มหาภัยพิบัติ 7 วันล้างโลก 📍ตอนที่ ๓ สิ่งที่เห็นนั้นมันคืออะไร 📍



ฉันรู้สึกตัวเบาสบายเหมือนลอยอยู่บนปุยนุ่น ภาพตรงหน้านั้นสว่างจ้าไปหมด แสงสีขาวนวลๆ กะพริบไปมา เดี๋ยวเข้มเดี๋ยวอ่อน สลับกันไป สักพักหนึ่งก็เหมือนฉายภาพไปที่ไหนสักแห่งที่มืดสนิท พอฉันลองจ้องมองไปที่ภาพตรงหน้าดีๆ ภาพตรงหน้าก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป มันค่อยๆ ชัดขึ้น ชัดขึ้น จนฉันเห็นภาพชัดเจน เป็นปากถ้ำ ที่สร้างจากหินสีน้ำตาลแดงปกคลุมไปทั่วบริเวณ

พอจ้องมองเข้าไปที่ด้านในปากถ้ำนั้น ลึกเข้าไปข้างใน มันเหมือนมีอะไรบางอย่างกำลังเคลื่อนไหวอยู่ แต่ไม่รู้ว่าเป็นอะไร สิ่งนั้นมันทำให้ฉันสงสัย จนต้องเพ่งสายตามองลึกเข้าไปอีก ยิ่งจ้องมองลึกเข้าไปมากเท่าไหร่ ภาพตรงหน้าก็ค่อยๆ ใกล้ขึ้น ใกล้ขึ้น จนฉันเห็นอะไรบางอย่างที่เงาวับและมีสีเขียวเข้ม พอภาพตรงหน้านั้นเคลื่อนใกล้เข้ามาอีก ฉันก็ยิ่งเห็นภาพนั้นชัดมากขึ้น เลยรู้ว่าสิ่งที่เห็นเมื่อกี้นั้น มันคือเกล็ดสีเขียวมรกตเหมือนเกล็ดงูอันใหญ่ที่เงาเลื่อม

มันกำลังเลื้อยผ่านไป ลำตัวที่เห็นอยู่นั้น บ่งบอกให้รู้ว่ามันมีขนาดใหญ่และยาวมากแค่ไหน พอมองไปสักพักก็เห็น วงกลมอันใหญ่สีเขียวเข้มเหมือนลูกแก้วปกคลุมเกือบเต็มปากถ้ำ มีส่วนที่เป็นสีขาวอยู่ขอบๆ ของวงกลมนั้น พอฉันเพ่งสายตามองเข้าไปใกล้อีก ฉันก็เห็นว่าวงกลมนั้นมันขยับได้ แล้วรู้สึกเหมือนมันกำลังจ้องมองมาทางนี้

เมื่อรู้ว่าสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้านั้นมันคือ ดวงเนตรสีเขียวเข้มขนาดใหญ่ ที่ดูน่ากลัวของดวงตาข้างหนึ่ง ที่กำลังจ้องมองกลับมาทางนี้ ด้วยความดุดัน ฉันก็สะดุ้งตกใจจนลืมตาขึ้นมาทันที ฉันรู้สึกเหมือนมือเท้าชาไปหมด ขนนี่ลุกซู่ขึ้นมาทั้งตัว หัวใจเต้นแรงมาก จนแทบจะกระเด็นออกมาจากอก

เมื่อกี้มันดวงตาเหรอ!! ทำไมน่ากลัวจัง” ฉันมองไปที่พระพุทธรูปตรงหน้า ก่อนที่จะก้มลงไปกราบลา และลุกขึ้นเดินเอาน้ำออกไปกรวดที่ต้นไม้ข้างบ้าน ด้วยใจที่ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ฉันได้แต่คิดว่า ทำไมการนั่งสมาธิครั้งนี้ ถึงได้เห็นภาพแบบนี้กันนะ

ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!

