โต๊ะเครื่องแป้ง 1. (สองตอนจบ)

เรื่องสั้นชุด ราตรีรัญจวน 
เรื่อง : โต๊ะเครื่องแป้ง 1
โดย : ตรัยโศก  ณ ริมน่าน

เรื่องสั้นชุดนี้  ผู้เขียนขอสงวนสิทธิ์ในการนำไปเผยแพร่ในช่องทางอื่น  ขอบคุณครับ

       เรื่องราวความรักที่ฝังแน่นหยั่งรากลึกลงในหัวใจข้ามภพข้ามชาติ  ที่แม้จะตายทิ้งร่างห่างหายไกลจากกันฝังแยกกันคนละหลุม  ตายกันคนละเวลา  เผากันคนละวัด  แต่หากคนรักกันดวงจิตย่อมผูกพันติดตามกันไปทุกภพทุกชาติ  ดังเช่นเรื่องราวของธิดา  สาวน้อยวัยยี่สิบสี่ปี  ผู้ที่จะนำพาทุกคนไปพบเรื่องราวที่ไม่น่าเชื่อ  เรื่องราวเหนือธรรมชาติ  เรื่องราวที่ไม่น่าเป็นไปได้

 เรื่องราวมันเริ่มขึ้นหลังจากที่เธอและครอบครัวย้ายจากเมืองกรุงกลับมาอยู่บ้านย่าที่ภาคอีสาน   เพราะพ่อของเธอเกษียณอายุราชการ  จึงคิดอยากกลับมาทำไร่ทำสวนซึ่งเป็นอาชีพหลักที่ต้นตระกูลทำมาแต่เก่าก่อน  การต้องย้ายจากเมืองกรุงที่หนาแน่นคับคั่งด้วยความเจริญและผู้คน  กลับมาอยู่บ้านนอกคอกนาที่เงียบสงบ  ไม่ได้ทำให้ชีวิตของธิดาลำบากแต่อย่างใด  ด้วยเงินทองของมีค่าที่พ่อแม่สร้างไว้  เธอสามารถอยู่แบบสบายไปได้ทั้งชาติ  อีกทั้งนิสัยส่วนตัวที่เป็นคนง่าย ๆ ไม่ยุ่งยากจุกจิกกับการใช้ชีวิต  ธิดาอยู่ที่ไหนก็ได้
  
 เมื่อปู่และย่าทราบข่าวว่าครอบครัวของลูกชายที่ไปทำงานกรุงเทพฯหลายสิบปีจะกลับมา  การบูรณะบ้านครั้งใหญ่จึงเกิดขึ้น  ความจริงพ่อของธิดานั้นสร้างบ้านไว้หลังหนึ่ง  ห่างจากบ้านของปู่กับย่าไม่ถึงร้อยเมตร แต่อยู่ในรั้วรอบขอบชิดเดียวกัน   บ้านหลังนั้นสร้างไว้แต่ไม่มีใครมาอยู่  เพราะเจ้าของทำงานอยู่แดนไกล  แม้กระนั้นสภาพของบ้านก็ไม่ได้ทรุดโทรมไปตามกาลเวลา  เพราะย่าคอยเข้ามาปัดกวาดเช็ดถูอยู่เนือง ๆ  ห้องหับก็มีพร้อมสรรพ  จะมีก็แต่เฟอร์นิเจอร์บางส่วนเท่านั้นที่ต้องซื้อเข้าไปใหม่

 “แม่หนูขอเลือกของเข้าห้องเองนะคะ”  ธิดาพูดเสียงสดใสขณะที่พ่อและแม่กำลังพาไปเลือกซื้อเฟอร์นิเจอร์เพิ่มเติม

 “จ้า ๆ”  แม่ของธิดารับคำขำ ๆ  

   ธิดา เพลิดเพลินกับการเดินดูสินค้าในร้าน  ทั้งตู้ โต๊ะ เตียง  ทุกอย่างสวยหรูสมราคาทุกชิ้น  แต่กลับไม่มีชิ้นใดที่เธอจะปลงใจได้เลย  แม้จะงามเพียงใด  แต่ไม่ถูกใจเธอก็ไม่ซื้อ  แต่แล้ว  เธอก็เหลือบไปเห็นร้านขายเฟอร์นิเจอร์มือสองที่ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามถนน

