คนเฝ้าหนังสือ ตอนที่ 16

กระทู้สนทนา
หากไม่มีก้อนหิน ไม่มีเศษขนมปัง หากเราพลัดหลงจากเส้นทางกลับคืนสู่บ้านเหมือนกับสองพี่น้อง ฮานเซล กับ เกรเทล แล้วล่ะก็ เราอาจหลงเพลินเดินไปตามกลิ่นหอมอันยั่วยวน สีสันสวยสดล่อลวง กับรสหวานชวนติดใจของบ้านขนมที่ตั้งอยู่กลางป่าใหญ่อันแสนวุ่นวาย

ทางเดินที่ทำจากเยลลี่ผลไม้นุ่มหยุ่นชักชวนให้ก้าวไปอย่างไม่รอช้า ประตูที่ทำจากขนมปังกรอบเคลือบน้ำตาลเปิดอ้าอย่างเชิญชวน กำแพงที่ทำด้วยขนมน้ำตาลหลากสี รวมไปถึงแผ่นกระเบื้องมุงหลังคา โต๊ะ เก้าอี้ ทุกสิ่งทุกอย่างภายในบ้านเท่าที่เราจะคิดออก พวกมันล้วนมีสีสด และรสหวานล้ำอย่างไม่ต้องสงสัย

เราจะหลงเพลิดเพลินไปกับ รูป รส กลิ่น สี และเมื่อรู้สึกตัวอีกครั้ง เราก็จะอ้วนพี ภายในท้องอัดเต็มไปด้วยขนมหวานราวกับถูกยัดไส้ สุดท้ายเราก็จะไปจบลงภายในเตาอบขนมของแม่มดชั่วร้ายซึ่งถูกซุกซ่อนอยู่ภายในบ้านหลังเดียวกันนี้ เราจะถูกอบจนสุก และกลายเป็นส่วนหนึ่งของบ้านขนมหวานซึ่งเติบโตไม่เคยหยุด

มือของ พอ สัมผัสกับกลอนประตูรั้ว แต่จินตนาการของเขากลับหลุดลอยออกไปสู่ทุ่งหญ้าเขียวขจี

'ฉันเคยมาที่นี่แล้ว'

ท้องทุ่งที่มีฝูงแกะยืนและเล็มหญ้า ทุ่งหญ้าที่ค่อยๆ เคลื่อนใกล้เข้ามาในความฝันครั้งก่อนๆ เขาคิดว่ามันน่าจะเป็นส่วนหนึ่งของนิทานสักเรื่อง แต่เพราะมันมีนิทานมากเหลือเกินที่เกิดขึ้นบนท้องทุ่งแบบนี้ เขาจึงไม่อาจแน่ใจ แต่ตอนนี้มันกลายสภาพเป็นเพียงทุ่งร้าง ไม่มีแกะหลงเหลือให้เห็นแม้แต่ตัวเดียว

'มันเป็นเรื่องอะไรกัน' แม้จะถามตนเองอย่างนั้น แต่ลึกๆ ลงไป เขามั่นใจว่าตัวเองรู้คำตอบ และคำตอบนั้นก็คงจะเป็นสิ่งอื่นใดไปไม่ได้ นอกจากนิทานเรื่องที่เขารู้จักคุ้นเคยเป็นอย่างดี

ฝูงแกะ หมาป่าลูฟ อะตอม กับเรื่องที่เขาโดนเพื่อนกลั่นแกล้ง

ทั้งหมดหมุนวนไปมา ก่อนกลายเป็นชิ้นส่วนเล็กๆ ของภาพต่อ ของนิทาน ที่ค่อยๆ ถูกวางลงในตำแหน่งต่างๆ อย่างถูกต้อง

ภาพทั้งหมดพลันกระจ่าง และก็เป็นอย่างที่คาด เขาก็รู้จักนิทานเรื่องนี้เป็นอย่างดี

#####

อะตอมยืนหันหลังชนเสาไฟฟ้าที่สุดซอยตัน เขาไม่รู้ว่าตัวเองวิ่งหนีมาอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร บ้านสองข้างทางเป็นกำแพงสูงที่ถูกต่อเติมเพิ่มจากของเดิม จนมองดูราวกับเป็นป้อมปราการ หรือกำแพงปราสาทในเทพนิยาย บ้านทุกหลังปิดเงียบสนิท ไร้ร่องรอยของสรรพชีวิตใดๆ ทั้งสิ้น