“ตะวันกูสวดมนต์เสร็จแล้วนะ ไปสวดต่อได้เลย” พอบอกน้องที่ประตูหน้าห้องเสร็จ ฉันก็เดินกลับเข้ามาในห้องของตัวเองทันที ได้แต่นั่งคิดและก็สงสัยว่าเป็นเพราะอะไรกันนะ ถึงได้เห็นภาพแบบนั้น

“ช่างมันเถอะ คงไม่มีอะไรหรอกมั้ง เขาคงแค่มาให้เห็นเฉยๆ” ฉันได้แต่ส่ายหน้า สะบัดหัวเอาความคิดพวกนี้ออกไป แล้วเดินมานั่งที่โต๊ะทำงานเปิดคอมพิวเตอร์ เพื่อแต่งนิยายของฉันที่แต่งค้างเอาไว้ต่อ เพราะอีกสามอาทิตย์ ก็จะถึงกำหนดส่งต้นฉบับให้กับทางสำนักพิมพ์แล้ว

ฉันชอบอ่านนิยายมาตั้งแต่เด็ก เคยฝันไว้ว่าในอนาคต ฉันอยากจะเป็นนักเขียนนิยาย เพราะจะได้เขียนในสิ่งที่ฉันอยากให้เป็นไปได้ตามใจฉัน และมันก็เป็นงานที่สะดวกต่อฉัน เพราะฉันเข้ากับคนอื่นได้ยาก เคยไปทำงานข้างนอกมาก็เยอะ ตอนแรกก็เหมือนจะดี แต่สุดท้ายก็มีปัญหากลับมาทุกที ไม่เป็นเพราะเพื่อนร่วมงาน ก็ต้องเป็นเพราะงานที่ทำ มันทำให้ฉันไม่ค่อยมีความสุขกับการทำงานเลย

งานที่ทำอยู่ในตอนนี้ ถือว่าเป็นงานที่ดีที่สุดแล้ว เพราะมันเป็นสิ่งที่ฉันชอบและสามารถทำงานคนเดียวได้ โดยไม่ต้องมีปัญหากับใคร ฉันจึงมีความสุขและรักงานนี้มาก ฉันเริ่มทำงานนี้มาได้สามปีแล้ว ไม่เคยมีวันไหนเลยที่ฉันจะเบื่อหรือไม่ชอบมัน ฉันชอบแต่งนิยายแนวแฟนตาซี ลึกลับ และแนวครอบครัว เคยลองแต่งแนวรักหวานแหววแล้ว แต่มันคงไม่ใช่ทางของฉัน เพราะฉันแต่งออกมาได้ห่วยมากกก!!  

ฉันหันไปมองเวลาที่มุมขวามือของหน้าจอคอมพิวเตอร์ บอกเป็นเวลา จะห้าโมงเย็นแล้ว เร็วเหมือนกันนะเนี่ย เวลาที่ฉันทำงานหรือจมอยู่กับนิยายที่ตัวเองแต่ง มักจะลืมเวลาหรือสิ่งรอบตัวไปหมดทุกที ตอนนี้น้องของฉันน่าจะสวดมนต์เสร็จแล้ว ฉันเลยเซฟงานและปิดคอมพิวเตอร์ ก่อนจะเดินออกไปจากห้อง

ตะวันทำอะไรอยู่! ไปตลาดกัน! กูหิวข้าวแล้ว!” ฉันเดินออกมาจากห้องของตัวเอง แล้วไปหยุดยืนมองอยู่ที่หน้าต่างห้องข้างๆ เห็นน้องของฉันนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน ที่ติดกับหน้าต่างห้องกำลังนั่งขีดๆ เขียนๆ อะไรอยู่

“แป๊บ! จะเสร็จละ” น้องของฉันเงยหน้าขึ้นมาตอบแล้วก้มหน้าลงไปเขียนงานต่อ ฉันเลยเดินไปเปิดตู้เย็นแล้วหยิบน้ำออกมานั่งดื่มรอที่โต๊ะอาหาร

“ราตรี วันนี้จะกินอะไรกันดีวะ” น้องของฉันเดินถือพวงกุญแจรถออกมาวางไว้ที่โต๊ะ แล้วเดินไปหยิบขวดน้ำในตู้เย็นออกมานั่งดื่มอยู่ข้างๆ

