จากที่ผมไม่เคยเชื่อเรื่องแบบนี้เท่าไรจนมาเจอกับตัวเองตอนคุณพ่อผมเสียด้วยโรคหัวใจวายที่โรงพยาบาล
จากเดิมที่คุณพ่อแข็งแรงมีอยู่วันหนึ่งได้ล้มในห้องน้ำ ช่วง 16.00 ผมได้ยินเสียงและรีบเข้าไปดู เจอพ่อนั่งคุกเข่าฟุบอยู่ในห้องน้ำท่าคล้ายๆก้มกราบ
จึงพยุงตัวพ่อขึ้นมาแล้วพยายามเรียกให้พ่อได้สติผ่านไปประมาณ 3 นาทีพ่อค่อยๆลืมตา และผมพยายามคุยกับพ่อ ถามว่าจำผมได้ไหม
พ่อก็พยักหน้า และค่อยๆลุกขึ้นเองได้โดยผมช่วยพยุงขึ้น หน้าผากพ่อกระแทกพื้นปูดแต่ไม่แตก รีบทำความสะอาดให้พ่อและพาพ่อไปหาหมอที่ รพ.
ระหว่างที่ขับรถมา รพ. ผมได้พยายามถามคุณพ่อว่า อาการเป็นยังไงบ้างตอนล้ม คุณพ่อบอกว่าหน้ามืดแล้วไม่รู้สึกตัวเลย แต่ตอนฟื้นขึ้นมาใจสั่นมาก
พอไปถึง รพ. ช่วง 17.00 เจ้าหน้าที่ได้ซักประวัติ ถึงโรคประจำตัว คุณพ่อเป็นเบาหวาน แต่อาการที่กำลังเป็นหลังจากที่ล้มคือ ใจสั่น คุณหมอได้ให้คุณพ่อนอนดูอาการ ที่ รพ. แต่ไม่ให้ญาติเฝ้าเพราะเป็น รพ.รัฐบาล เตียงรวม ผมได้แค่ส่งพ่อหน้าห้อง และก่อนกลับได้โทรบอกพ่อว่าจะกลับแล้ว คุณพ่อก็ได้สั่งให้เอาของที่จำเป็นมาให้ในวันรุ่งขึ้น และ กลับถึงบ้านให้ถ่ายรูปยางเบาหวานมาให้พยาบาลด้วย ผมกลับถึงบ้านก็ได้ถ่ายรูปยาส่งให้คุณพ่อผ่าน Line และโทรหาคุณพ่ออีกครั้งหลังจากวางสาย ผมได้ส่งกำลังใจผ่านข้อความใน Line ซึ่งปกติคุณพ่อจะอ่านตลอด (แต่รอบนี้คุณพ่อไม่อ่าน) ผมก็คิดว่าพ่อน่าจะไปสแกนสมอง เพราะพยาบาลบอกว่าจะพาไปสแกนดูสมองว่าเลือดออกหรือไม่เพราะคุณพ่อล้มในห้องน้ำ
หลังจากนั้น ช่วง 20.00 คุณหมอจาก รพ. ได้โทรมาซักประวัติคุณพ่อโดยละเอียด ผมเองจำได้ว่าเมื่อ 20 กว่าปีที่แล้วคุณพ่อได้ไปตรวจร่างกายที่ รพ. เอกชนแห่งหนึ่ง หมอบอกว่าพ่อเป็นลิ้นหัวใจรั่ว พ่อเลยขอประวัติและย้ายมาตรวจ รพ.รัฐบาล เพื่อใช้สิทธิบัตรทองโดยนำประวิติมาให้หมดดูเรื่องลิ้นหัวใจรั่ว แต่หมอที่ รพ.