สองใจในรักเดียว (รีไร้ท์)








สองใจในรักเดียว

ล. วิลิศมาหรา

 
วันนี้แล้วสินะ ที่เธอจะได้เจอ ‘เขา’

กอดกระชับผ้าพันคอสีหวานที่เธอบรรจงถักอย่างสุดฝีมือไว้แนบอก หากเขาได้เห็นมัน เขาจะชอบมันไหมนะ นี่เธอพยายามทำจนสุดฝีมือเลยล่ะ

หันมองออกไปนอกหน้าต่างรถไฟที่เธอกำลังโดยสารมา เพื่อไปพบกับ ‘เขา’ ณ สถานที่นัดพบ ปลายทางสถานีรถไฟหัวลำโพงที่กรุงเทพ พลางคิดคำนึงถึงรูปที่เห็นในโปรไฟล์สื่ออินเตอร์เนตชื่อดัง อาจไม่ใช่รูปจริงของเขาก็ได้ รูปภาพในนั้นหน้าตาของเขาดูอ่อนเยาว์ขาวใส ราวกับศิลปินสายเลือดเกาหลี เขาดูหล่อและเท่เกินไป...เกินกว่าจะเป็นผู้ชายเดินดินกินข้าวแกงธรรมดา ที่พบเห็นได้ทั่วไปตามถนนหนทางใต้ฟ้าเมืองไทย

แต่ไม่เห็นเป็นไรเลย ในเมื่อเขาคือคนที่เธอรัก...ต่อให้เขามีหูข้างเดียว ถึงเขาปากเบี้ยวจมูกแหว่ง เธอก็จะรักเขา และกำลังเดินทางไปบอกกับเขาด้วยตัวเอง

ทำไมเธอถึงรักเขา

เริ่มจากคืนอันเปล่าเปลี่ยว เจ็บปวด และเต็มไปด้วยความวิปโยคโศกเศร้า ในคืนนั้น ตอนที่กำลังเรียนอยู่ชั้น ม.4 พ่อกับแม่ของเธอเกิดทะเลาะกันดังลั่นบ้าน เหมือนคืนอื่น ๆ ต่างกันตรงที่คืนนี้มันหนักกว่าคืนอื่นไปมาก เพราะพ่อลงมือทำร้ายทุบตีแม่ และแม่ตะโกนใส่หน้าพ่อว่าจะฟ้องหย่า

เธอนั่งชันเข่างอตัวอยู่บนเตียงภายในห้องนอนของตัวเอง ฟังเสียงวาจาก่นด่าประหัตประหารกันด้วยคำพูด เสียงทุบตีเอะอะเอ็ดตะโร จนเธอต้องยกสองมือขึ้นอุดหู ปิดกั้นถ้อยคำหยาบคายของคนเคยรักกัน ซึ่งในที่สุดพวกเขาก็พากันมาถึงทางตัน ไม่สามารถก้าวข้ามความขัดแย้ง ความกดดันและปัญหาสารพัน ร่อนเอาความชื่นชมออกจากความเกลียดชังไม่ได้ ให้ความหมายกับคำว่ารักได้ยากยิ่งขึ้นทุกวัน สุดท้ายคนทั้งคู่ก็ต้องแยกทางกันเดิน

ช่างไม่ต่างอะไรกับเธอ พี่เต้ยเพิ่งมาบอกเลิกคบกันเมื่อเช้านี้เอง แม้เข้าใจไม่ได้เลยว่าตนเองทำอะไรผิดนักหนา จนทำให้เขาหมดรัก ถึงกับมาบอกเลิก แต่เธอก็หอบหัวใจอันบอบช้ำโผเผกลับมาบ้าน...เพียงเพื่อมาพบกับเหตุการณ์เลวร้ายซ้ำเติม ทำให้หัวใจซึ่งยับเยินอยู่แล้วย่ำแย่ลงไปอีก

ไม่คิดอยากอยู่ดูโลกโหดร้ายนี้อีกต่อไปแล้ว ตัดสินใจคว้ายานอนหลับที่ได้จากจิตแพทย์ ซึ่งแอบสะสมไว้จนมากพอขึ้นมาหนึ่งกำมือ ชูยาให้กล้องมือถือ แล้วอัปลง Facebook พร้อมเขียนข้อความลงไปว่า ‘ลาก่อน’ เธอจะแสดงวิธีหลบหนีจากความทุกข์ของตัวเองให้โลกได้รู้

ติ๊ง....

