนรออยู่รอบเตียงเลย ตุ๊กตายืนรอแกล้งโต้ง”
ฉันผวา เหลือบมองตามมือน้อย ๆ ของโต้ง ที่ชี้นิ้วไปรอบเตียง และราวกับภาพหลอนในความคิดของฉันเอง จะปรากฏเป็นรูปร่างให้เห็นกับตาว่าบรรดาตุ๊กตากำลังยืนรายล้อมรอบเตียงด้วยเรือนร่างที่เลือนราง
บ้าน่า...อย่าคิดอะไรฟุ้งซ่านให้ตัวเองหลอนแบบนี้สิ ฉันสะบัดศีรษะไล่ความคิดแบบนั้นออกไป พยายามบอกกับโต้งด้วยเสียงดังฟังชัดว่า
“ไม่มีตุ๊กตาอะไรหรอกจ้ะ มา...พี่จะอ่านนิทานให้ฟังนะ....กาลครั้งหนึ่ง....”
“ตุ๊กตาหยิกตรงนี้”
แต่ดูเหมือนไม่อาจห้ามอีกฝ่ายได้ เด็กชายที่นอนเคียงข้างกับฉันอยู่ ยกแขนข้างหนึ่งของแกขึ้น ถลกแขนเสื้อถึงหัวไหล่ข้างนั้น ชี้ให้ดูรอยเขียว ๆ ม่วง ๆ เป็นจ้ำช้ำสองรอยบนต้นแขนของแก ซึ่งฉันเห็นตั้งแต่ตอนที่แกแก้ผ้าอาบน้ำเมื่อเย็นวันนี้แล้ว แต่ตอนนั้นคิดว่าน่าจะเป็นรอยจ้ำเลือดจากโรคประจำตัวของแกเอง
ฉันละมือจากหนังสือจับแขนข้างนั้นของแกมาดูอย่างพิจารณา ก็เห็นว่าเป็นรอยช้ำเหมือนถูกอะไรกระแทกจนห้อเลือด หรือถูกบิดแขนอย่างแรงมากกว่าจะเป็นรอยหยิก ลูบรอยช้ำนั้นเบา ๆ พร้อมกับเป่าลมพรวดลงไป
“ไม่มีตุ๊กตามาหยิกหรอกจ้ะ โต้งอาจเอาแขนไปโดนตู้ตรงนั้นก็ได้ พี่เป่าคาถาให้นะ โอมเพี้ยง...หาย”
เด็กน้อยจ้องหน้าฉัน ไม่พูดอะไรอีก แกดึงแขนกลับ ฉันจึงปล่อยแขนแกกลับไป ไม่รั้งเอาไว้อีก เห็นแกเลื่อนสายตามาที่หนังสือนิทาน เป็นเชิงว่าต้องการให้ฉันอ่านต่อ ฉันจึงเอื้อมมือไปหยิบหมอนมาซ้อนกันสองใบ เขยิบตัวขึ้นกึ่งนั่งกึ่งนอน แล้วหยิบหนังสือมาเปิดอ่านช้า ๆ ให้แกฟัง เป็นการออกเสียงอ่านเพื่อกล่อมให้โต้งนอนหลับ และเป็นทั้งการรวบรวมสมาธิของตัวเองให้สงบนิ่งอยู่กับตัวหนังสือ จิตใจจะได้ไม่วอกแวกไปคิดถึงเรื่องน่ากลัวอย่างอื่นอีก
จนเมื่อฉันอ่านหนังสือจบเล่มลง ก้มลงมองโต้ง ก็พบว่าเด็กน้อยที่นอนฟังแนบชิดติดกับฉันอยู่ได้หลับไปแล้ว ฉันจึงค่อยวางหนังสือลงบนที่นอน ถอนหายใจเบา ๆ พลางกวาดสายตามองในห้องไปเรื่อยเปื่อย พลันสายตาก็ไปสะดุดอยู่กับภาพถ่ายเก่าคร่ำ ใส่กรอบแขวนติดผนังห้องภาพหนึ่งข้างเตียงนอน มันเป็นภาพของนางรำในชุดตัวนาง สวมชฏาสีทองเหลืองอร่าม กำลังทำท่าร่ายรำอยู่ด้านหน้า มีฉากหลังเป็นพานหมาก และโต๊ะหมู่บูชาแบบโบราณ...คนทรงเจ้า
อาถรรพ์คนเล่นของ ตอน คนทรงเจ้า EP.4