รัฐบาลบอกว่าหัวใจปกติดีไม่ได้รั่วแต่อย่างใด พ่อผมก็เลยคิดว่าไม่เป็นอะไร แต่พอช่วง 2-3 ปีก่อนพ่อเสีย พ่อได้กินยาละลายลิ่มเลือด ซึ่งผมเองก็ไม่ได้เอะใจอะไร เพราะพ่อบอกว่าหมอให้กินยาแค่ 2 ตัวคือ ยางเบาหวาน และ ยาละลายลิ่มเลือด ซึ่งหมอที่โทรมาถามประวัติพ่อผมได้พูดบอกว่าถ้าไม่มีอาการเกี่ยวกับหัวใจผู้ป่วยจะได้รับยาละลายลิ่มเลือดน้อยมาก ต้องเกี่ยวกับโรคหัวใจเท่านั้น ผมเองเริ่มใจไม่ดี กำลังคิดว่าพ่อไม่รู้ตัวว่าเป็นโรคหัวใจ หรือว่ารู้ว่าเป็นโรคหัวใจแต่ไม่บอกผม ตอนนั้นผมรู้สึกสับสนไปหมด หลังจากคุยกับหมอแล้ว หมอบอกว่าวันนี้หมอเป็นหมอเวรพรุ่งนี้จะปรึกษากับหมอโรคหัวใจอีกที และก็วางสายไป
ผ่านไป 1 ชั่วโมง หมอเวรคนเดิมได้โทรหาผม แจ้งว่าพ่อได้ไปสแกนสมองแล้วปกติดีไม่มีเลือดออกแต่อย่างใด ตอนนั้นผมดีใจมากๆที่พ่อปลอดภัย แต่หลังจากที่หมอพูดจบเรื่องที่ไม่มีเลือดออกในสมองของพ่อ คำพูดต่อจากนี้มันทำให้ผมแทบล้มทั้งยืน หมอบอกว่าแต่พ่อหัวใจหยุดเต้นกำลังปั้มหัวใจอยู่ให้รีบมาดู
ประโยคนี้ที่เข้าหูผม เหมือนมันย้อนกลับไปเมื่อ 17 ปีที่แล้วที่ผมเสียแม่ไปด้วยโรคไตวาย ซึ่งตอนนั้นคุณพ่อผมเป็นคนรับสายจากหมอ และรีบไป รพ. สุดท้ายแม่ก็จากไป... หลังจากที่ได้รับโทรศัพท์ผมจึงรีบแต่งตัวและออกไป รพ. ผ่านไปได้ 15 นาที กำลังขับรถไป คุณหมอได้โทรมาอีกรอบ บอกว่าตอนนี้ได้ปั้มหัวใจพ่อไป 17 นาทีแล้วแต่สัญญาณหัวใจยังไม่กลับมาซึ่งโดยปกติ จะปั้มไม่เกิน 15 นาที กรณีที่กลับมาก็อาจจะเป็นเจ้าชายนิททรา แต่ถ้าผ่านไป 20 นาทีแล้วพ่อยังไม่มีสัญญาณหัวใจหมอขอยุติการปั้ม ซึ่งเมื่อ 17 ปีที่แล้วกรณีแม่ที่กำลังปั้มหัวใจ พ่อผมก็บอกกับหมอว่าให้แม่หลับให้สบายดีกว่าอย่าเอาเค้ากลับมาทรมานอีกเลย ซึ่งรอบนี้ผมนึกถึงคำที่พ่อบอกให้แม่พักเมื่อ 17 ปีที่แล้ว และตอนนี้ผมก็จะให้พ่อได้พักผ่อนถึงแม่ว่าเป็นการพักผ่อนแบบที่ไม่ได้เจอกันอีกตลอดกาล มันเกิดขึ้นเร็วมาก ตอนนั้นผมขับรถต่อไม่ได้จึงได้เปลี่ยนให้แฟนผมขับต่อไป รพ.แทน ตลอด 17 ปีที่แม่เสียไปผมได้อยู่กับพ่อมาตลอด จนได้แต่งงานมาครอบครัว พ่อก็มาอยู่กับผม และแฟน อยู่ครอบครัวกันเจอกันทุกเช้า กินเข้ากันแทบทุกมื้อที่มีโอกาสนั่งกินด้วยกัน