นอกจากสุนัขมอมแมมตัวโตที่ยืนอยู่เบื้องหน้าเท่านั้น

“...ช่วย...ด้วย...” เขาส่งเสียงร้อง แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง มันไม่ดังอย่างที่ต้องการ

มันกำลังแยกเขี้ยว ตั้งท่า แต่ไม่ส่งเสียง เพราะรู้ว่าไม่จำเป็นต้องทำอย่างนั้น มันไม่ต้องขู่ หรือทำให้ตัวเองดูน่ากลัวไปกว่านี้ เพราะกลิ่นที่โชยออกมาจากตัวเหยื่อซึ่งถูกต้อนให้จนมุมบอกชัดว่าเขารู้เรื่องพวกนี้ดีอยู่แล้ว

มันคือขนุน แต่ไม่ใช่ขนุนที่เขารู้จัก หูทั้งสองของมันตั้งชัน ดวงตาส่องแสงสีแดงฉาน ท่าทางของมันคล้ายคลึงกับหมาป่าโดดเดี่ยวที่อาศัยอยู่ในหุบเขาเดียวดายซึ่งเขาเคยดูในสารคดี หมาป่าที่ยังคงใช้ชีวิตเป็นหนึ่งเดียวกันกับธรรมชาติ สุนัขที่ไม่เคยผ่านการอยู่ร่วมกับมนุษย์มาก่อน

เขี้ยวในปากของมันวาววับอย่างไม่น่าเป็นไปได้

เขามองเชือกจูงที่ตกอยู่บนพื้นข้างตัวมันอย่างหมดหวัง ไม่มีทางที่เขาจะแย่งคืนมาได้ และถึงทำได้เขาก็ไม่แน่ใจว่าสถานการณ์จะดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ในตอนนี้หรือไม่ 'ท่าทางมันน่ากลัวเหลือเกิน' เขาพยายามมองหาทางหนีอื่น แล้วในจังหวะนั้นเอง มันก็พุ่งจู่โจมเข้ามา

ถึงแม้จิตใจของมันจะเปลี่ยนแปลงไป แต่ร่างกายนั้นยังคงเป็นของเดิม จึงขยับได้เชื่องช้าไม่ทันใจ คมเขี้ยวนั้นเฉียดผ่านเท้าของเขาไปเพียงนิดเดียว และเขาก็ไม่รู้ว่าตัวเองปีนขึ้นไปบนเสาไฟฟ้าด้วยมือเปล่าแบบนี้ได้อย่างไร ตามแขนขาของเขาเกิดรอยถลอกมีเลือดซึมหลายแห่ง

“...ช่วย...ด้วย...” เขาส่งเสียงร้องอีกครั้งอย่างหมดหวัง

เขาต้องใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดเท่าที่มี เกาะเสาไฟฟ้าเอาไว้อย่างสุดชีวิต การต่อสู้ที่ไม่มีวันได้รับชัยชนะได้เริ่มต้นขึ้น หากเขาหมดแรงเมื่อไร คงตกลงไปและโดนมันกัดอย่างไม่ต้องสงสัย และด้วยท่าทางของมันในตอนนิ้ เขาจึงไม่แน่ใจว่าจะจบลงแค่การได้แผล เขากลัวว่ามันอาจจะเป็นตอนจบที่เลวร้ายยิ่งกว่านั้นมาก

'บางทีฉันอาจจะต้องตายก็เป็นได้'

ไม่บ่อยครั้งนักที่เด็กคนหนึ่งจะได้นึกถึงเรื่องนี้อย่างจริงจัง และพวกเขาก็คงไม่อาจนึกอะไรได้มากนัก นอกจากว่าบางสิ่งที่เป็นของเขากำลังจะสิ้นสุดลง