“ไม่รู้ดิ อยากกินอะไรล่ะ ไปดูที่ตลาดก่อนก็ได้ ว่ามีอะไรกินบ้าง หรือกินส้มตำ ไก่ทอดดี”

“ส้มตำ ไก่ทอด อีกล่ะ เพิ่งกินไปเมื่อวันก่อนเองนะ”

“เอ้า! ก็กูชอบ ก็รู้ หรือจะไม่กิน”

“เออๆ อยากกินอะไรก็กินไป” น้องของฉันพยักหน้ารับ แล้วลุกขึ้นเดินออกไปนอกบ้าน ฉันก็เดินตามไปเปิดประตูรั้วบ้านให้น้องขี่มอเตอร์ไซค์ออกไปด้านนอก แล้วจัดการปิดล็อกประตูรั้วบ้านให้เรียบร้อย ก่อนจะเดินขึ้นไปซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์

ขณะที่นั่งรถออกมานอกซอย ฉันก็รู้สึกขนลุกแปลกๆ เลยหันไปมองซ้ายมองขวา ว่ามีอะไรไหม แต่ก็ไม่เห็นจะมีอะไร ฉันเลยนั่งเงียบมองตรงไปข้างหน้าอย่างเดียว มือก็กำชายเสื้อของตัวเองเอาไว้แน่น แล้วพูดขอในใจ “ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ จงคุ้มครองตัวของฉันกับน้องให้ปลอดภัยด้วยเถิด”  

เมื่อพวกเราไปถึงตลาด ฉันก็เดินไปที่ร้านส้มตำเจ้าประจำ ที่ฉันมักจะไปซื้อกินอยู่บ่อยๆ จนแม่ค้าจำหน้าของฉันได้แล้ว

  “พี่ตำมั่ว1 ป่า1 ขนมจีน2 เดี๋ยวมาเอานะ” เมื่อสั่งเสร็จแม่ค้าก็พยักหน้ารับ ฉันเลยเดินออกไปซื้อไก่ทอดต่อ เดินมาได้สักพัก ฉันก็เห็นเงาดำๆ ไวๆ วิ่งผ่านหน้าฉันไป พอจ้องมองตามไป ก็ไม่เห็นอะไรแล้ว ฉันได้แต่ขมวดคิ้ว รีบเดินกลับไปที่ร้านส้มตำทันที

“ตะวัน เสร็จละ ปะกลับบ้านกันเถอะ”

“ทำไมวันนี้กลับเร็วจังวะ เพิ่งเดินเองนะ” น้องของฉันถามขึ้นมาด้วยความสงสัย เพราะปกติเราจะเดินตลาดกันนานกว่านี้ พอซื้อของกินเสร็จ เราก็จะเดินดูของอีกสักพักถึงจะกลับบ้าน

“เออน่า กลับได้แล้ว นี่ฟ้าก็เริ่มมืดมากแล้ว วันนี้กูรู้สึกไม่ค่อยดีเลยว่ะ รีบกลับบ้านกันเถอะ” เมื่อฉันพูดจบ น้องของฉันก็ไม่ได้ว่าอะไร ได้แต่พยักหน้ารับ และเดินตามกันกลับไปที่รถมอเตอร์ไซค์ที่จอดไว้

เมื่อมาถึงหน้าบ้าน ฉันก็รีบเข้าไปเปิดประตูรั้วบ้านให้น้องของฉัน ขี่รถเข้าไปจอดในบ้าน ส่วนตัวของฉัน ก็รีบปิดประตูรั้วบ้านทันที แล้วพูดขึ้น “เจ้าที่ เจ้าทาง เจ้าบ้าน เจ้าเรือน ช่วยปกปักรักษา ดูแลบ้านและผู้อยู่อาศัยด้วยเทอญ ขออย่าให้สิ่งไม่ดีสิ่งชั่วร้าย หรืออะไรก็ตามที่ตามตัวพวกเรามา เข้ามาในบ้านนี้ได้ ขอให้พวกท่านช่วยขับไล่ออกไปด้วยเถิด