หลังจากที่ถึง รพ. ผมกับแฟนจึงรีบขึ้นไปหาพ่อ พอได้พบพ่อจึงยกมือไหว้และบอกว่า "พ่อผมมาหาแล้วนะ แหมจะไปไม่บอกกันเลย" ผมโดนแฟนดุเลย บอกว่าอย่าไปว่าพ่อสิ ผมบอกต่อว่า "พ่อหลับให้สบายนะ ไม่ต้องห่วงอะไรทั้งนั้นขอให้พ่อไปสู่ภพภูมิที่ดี" ทันใดนั้นเองเครื่องวัดที่อยู่ข้างๆแฟนผมอยู่ดีๆก็มีสัญญาณขึ้นมาเองประมาณ 3 วินาที แล้วก็เป็นเส้นตรงเหมือนเดิม ผมชี้ให้แฟนเห็นไม่ทัน จังหวะผมเห็นพอดี (เคยฟังที่มีคนเล่ามาเรื่องเวลาญาติเสียจะรอลูกหลาน ผมเองก็ไม่ค่อยเชื่อเท่าไร จนมาเจอกับตัวเองจึงเชื่อว่าพ่อคงรอผมมาจริงๆ)
ฝากถึงคนที่มีพ่อ กับ แม่อยู่ เรื่องโรคหัวใจไม่ใช่เรื่องที่จะปล่อยวางได้ง่ายๆเลยนะครับ ระวังโควิด และ ไม่ได้ระวังโรคหัวใจให้พ่อ
คุณพ่อผม อายุ 76 ปี ซึ่งถ้าคุณพ่อไม่เสีย อีก 3 วันจะพาคุณพ่อไปเที่ยวหาหลานที่ ภาคเหนือ เพราะคุณพ่อบ่นคิดถึงหลาน และเปลี่ยนหน้าจอโทรศัพท์เป็นรูปหลานตลอด
คิดถึงคุณพ่อ มีหลายอย่างที่เรายังมีแผนจะทำด้วยกัน ตอนนี้ผมหมดหน้าที่ลูกแล้ว คงต้องทำหน้าที่พ่อที่ดีต่อไป
การสูญเสียคุณพ่อแบบกระทันหัน ด้วยภัยร้ายโรคหัวใจ (และมีบางอย่างที่เปลี่ยนความเชื่อ)
จากเดิมที่คุณพ่อแข็งแรงมีอยู่วันหนึ่งได้ล้มในห้องน้ำ ช่วง 16.00 ผมได้ยินเสียงและรีบเข้าไปดู เจอพ่อนั่งคุกเข่าฟุบอยู่ในห้องน้ำท่าคล้ายๆก้มกราบ
จึงพยุงตัวพ่อขึ้นมาแล้วพยายามเรียกให้พ่อได้สติผ่านไปประมาณ 3 นาทีพ่อค่อยๆลืมตา และผมพยายามคุยกับพ่อ ถามว่าจำผมได้ไหม
พ่อก็พยักหน้า และค่อยๆลุกขึ้นเองได้โดยผมช่วยพยุงขึ้น หน้าผากพ่อกระแทกพื้นปูดแต่ไม่แตก รีบทำความสะอาดให้พ่อและพาพ่อไปหาหมอที่ รพ.