  “พ่อคะแม่คะ  หนูขอไปดูของที่ร้านนั้นได้มั้ย?”  ธิดาบอกพลางชี้มือไปยังร้านขายของมือสองที่ว่า

  “นั่นมันร้านมือสองนะลูก  อย่าเลยดูร้านนี้แหละ ของใหม่ทุกชิ้น”  พ่อของธิดาบอกพร้อมกับเดินมาจับไหล่ทั้งสองข้างของลูกสาว  ผลักเธอให้เดินไปตามช่องว่างของทางเดินที่รายล้อมด้วยตู้เสื้อผ้าสุดหรู

  “แต่หนูอยากไปดูอ่ะ  ดูเฉย ๆ ไม่ซื้อก็ได้  นะ ๆ”
  
  ธิดาออดอ้อนพร้อมกับทำสายตาอ้อนวอนราวเด็ก ๆ  ซึ่งเมื่อเจอมุขนี้คราใด  พ่อกับแม่ของเธอก็มีอันต้องใจอ่อนเลี่ยงไม่ได้
เธอเดินข้ามถนนมายังร้านขายของมือสองทันที  บรรยากาศในร้านนั้นแตกต่างจากด้านนอกอย่างสิ้นเชิง  ความร้อนระอุที่เธอเพิ่งเดินฝ่ามาเมื่อครู่  กลับถูกแทนที่ด้วยความเย็นเยียบชนิดรู้สึกได้ชัดเจน  ทั้งที่ภายในร้านก็ไม่ได้มีเครื่องปรับอากาศแต่อย่างใด   ข้าวของในร้านแทบทุกชิ้นจะเป็นไม้  จากลักษณะและสีของเนื้อไม้ที่เริ่มซีดเพราะถูกการเวลาทำลาย  บ่งบอกว่าของบางชิ้นมีอายุมากกว่าเธอเกือบรอบ 

 “ขอโทษนะคะ!  มีใครอยู่มั้ย? ขอดูของในร้านหน่อยนะคะ!!”   ธิดาพูดด้วยเสียงค่อนข้างดัง  มีเสียงกึก ๆ เหมือนของแข็งกระทบกับพื้นเป็นจังหวะแว่วมา   ครู่หนึ่งร่างของหญิงชราผมขาวหลังงุ้มก็โผล่พ้นออกมาจากช่องว่างหลังตู้เสื้อผ้าไม้สักขนาดใหญ่   เสียงกึก ๆ ที่ได้ยินเมื่อครู่คือเสียงไม้เท้าของหญิงชราคนนั้นนั่นเอง

  “คุณหญิงชิดจันทร์!?”  หญิงชราอุทานออกมาเมื่อแลเห็นหน้าของธิดาถนัดชัดเจน  นัยน์ตาที่เริ่มมีฝ้าขาวจับจาง ๆ นั้นสั่นระริกและเริ่มมีน้ำใส ๆ คลอหน่วย 
 
  “คะ?” 
  
 “อะ เอ่อ!  สนใจสินค้าชิ้นไหนจ๊ะ?  แม่หนู”   หญิงชราคนนั้นเปลี่ยนท่าทีทันควัน  นางถามธิดาด้วยถ้อยคำสุภาพที่สุดเท่าที่แม่ค้าคนหนึ่งจะพูดได้   แม้ใบหน้าเหี่ยวย่นนั้นจะยิ้มแย้มสดใสเพียงใด  แต่แววตาสีขุ่นกลับเต็มไปด้วยความโศกอย่างเหลือจะกล่าว

      “ยะ ยังไม่รู้เลยค่ะ  ขอหนูเดินดูก่อนได้มั้ยคะ?”  ธิดาตอบกลับด้วยท่าทีและถ้อยคำที่สุภาพเช่นกัน
หญิงชราพยักหน้ารับยิ้มละไม  ก่อนที่นางจะเดินยักแย่ยักยันไปหลังตู้กระจก  ที่ด้านในมีเครื่องประดับทั้งเงินและทองวางเรียงรายจำเริญตา   ธิดาเลิกสนใจนางและเดินชมสินค้าภายในร้านอย่างเพลิดเพลินอีกครั้ง 
 