เมื่อพูดจบ ฉันก็ปิดและล็อกประตูรั้วบ้านทันที ฉันมองเห็นเงาดำๆ ผ่านทางช่องประตูรั้วบ้าน เงานั้นยืนอยู่นอกรั้วบ้าน ไม่สามารถเข้ามาได้ ฉันจึงรีบหันหลังเดินกลับเข้าไปในบ้านทันที

ขณะที่กำลังเดินเข้าบ้าน ฉันก็รู้สึกเหมือนมีลมวูบหนึ่งพัดผ่านร่างของฉันออกไป พอฉันหันไปมองตามทิศทางของลมที่พัดผ่านไปนั้น ก็เห็นเงาโปร่งแสงสีขาวนวลๆ สองสามเงายืนอยู่ที่หน้าประตูรั้วบ้าน ฉันจึงยิ้มออกมาด้วยความโล่งใจ แล้วยกมือขึ้นมาไหว้ เพื่อเป็นการขอบคุณ ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในบ้าน

“กว่าจะมานะ กูแกะจนเสร็จหมดแล้วเนี่ย” ฉันหันมองไปที่ส้มตำ ไก่ทอด ที่น้องของฉันเทใส่จานจัดวางเรียงไว้บนโต๊ะอาหารเรียบร้อยแล้ว ก่อนจะเดินเข้าไปนั่งที่โต๊ะอาหารเพื่อกินข้าวกัน

มีอะไรปะวะ?

ไม่มีอะไรหรอก แค่เห็นอะไรนิดหน่อยน่ะ แต่ว่าไม่มีอะไรแล้ว ยังไงช่วงนี้ก็ระวังตัวไว้หน่อยละกัน กูเห็นเงาดำๆ ตามพวกเรามาตั้งแต่ที่ตลาดแล้ว แต่เข้ามาในบ้านไม่ได้หรอก ไม่รู้ว่าตามใครมากูหรือว่า!

“เออๆ ดีนะที่มันเข้ามาไม่ได้ ก็อย่าไปคิดมากเลย กูว่าคงไม่มีอะไรหรอกมั้ง”

“มันก็ไม่แน่นะ จำที่หลวงพ่อท่านเตือนพวกเราเมื่อเช้านี้ไม่ได้เหรอ ระวังไว้ก่อนอะดีแล้ว อ้อ…แล้วก็อย่าลืมห้อยพระไว้ด้วยล่ะ เวลาไปไหนมาไหนจะได้ปลอดภัย” 

ฉันเห็นน้องของฉันมันพยักหน้ารับ เป็นการตอบรับ ว่ารับรู้ในสิ่งที่ได้บอกไปแล้ว

“เออ…ราตรี กูลืมบอกไป พรุ่งนี้กูต้องเข้าไซต์งานแต่เช้าเลยนะ พี่ที่ทำงานเขาโทรมาตาม กูเลยนั่งปั่นงานเพิ่งเสร็จ เมื่อตอนที่มาตามไปตลาดนี่แหละ”

“อ้าวเหรอ ปกติก็เห็นให้คนอื่นเข้าไปแทนนี่”

“ก็ใช่ ปกติมีคนเข้าแทน แต่ครั้งนี้งานมันเร่ง คนที่ทำให้เขาก็ติดธุระเลยไปแทนไม่ได้ กูก็เลยต้องไปเอง” ฉันได้แต่พยักหน้ารับอย่างเข้าใจ

“ยังไงก็ระวังตัวด้วยล่ะ อย่าลืมห้อยพระไปด้วยนะ”

“รู้แล้วน่า ไม่ต้องห่วงหรอก แค่ไปวัดขนาดห้อง และคุยกับลูกค้าว่าอยากได้แบบไหน กูจะได้ออกแบบถูก ถ้าคุยเสร็จกูก็จะกลับบ้านเลย”

หลังจากกินข้าวทำอะไรเสร็จ พวกเราก็แยกย้ายกันกลับเข้าห้อง ฉันหยิบมือถือขึ้นมาดูเวลา นี่ก็ปาไปสามทุ่มครึ่งแล้ว ไปอาบน้ำดีกว่า เมื่ออาบน้ำให้สมองปลอดโปร่งและร่างกายสดชื่นแล้ว ฉันก็หันไปมองโต๊ะทำงานที่อยู่ปลายเตียงกับข้างๆ ที่เป็นชั้นวางหนังสือ กำลังคิดว่าคืนนี้จะทำงานต่อ หรือจะอ่านนิยายก่อนนอนดี