ระหว่างที่ขับรถมา รพ. ผมได้พยายามถามคุณพ่อว่า อาการเป็นยังไงบ้างตอนล้ม คุณพ่อบอกว่าหน้ามืดแล้วไม่รู้สึกตัวเลย แต่ตอนฟื้นขึ้นมาใจสั่นมาก
พอไปถึง รพ. ช่วง 17.00 เจ้าหน้าที่ได้ซักประวัติ ถึงโรคประจำตัว คุณพ่อเป็นเบาหวาน แต่อาการที่กำลังเป็นหลังจากที่ล้มคือ ใจสั่น คุณหมอได้ให้คุณพ่อนอนดูอาการ ที่ รพ. แต่ไม่ให้ญาติเฝ้าเพราะเป็น รพ.รัฐบาล เตียงรวม ผมได้แค่ส่งพ่อหน้าห้อง และก่อนกลับได้โทรบอกพ่อว่าจะกลับแล้ว คุณพ่อก็ได้สั่งให้เอาของที่จำเป็นมาให้ในวันรุ่งขึ้น และ กลับถึงบ้านให้ถ่ายรูปยางเบาหวานมาให้พยาบาลด้วย ผมกลับถึงบ้านก็ได้ถ่ายรูปยาส่งให้คุณพ่อผ่าน Line และโทรหาคุณพ่ออีกครั้งหลังจากวางสาย ผมได้ส่งกำลังใจผ่านข้อความใน Line ซึ่งปกติคุณพ่อจะอ่านตลอด (แต่รอบนี้คุณพ่อไม่อ่าน) ผมก็คิดว่าพ่อน่าจะไปสแกนสมอง เพราะพยาบาลบอกว่าจะพาไปสแกนดูสมองว่าเลือดออกหรือไม่เพราะคุณพ่อล้มในห้องน้ำ
หลังจากนั้น ช่วง 20.00 คุณหมอจาก รพ. ได้โทรมาซักประวัติคุณพ่อโดยละเอียด ผมเองจำได้ว่าเมื่อ 20 กว่าปีที่แล้วคุณพ่อได้ไปตรวจร่างกายที่ รพ. เอกชนแห่งหนึ่ง หมอบอกว่าพ่อเป็นลิ้นหัวใจรั่ว พ่อเลยขอประวัติและย้ายมาตรวจ รพ.รัฐบาล เพื่อใช้สิทธิบัตรทองโดยนำประวิติมาให้หมดดูเรื่องลิ้นหัวใจรั่ว แต่หมอที่ รพ.รัฐบาลบอกว่าหัวใจปกติดีไม่ได้รั่วแต่อย่างใด พ่อผมก็เลยคิดว่าไม่เป็นอะไร แต่พอช่วง 2-3 ปีก่อนพ่อเสีย พ่อได้กินยาละลายลิ่มเลือด ซึ่งผมเองก็ไม่ได้เอะใจอะไร เพราะพ่อบอกว่าหมอให้กินยาแค่ 2 ตัวคือ ยางเบาหวาน และ ยาละลายลิ่มเลือด ซึ่งหมอที่โทรมาถามประวัติพ่อผมได้พูดบอกว่าถ้าไม่มีอาการเกี่ยวกับหัวใจผู้ป่วยจะได้รับยาละลายลิ่มเลือดน้อยมาก ต้องเกี่ยวกับโรคหัวใจเท่านั้น ผมเองเริ่มใจไม่ดี กำลังคิดว่าพ่อไม่รู้ตัวว่าเป็นโรคหัวใจ หรือว่ารู้ว่าเป็นโรคหัวใจแต่ไม่บอกผม ตอนนั้นผมรู้สึกสับสนไปหมด หลังจากคุยกับหมอแล้ว หมอบอกว่าวันนี้หมอเป็นหมอเวรพรุ่งนี้จะปรึกษากับหมอโรคหัวใจอีกที และก็วางสายไป
ผ่านไป 1 ชั่วโมง หมอเวรคนเดิมได้โทรหาผม แจ้งว่าพ่อได้ไปสแกนสมองแล้วปกติดีไม่มีเลือดออกแต่อย่างใด ตอนนั้นผมดีใจมากๆที่พ่อปลอดภัย แต่หลังจากที่หมอพูดจบเรื่องที่ไม่มีเลือดออกในสมองของพ่อ คำพูดต่อจากนี้มันทำให้ผมแทบล้มทั้งยืน หมอบอกว่าแต่พ่อหัวใจหยุดเต้นกำลังปั้มหัวใจอยู่ให้รีบมาดู