สำหรับพวกเขาแล้ว ชีวิตก็คล้ายกับสิ่งลี้ลับที่อยู่ห่างไกล และต้องใช้เวลาอีกเนิ่นนานกว่าจะได้เรียนรู้ว่า พวกเขาจะไม่รู้อะไรเพิ่มเติมเกี่ยวกับมันมากนัก แม้จะใช้เวลาที่เหลืออีกทั้งชีวิตกับมันแล้วก็ตาม

ซึ่งตอนนี้ดูเหมือนว่าเวลาทั้งชีวิตของเขา อาจจะเหลืออยู่อีกเพียงไม่กี่อึดใจเท่านั้น

“เฮ้ย” เสียงของใครอีกคนดังขึ้น

พอ ร้องตะโกน แต่ก็ไม่กล้าที่จะเข้าไปใกล้จนเกินไป ขนุนแค่เพียงเหลือบตามองโดยไม่เคลื่อนไหว ที่จริงแล้วมันหันมามองตั้งแต่ก่อนที่เขาจะส่งเสียงออกไปเสียอีก มันได้ทำการเลือกเหยื่อเอาไว้เรียบร้อยแล้ว และการมาถึงของเด็กอีกคนก็ไม่ได้ทำให้อะไรเปลี่ยนแปลงไปมากนัก เด็กไร้เขี้ยวเล็บสองคนไม่อาจนับเป็นภัยคุกคามต่อมันแม้แต่น้อย

มันยกจมูกสูดดมไปในอากาศ ภายในนั้นมีกลิ่นต่างๆ มากมาย แต่ที่ชัดเจนที่สุดยังคงเป็นกลิ่นของความหวาดกลัวจากตัวเหยื่อที่ฟุ้งกระจายอยู่ทั่วไป

'ไม่ มนุษย์ไม่ใช่ทั้งเหยื่อ หรือศัตรู' เสียงเล็กๆ ที่หมาป่าไม่สนใจดังมาจากที่แสนไกล

มันเคยรู้จักเพียงโลกในยามตื่น กับโลกในความฝัน แต่ตอนนี้มันได้รู้จักกับโลกอีกแบบที่แตกต่างออกไป โลกที่ถูกแบ่งออกเป็นสองฝ่าย ผู้ล่า กับผู้ถูกล่า ไม่มีอาหารรออยู่ในชาม ไม่มีขนม ไม่มีของเล่น ไม่มีการเดินเที่ยว ไม่มีเจ้านาย เป็นโลกที่มีขอบคมเหมือนกับเขี้ยวในปากของมัน

'นั่นมันก็แค่ฟันที่เอาไว้ใช้เคี้ยวอาหารเม็ดเท่านั้น' เสียงเล็กๆ นั้นโวย

พอ มองดูสายจูงที่ยังคาอยู่บนตัวขนุน มันดูเหมือนจะเป็นความคิดที่ดี แต่เขาเกรงว่าตนเองคงไม่เร็วพอที่จะทำอย่างนั้น ภายใต้ดวงตาสีแดงสงบนิ่งที่เหลียวมองมา ภาพที่เขาเห็นคือตัวเองยื่นมือออกไปกำลังจะคว้าเส้นเชือก แล้วปากซึ่งเต็มไปด้วยเขี้ยวของมันก็หันกลับมางับเข้าเต็มแรง พร้อมกับสีแดงสาดกระจายไปทั่ว

'ฉันกลัวมัน' โดยเฉพาะดวงตาที่เหมือนกับของหมาป่าลูฟคู่นั้น เขาลองคิดแผนอื่น

“ฉันจะล่อมัน แล้วนายรีบกระโดดลงมา หลังจากนั้นก็วิ่งแยกกันไปคนละทางดีไหม”

อะตอมรีบส่ายหน้า เพราะมั่นใจว่ามันต้องกระโจนเข้าใส่เขาทันทีที่ลงจากเสาแน่ แต่เขาก็รู้ตัวดีว่าไม่อาจทนอยู่บนนี้ได้อีกนานนัก เพราะเรี่ยวแรงในร่างกายที่เกิดจากการหลั่งของสารเคมีนานาชนิด อันมีต้นเหตุมาจากความตื่นกลัวกำลังหดหายไปอย่างรวดเร็ว