เสียงส่งข้อความดังระรัวขึ้นในเครื่องรับ เพราะข้อความหลากหลายถูกส่งเข้ามา บ้างก็ให้กำลังใจ บ้างก็ท้าทายยั่วยุให้เธอรีบตายเสียโดยเร็ว

"อย่าทำแบบนั้น" ข้อความจากผู้ชายคนหนึ่ง เพื่อนที่ไม่สนิทนักใน Facebook ถูกส่งมาให้แปลกใจ เธอชะงักหยุดดู

"คุยกันหน่อยสิ ผมอยากคุยกับคุณ เราเป็นเพื่อนกันนะ ผมเฝ้าดูคุณเสมอ"

อาจเป็นเพราะรูปโปรไฟล์ หรือเพราะถ้อยคำอันอ่อนโยนแสนสุภาพรื่นหูของเขาก็ไม่รู้ได้ ที่ทำให้เธอยอมรามือจากการกระทำอันไร้ซึ่งการยั้งคิดของตัวเองลงชั่วขณะหนึ่ง หันมาคุยกับเขาดู จากนั้นข้อความปลอบใจก็หลั่งไหลพรั่งพรู คำพูดของเขาดูน่าสนใจมากกว่าของใคร ๆ ในขณะนั้น

"เรามีชีวิตที่คล้ายกัน ผมเข้าใจความรู้สึกคุณ อย่ามองข้อความที่ส่งเสริมให้คุณคิดสั้น คุณอาจคิดว่าคุณไม่มีใคร แต่ที่จริงแล้ว อย่างน้อยคุณก็ยังมีผมอยู่อีกคน และมีคนที่รักคุณมากที่สุด พ่อกับแม่คุณไงล่ะ"

"พ่อกับแม่เหรอ..." เธอสะอื้นไห้ น้ำตาไหลพราก ๆ นึกถึงใบหน้าของคนทั้งคู่ขึ้นมาแวบหนึ่ง

"พวกเขาไม่รักฉันหรอก ถ้าเขารักลูกก็คงคิดถึงหัวอกของลูกบ้าง"

"ไม่มีพ่อแม่คนไหนที่ไม่รักลูก นี่เป็นความจริง คุณเองก็รู้ดี สองคนนั้นตอนนี้คงกำลังทุกข์ใจอยู่ไม่แพ้คุณ อย่าซ้ำเติมความทุกข์เพิ่มลงไปในครอบครัวของคุณอีกเลย ผู้ชายคนนั้นก็เหมือนกัน ถึงคุณตายไปเขาก็คงไม่เสียอกเสียใจอะไรมากมายนักหรอก เพราะเลิกกันแล้ว พ่อกับแม่คุณต่างหากที่คงเหมือนจะขาดใจตายตามคุณไป รวมทั้งผมด้วย"

"ทำไมคุณถึงรู้เรื่องฉัน แล้ว...แล้ว คุณจะมาขาดใจตายตามฉันทำไม"

ถามคนแปลกหน้าอย่างนึกฉงน ระคนอบอุ่นวาบขึ้นในใจ คำพูดคำจาของเขาช่วยผ่อนคลายอาการทุรนทุรายของเธอลงได้อย่างไม่น่าเชื่อ สัมผัสได้ถึงความจริงใจในทุกตัวอักษรของข้อความที่เขาส่งมา แม้จะหาคำตอบไม่ได้ว่า ทำไมถึงรู้สึกแบบนั้นก็ตาม อาจเพราะเขาคือขอนไม้เพียงขอนเดียวที่ลอยมาใกล้ ยามเมื่อเธอต้องลอยคออยู่กลางทะเลอย่างอ้างว้างตามลำพังกระมัง

"เพราะผมแคร์คุณไง ผมเฝ้าติดตามเรื่องราวของคุณอยู่ คุยกับผมนะครับ ผมยินดีรับฟังทุกอย่าง และจะอยู่เป็นเพื่อนคุณตลอดไป ผมจะไม่แค่แอบเมองดูคุณ แต่พร้อมจะอยู่เคียงข้างคุณ ไม่ให้คุณต้องรู้สึกอ้างว้างเงียบเหงาอยู่คนเดียวอีกต่อไปแล้ว"