ประโยคนี้ที่เข้าหูผม เหมือนมันย้อนกลับไปเมื่อ 17 ปีที่แล้วที่ผมเสียแม่ไปด้วยโรคไตวาย ซึ่งตอนนั้นคุณพ่อผมเป็นคนรับสายจากหมอ และรีบไป รพ. สุดท้ายแม่ก็จากไป... หลังจากที่ได้รับโทรศัพท์ผมจึงรีบแต่งตัวและออกไป รพ. ผ่านไปได้ 15 นาที กำลังขับรถไป คุณหมอได้โทรมาอีกรอบ บอกว่าตอนนี้ได้ปั้มหัวใจพ่อไป 17 นาทีแล้วแต่สัญญาณหัวใจยังไม่กลับมาซึ่งโดยปกติ จะปั้มไม่เกิน 15 นาที กรณีที่กลับมาก็อาจจะเป็นเจ้าชายนิททรา แต่ถ้าผ่านไป 20 นาทีแล้วพ่อยังไม่มีสัญญาณหัวใจหมอขอยุติการปั้ม ซึ่งเมื่อ 17 ปีที่แล้วกรณีแม่ที่กำลังปั้มหัวใจ พ่อผมก็บอกกับหมอว่าให้แม่หลับให้สบายดีกว่าอย่าเอาเค้ากลับมาทรมานอีกเลย ซึ่งรอบนี้ผมนึกถึงคำที่พ่อบอกให้แม่พักเมื่อ 17 ปีที่แล้ว และตอนนี้ผมก็จะให้พ่อได้พักผ่อนถึงแม่ว่าเป็นการพักผ่อนแบบที่ไม่ได้เจอกันอีกตลอดกาล มันเกิดขึ้นเร็วมาก ตอนนั้นผมขับรถต่อไม่ได้จึงได้เปลี่ยนให้แฟนผมขับต่อไป รพ.แทน ตลอด 17 ปีที่แม่เสียไปผมได้อยู่กับพ่อมาตลอด จนได้แต่งงานมาครอบครัว พ่อก็มาอยู่กับผม และแฟน อยู่ครอบครัวกันเจอกันทุกเช้า กินเข้ากันแทบทุกมื้อที่มีโอกาสนั่งกินด้วยกัน
หลังจากที่ถึง รพ. ผมกับแฟนจึงรีบขึ้นไปหาพ่อ พอได้พบพ่อจึงยกมือไหว้และบอกว่า "พ่อผมมาหาแล้วนะ แหมจะไปไม่บอกกันเลย" ผมโดนแฟนดุเลย บอกว่าอย่าไปว่าพ่อสิ ผมบอกต่อว่า "พ่อหลับให้สบายนะ ไม่ต้องห่วงอะไรทั้งนั้นขอให้พ่อไปสู่ภพภูมิที่ดี" ทันใดนั้นเองเครื่องวัดที่อยู่ข้างๆแฟนผมอยู่ดีๆก็มีสัญญาณขึ้นมาเองประมาณ 3 วินาที แล้วก็เป็นเส้นตรงเหมือนเดิม ผมชี้ให้แฟนเห็นไม่ทัน จังหวะผมเห็นพอดี (เคยฟังที่มีคนเล่ามาเรื่องเวลาญาติเสียจะรอลูกหลาน ผมเองก็ไม่ค่อยเชื่อเท่าไร จนมาเจอกับตัวเองจึงเชื่อว่าพ่อคงรอผมมาจริงๆ)
ฝากถึงคนที่มีพ่อ กับ แม่อยู่ เรื่องโรคหัวใจไม่ใช่เรื่องที่จะปล่อยวางได้ง่ายๆเลยนะครับ ระวังโควิด และ ไม่ได้ระวังโรคหัวใจให้พ่อ
คุณพ่อผม อายุ 76 ปี ซึ่งถ้าคุณพ่อไม่เสีย อีก 3 วันจะพาคุณพ่อไปเที่ยวหาหลานที่ ภาคเหนือ เพราะคุณพ่อบ่นคิดถึงหลาน และเปลี่ยนหน้าจอโทรศัพท์เป็นรูปหลานตลอด
คิดถึงคุณพ่อ มีหลายอย่างที่เรายังมีแผนจะทำด้วยกัน ตอนนี้ผมหมดหน้าที่ลูกแล้ว คงต้องทำหน้าที่พ่อที่ดีต่อไป