 “เอ่อ!  หนูจับได้ใช่มั้ยคะ?”  ธิดาร้องถาม

“จ๊ะ?  ว่าอะไรนะลูก?”  หญิงชราเจ้าของร้านถามกลับ  นั่นแสดงให้เห็นว่านางต้องหูไม่ค่อยดี  เพราะตลอดเวลาที่ธิดาเดินชมสินค้านั้น  นางมองสาวน้อยไม่วางตา 
 
“หนู...เอ่อ!   หนูสัมผัสหรือจับข้าวของในร้านได้มั้ยคะ?  พอดีเห็นว่าเป็นของเก่า  เลยไม่รู้ว่าจะจับได้มั้ย”  ธิดาบอก

“อ้อ! เชิญจ้ะลูก  เชิญเลย จับต้องได้ตามสบายเลยนะลูกนะ”   หญิงชราบอกพร้อมกับยิ้มละไมเช่นเคย  นางหยิบเอาผ้าเช็ดหน้าผืนเก่าขึ้นมาซับน้ำตาที่ไหลรินออกมาทั้งสองข้าง  ธิดามองแล้วยิ้มแห้ง ๆ ก่อนจะใช้ฝ่ามือขาวนุ่มและนิ้วเรียวยาวลูบไล้ไปบนสินค้าที่เธอเดินดูอยู่ 
แล้วธิดาก็หยุดยืนอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งโบราณตัวหนึ่ง  มันมีลักษณะเรียบง่ายทั่วไป  กระจกรูปวงรีขนาดพอเหมาะและขอบไม้ที่มีฉลุลายนั้นเข้ากันอย่างสวยงาม  เนื้อไม้มีร่องรอยที่ถูกกาลเวลาทำให้ผุพังเล็กน้อย  รอยบิ่นรอยด่างแม้จะพอมีให้เห็น  แต่มันก็ไม่ได้กลบความงามที่มีอยู่จนมิดชิดได้   เธอยืนมองมันอยู่พักใหญ่  ความเรียบง่ายที่งดงามนั้นดึงดูดให้สายตาของเธอติดตรึงอยู่กับมันมิอาจถอน

“สวยจังเลย”  ธิดาปรารภกับตนเอง

“ลองจับดูได้นะลูก”   จู่ ๆ หญิงชราก็กล่าวขึ้นจากด้านหลังของธิดาจนเธอสะดุ้งตกใจ  พอหันไปก็เห็นใบหน้าที่เหี่ยวย่นนั้นยิ้มสดใสให้เธอ  ธิดาหันมามองโต๊ะเครื่องแป้งอีกครั้ง  แล้วอาการตกใจเมื่อครู่ก็ถูกความงามของมันทำให้จางหายไป

“หนูจับมันได้เหรอคะ?”  ธิดาถามลอย  ๆ  เหมือนตกอยู่ในภวังค์ฝัน 

“เจ้าค่ะ  ทำไมจะจับไม่ได้ล่ะเจ้าคะ  ก็มันเป็นของคุณหญิงนี่เจ้าคะ”  หญิงชราตอบเสียงสั่นเครือน้อย ๆ น้ำใส ๆ เริ่มไหลรินออกมาอีกครั้ง  แต่ธิดากลับไม่ได้สนใจจะฟังเลยแม้แต่น้อย  ทันทีที่เธอสัมผัสเนื้อไม้  ลมเย็น ๆ พัดวูบเข้ามาพร้อมกับกลิ่นหอมเย็น ๆ  ธิดารู้สึกว่าตัวเองล่องลอยอยู่ในห้วงที่ไร้พื้น  ร่างกายมันเบาหวิวสบายดั่งความฝัน

“กลับมาหาพี่แล้วรึ?  ดวงใจของพี่”  เสียงหนึ่งดังก้องขึ้นในมโนจิต  มันนุ่มลึกราวกับผู้พูดพยายามสื่อให้รู้สึกได้ถึงความคิดถึงห่วงหาอย่างที่สุด
ธิดาไม่ได้ตอบอะไรออกไป  เธอเพียงแต่ยืนหลับตาพริ้ม  ยิ้มละไมรับเอาความสุขที่แผ่ซ่านอบอวน  แต่แล้วเธอก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อโทรศัพท์มือถือยี่ห้อดังราคาแพงของเธอส่งสัญญาณเตือนว่ามีคนโทรเข้ามา

“ฮัลโหล?”  