เมื่อตัดสินใจได้แล้ว ฉันก็เดินไปที่ชั้นวางหนังสือ แล้วจ้องมองไปที่หนังสือ ที่ถูกวางเรียงรายอยู่บนชั้นวางหนังสืออย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ฉันมีความสุขทุกครั้งที่ได้เห็นมัน ฉันชอบอ่านนิยายมาก ถึงขนาดเก็บสะสมไว้เป็นตู้ๆ หนังสือของฉันถูกวางแยกหมวดหมู่เอาไว้อย่างสวยงาม มีทุกแนว ตั้งแต่นิยายแนวอีโรติก แนวรักหวานแหวว แนวระทึกขวัญสยองขวัญไปจนผี หรือแนวจีน มีทั้งแบบเล่มเดียวจบหรือแบบยกเซต ฉันก็ตามเก็บจนครบ แม้แต่บางเล่มที่ว่าหายากหรือราคาสูง ฉันก็ยังมีไว้ในครอบครอง อย่างน้อยๆ ขอแค่ได้มองก็พอใจแล้ว

“วันนี้อ่านนิยายแนวไหนดีน้า” ฉันลากนิ้วไปตามสันหนังสือเล่มต่างๆ ที่ถูกวางเรียงอยู่ “งั้น…อ่านแนวรักหวานแหววก็แล้วกัน”

เมื่อเลือกเรื่องที่อยากอ่านได้แล้ว ฉันก็หยิบหนังสือนิยายติดมือขึ้นมา ก่อนจะเดินไปที่เตียงและล้มตัวลงนอน เปิดหนังสือนิยายอ่านอย่างมีความสุข ซึ่งไม่รู้ว่าตอนนี้อ่านมาเป็นเวลานานแค่ไหนแล้ว รู้เพียงว่าเริ่มง่วงนอนและหนังตาที่เคยเบิกกว้าง ก็เริ่มอ่อนแรงลง ตาจะปิดไม่ปิดแหล่

“หาวววว…ปึก” ฉันหาวออกมาระลอกใหญ่ เมื่อทนถ่างตาต่อไปอีกไม่ไหวแล้ว จึงต้องปิดหนังสือลง แล้ววางไว้ที่หัวเตียงนอน ก่อนที่จะเอามือขึ้นมาตบลงไปที่หมอนสองสามครั้ง แล้วล้มตัวลงนอน 

ในค่ำคืนที่มืดมิดหญิงสาวได้ดำดิ่งเข้าสู่ห่วงนิทราอย่างช้าๆ โดยไม่รู้เลยว่าในห้องที่สว่างจ้าไปด้วยดวงไฟของหลอดนีออนนั้น มีอะไรบางอย่าง ที่มีลักษณะเป็นสีขาวเหมือนไอควันโปร่งแสงขนาดใหญ่และยาวมาก กำลังขดตัวล้อมรอบร่างของเธอเอาไว้!!!

เว็บไซด์ 👇🏻👇🏻👇🏻

ReadAWrite รี้ดอะไร้ต์ 👉🏻 https://www.readawrite.com/a/b6ca1eb7a44f3d831f37294f45d81dda

Dek-D เด็กดี 👉🏻 https://writer.dek-d.com/story/writer/view.php?id=2255352

Fictionlog ฟิกชั่นล็อก 👉🏻 https://fictionlog.co/b/614c904feda9af001c2f65f0

📌ฝากติดตามผลงานของพวกเราด้วยนะคะ 😘 อ่านแล้วเป็นยังไงมาพูดคุยกันได้นะจ๊ะ

ติดตามเพิ่มเติมได้ที่เพจเฟซบุ๊ก 👇🏻 https://www.facebook.com/pkm.tongchan 🥰

#มหาภัยพิบัติ7วันล้างโลก
#กัมปนาทต้องจันทร์
#pkmtongchan
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่