พอ หันมองรอบกายอีกครั้งเผื่อเจออะไรที่พอจะนำมาใช้เป็นอาวุธ หรืออย่างน้อยก็ใช้ป้องกันตัว แต่ไม่พบอะไรสักอย่าง ท้องฟ้าก็ยิ่งมืดมิดลงไปเรื่อยๆ สิ่งเดียวที่เขามีอยู่ในตอนนี้ คือนิทานเรื่องหนึ่งภายในหัว

'ช่วยด้วย หมาป่า ช่วยด้วย หมาป่า' เสียงร้องโวยวายของเด็กชายดังลั่นมาจากทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ ทำเอาทั้งหมู่บ้านวุ่นวาย ต่างคนต่างคว้าสิ่งของที่พอจะใช้แทนอาวุธซึ่งอยู่ใกล้มือ ก่อนเร่งรีบออกไปเพื่อช่วยกันปกป้องฝูงแกะ

'ฮ่า ฮ่า ฮ่า' ไม่มีหมาป่า มีแค่เพียงเสียงหัวเราะลั่นของเด็กชาย และเป็นอยู่อย่างนั้นอีกหลายครั้งจนชาวบ้านทั้งหลายต่างระอาใจ

'แบบเดียวกับที่ฉันโดนอะตอมแกล้ง'

แล้ววันหนึ่งหมาป่าก็โผล่มาจริงๆ 'ฉันเห็นมันซ่อนตัวอยู่ภายในพุ่มไม้ประหลาด และมองเห็นเพียงดวงตาฉลาดแกมโกงคู่นั้น' เด็กชายส่งเสียงร้องตะโกนเอะอะแทบตาย แต่ก็ไม่มีชาวบ้านคนใดเชื่อถืออีกแล้ว เสียงแกะกรีดร้องระงม ก่อนติดตามมาด้วยความเงียบ หลงเหลือไว้เพียงคราบน้ำตาของเด็กเลี้ยงแกะ

แล้วนิทานก็จบลง

ในนิทาน หมาป่าไม่ได้ทำอะไรเด็กเลี้ยงแกะ หรือที่จริงแล้ว พ่อแม่อาจไม่อยากบอกความจริงกับลูกๆ ของตัวเอง ว่าหมาป่าได้กินสิ่งอื่นใดเข้าไปอีกหรือไม่นอกจากแกะฝูงนั้น

ทั้งหมดเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาต้องรีบออกตามหาที่มาของเสียงร้อง 'ช่วยด้วย' จนได้มาพบกับเพื่อน และสุนัขตัวนี้เข้า เขาไม่รู้ว่าเหตุการณ์ที่เหมือนกับในนิทานเรื่อง 'เด็กเลี้ยงแกะ' เกิดขึ้นกับพวกเขาได้อย่างไร แต่ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือต้องรีบหาทางรอดไปให้ได้ก่อน

'ถ้าเป็นในนิทาน' เขาคิดอย่างเร่งรีบ ถ้าเป็นนิทานเขาจะเอาตัวรอดอย่างไร

'กริ๊ง' เสียงกระดิ่งดังมาในสายลม เด็กทั้งสองต่างหันไปทางต้นซอย แม้แต่ขนุนก็ยังอดไม่ได้ที่จะเหลียวมองไปตามที่มาของเสียงนั้น

ชั่วแวบหนึ่ง พอ คิดว่าเขาได้เห็นอะไรที่แปลกประหลาดที่สุด เงาลางเลือนตัดกับแสงสุดท้ายของวันที่ส่องมาจากทางด้านหลัง 'ม้า' แน่นอนที่มันต้องเป็นม้าขาว กับเจ้าชายภายใต้ชุดเกราะแวววาวอย่างไม่ต้องสงสัย มันคือสิ่งที่เขากำลังมองหา ยามเมื่อตกอยู่ในอันตราย ไม่ว่าจะเป็นนิทานเรื่องใดๆ

เจ้าชายขี่ม้าขาว

เขากระพริบตา แล้วภาพลวงนั้นก็หายวับไป ความเป็นจริงเข้ามาแทนที่ ชายแก่คนหนึ่ง นั่งอยู่บนอานของจักรยานเก่าๆ มีถุงกับข้าวใส่อยู่ในตระกร้าหน้ารถ

อัศวินม้าขาว ในโลกแห่งความเป็นจริง
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่