‘ธิดาหนูอยู่ไหนลูก?  ตกลงจะเอามั้ยเนี่ยเฟอร์นิเจอร์ของลูกเนี่ย’  เสียงปลายสายถามด้วยความเป็นห่วง

“พ่อคะ หนูเจอของที่อยากได้แล้วค่ะ  พ่อมาหาหนูที่ร้านของมือสองทีนะคะ”  ธิดาตอบ

“อ้าว! เดี๋ยวลูก....”   เธอไม่ได้รอฟังว่าผู้เป็นพ่อจะพูดอะไรต่อ  ลดมือที่ถือโทรศัพท์ลงทิ้งไว้ข้างตัวแล้วกดตัดสาย  ส่วนมืออีกข้างก็ยังวางและลูบไล้โต๊ะเครื่องแป้งตัวนั้นอยู่เนืองๆ   จู่ ๆ น้ำตาของเธอก็หยดแหมะลงบนพื้นไม้  โดยไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าร้องไห้ตั้งแต่เมื่อไหร่และร้องด้วยสาเหตุอันใด

“ตัวนี้เท่าไหร่คะยาย?”  ธิดาถามเบา ๆ  หญิงชรามองเธอแล้วเลื่อนสายตาไปจับยังโต๊ะเครื่องแป้งตัวนั้น  ยิ้มละไมทั้งน้ำตาแล้วตอบออกมาเสียงสั่นเครือ

“เท่าไหร่ก็แล้วแต่หนูจะให้เลยจ้ะ  ยายจะเอาเงินนั่นไปทำบุญ”  หญิงชราตอบ

สาวน้อยยืนขอร้องอ้อนวอนให้ผู้เป็นพ่อซื้อโต๊ะเครื่องแป้งตัวนั้นให้  แม้พ่อแม่จะทักท้วงและยื่นข้อเสนอให้เพียงใด  แม้พ่อแม่จะบอกว่าจะพาเธอไปซื้อโต๊ะเครื่องแป้งที่สวยกว่านี้มากแค่ไหน  เธอก็ไม่ยอม  ธิดาร้องขอจะเอาตัวนี้ให้ได้ 
 
“มันเป็นของเก่านะลูก   เดี๋ยวพ่อพาไปซื้อไอ้ที่มันสวย ๆ ใหม่ ๆ ให้ดีกว่า”

“ไม่ค่ะ  หนูอยากได้ตัวนี้” ธิดายืนกราน

“แต่มัน....”

“ไหนพ่อกับแม่บอกว่ารักหนูไงคะ?  ที่ผ่านมาหนูไม่เคยขออะไรเลย  ครั้งนี้ให้หนูไม่ได้เหรอ?”   ธิดาตัดพ้อและเริ่มตั้งท่าจะร้องไห้  คนเป็นพ่อเป็นแม่นั้น  แม้จะใจแข็งเพียงใดก็มิอาจต้านทานต่อน้ำตาของลูกได้  และยิ่งเป็นลูกที่ดีและน่ารักอย่างธิดาด้วยแล้ว  มีหรือที่ทั้งพ่อและแม่ของเธอจะต้านทานได้
ที่สุดแล้วผู้เป็นพ่อก็ต้องยอมตามใจ  เขาดินเข้าไปคุยกับหญิงชราเจ้าของร้านเรื่องราคาโต๊ะเครื่องแป้ง  แต่ก็ต้องแปลกใจจนคิ้วผูกโบว์เมื่อได้รับคำตอบ

“แล้วแต่จะให้เลยจ้ะ  เงินที่ได้มายายจะเอาไปทำบุญให้เจ้าของเก่าเค้าน่ะ”  ได้ยินแบบนี้  แวบแรกที่เขาคิดคือเจ้าของเก่าของโต๊ะเครื่องแป้งตัวนี้สิ้นใจคาโต๊ะเลยหรือเปล่า  หรือว่าวิญญาณยังคงวนเวียนอยู่ไม่ยอมไปผุดไปเกิด  อาจมีเรื่องราวลึกลับเกิดขึ้นกับโต๊ะเครื่องแป้งตัวนี้ก็ได้  หญิงชราเจ้าของร้านจึงต้องการกำจัดมันออกไปให้พ้น ๆ เสีย  โดยไม่ยี่หระกับราคาค่างวดที่จะได้รับ