ไว้ใจเขาได้ไหม...ตอนแรกเธอก็ไม่รู้ แต่ผ่านมานานสองปีเข้านี่แล้ว ที่เธอคุยกับเขา แม้เห็นเพียงรูปโปรไฟล์ดาราชายเกาหลีเพียงรูปเดียวใน Facebook ของเขาเท่านั้นก็ตาม

ไม่มีเรื่องราวอื่นใดของเขาคนนี้ให้ได้รู้อีก เพราะเขาไม่ยอมอัปสเตตัสลงในสื่อเอาเสียเลย แต่เธอก็ไว้ใจเขาอย่างง่ายดาย

รับรู้เพียงแค่ว่าเมื่อมีเขาก้าวเข้ามาในชีวิต เธอก็หยุดคิดทำร้ายตัวเองลง เขาเตือนสติเธอหลายอย่าง อธิบายด้วยว่าคนเราเมื่อหมดศรัทธาในความรักกันแล้ว ก็อย่าฝืนดันทุรังอยู่เลย อย่าทนเก็บความรู้สึกไว้อีก เพราะหากความอดทนต่อกันขาดผึงลงวันใด หายนะก็จะตามมา ปัญหาทุกอย่างย่อมมีทางออก แม้ทางออกนั้นจะเป็นปลายเปิดให้เส้นทางชีวิตแยกจากกันไปคนละทิศคนละทางก็ตาม

เขาว่าเรื่องของพ่อกับแม่เธอ เป็นเรื่องของผู้ใหญ่ ให้พวกท่านตัดสินใจกันเอง ส่วนเธอก็ทำหน้าที่ของตัวเองต่อไป เพราะไม่มีใครสามารถทำแทนให้ได้ ไม่ว่าพ่อกับแม่จะอยู่กับเธอด้วยหรือไม่

ตอนนี้เธอเรียนจบ ม.6 แล้ว และสอบเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัย ในคณะที่ใฝ่ฝันได้แล้วเช่นกัน ถึงพ่อกับแม่ไม่อยู่พร้อมหน้ากันเหมือนเก่า แต่เธอก็มีเขาคอยอยู่เคียงข้างเป็นกำลังใจให้ และขณะนี้เธอกำลังจะเดินทางไปบอกเขา พร้อมกับฉลองความสำเร็จขั้นหนึ่งของชีวิตด้วยกัน อนาคตของเธอที่มี บางทีก็อาจเป็นของเขาด้วยเหมือนกัน

"ผมจะใส่ชุดสีเหลืองทั้งชุด แต่จะถือดอกกุหลาบสีแดง"

เขาต้องบอกอย่างนั้นเพราะเธอไม่เคยเห็นตัวจริงเขามาก่อน ส่วนเธอเขาเคยเห็นในสื่อออนไลน์ และคิดว่าจำได้ไม่ผิดตัวอย่างแน่นอน

เสียงประชาสัมพันธ์ดังก้อง บอกว่ารถไฟได้วิ่งมาถึงจุดหมายปลายทางเรียบร้อยแล้ว เธอกระชับผ้าพันคอผืนรักไว้ในมือข้างหนึ่ง อีกข้างถือกระเป๋าเดินทาง...ก่อนจะก้าวลงจากประตูรถไฟด้วยฝีเท้าอันมั่นคง

เหลียวมองหาคนในชุดสีเหลืองทั้งชุดที่กำลังถือดอกกุหลาบสีแดง...แต่ไม่เจอ

"สวัสดีครับ"

เธอหันไปทางเสียงทักทันที พร้อมรอยยิ้มกว้าง 

"เขา" ดูดีกว่าที่คิดไว้มาก ใบหน้าสวยสะอาดกับทรงผมตัดสั้น ท่าทางทะมัดทะแมง มีความมั่นใจในตัวเอง

นึกถึงข้อความสุดท้ายที่เขาส่งมาก่อนนัดพบกัน

"ถ้าหากเจอผมแล้วไม่ใช่อย่างที่คิด เราก็เป็นเพื่อนกันได้ แต่เมื่อผมได้บอกตัวตนของผมให้รับรู้ในวันนี้แล้ว และถ้าตัดสินใจจะรักกัน ขอให้ใส่ชุดสีเหลืองทั้งชุดมานะครับ"

สองหญิงในชุดสีเหลืองอร่ามโผเข้ากอดกันแน่น...

จบ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่