พ่อของธิดาอ้ำอึ้งนิ่งงันไปครู่อย่างใช้ความคิด  เพราะกิริยาท่าทางของหญิงชรามันขัดกับความเป็นพ่อค้าแม้ขายทั่ว ๆ ไป  ที่ร้อยทั้งร้อยขายอะไรก็ต้องอยากได้กำไรเป็นกอบเป็นกำทั้งนั้น  และอีกประเด็นคือเท่าที่ดูจากเนื้อไม้และลวดลายฉลุแล้ว  โต๊ะเครื่องแป้งตัวนี้น่าจะมีอายุไม่ต่ำกว่าเจ็ดแปดสิบปี  เผลอ ๆ อาจเป็นร้อยปีเลยก็ไม่น่าจะเกินจริง  ราคาอย่างต่ำก็เหยียบหมื่น  แต่หญิงชรากลับบอกว่าเท่าไหร่ก็ได้  มันราวกับจะให้โต๊ะตัวนี้ฟรี ๆ แล้วบอกเป็นนัย ๆ ว่าช่วยใส่ซองทำบุญอุทิศให้เจ้าของเก่าเลยมิใช่หรือ? 

“ไม่ต้องกังวลไปหรอกจ้ะ  โต๊ะตัวนี้ไม่ได้มีอะไรไม่ดีอยู่หรอก   เจ้าของเก่าที่ยายว่าน่ะ  ท่านเป็นเจ้าขุนมูลนายเก่า  เค้ายกมันให้กับยายเมื่อนานมาแล้ว   อีกหน่อยยายก็คงต้องตายจากโลกนี้ไป  ยายไม่อยากให้ของเก่าแบบนี้ต้องถูกทิ้งไว้เฉย ๆ ไอ้จะให้เอาไปขายให้คนอื่นก็กลัวเค้าจะไม่รักษา  เห็นหนูคนนั้นเค้าชอบแล้วยายก็ชอบเค้า  ยายเลยอยากยกให้น่ะจ้ะ  ส่วนเรื่องเงินทองน่ะยายไม่ต้องการหรอก  ยายไม่เดือดร้อนเรื่องนั้น”  หญิงชราเจ้าของร้านสาธยายยืดยาวเมื่อเห็นสีหน้ากังวลของพ่อธิดา 

“พ่อคะ  ซื้อให้หนูนะคะ  หนูชอบจริง ๆ”  ธิดาอ้อนวอนอีกครั้ง  พ่อของสาวน้อยถอนหายใจยาว  มองหน้าลูกสาวสุดที่รักและหญิงชราเจ้าของร้านสลับกัน  แล้วก็เลื่อนสายตาไปมองโต๊ะเครื่องแป้งตัวนั้นก่อนจะถอนหายใจยาวอีกครั้ง

“เอ้า! ก็ได้”  พ่อของธิดากล่าว

“เย้!  ขอบคุณค่ะ รักคุณพ่อที่สุดเลย!!”   ธิดาพูดอย่างดีใจราวเด็กสองขวบได้ของเล่นชิ้นใหม่ เธอรีบวิ่งไปยังโต๊ะเครื่องแป้งตัวนั้น  ลูบคลำมันอย่างรักใคร่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไม่หยุด  ฝ่ายคนเป็นพ่อเมื่อเห็นอาการดีใจของลูกสาวก็อดยิ้มออกมาไม่ได้

“จริง ๆ เลยน้า หึ ๆ”  พ่อธิดาปรารภกับตนเองส่ายหน้าน้อย ๆ ยิ้มละไม

โต๊ะเครื่องแป้งตัวนั้นถูกขนย้ายไปที่บ้านคุณย่า  โดยพ่อของธิดาจ้างรถขนของที่หญิงชราเจ้าของร้านแนะนำให้  เขาซื้อโต๊ะตัวนี้ให้ลูกสาวในราคาสองพันบาท  ความจริงจะให้มากกว่านี้แต่หญิงชราเจ้าของร้านปฏิเสธ  

“เอ้อ!  ว่าแต่คุณยายชื่ออะไรเหรอคะ?”  ธิดาถามก่อนที่เธอจะก้าวออกจากร้าน

“ยายชื่อเนียนจ้ะ”  หญิงชราตอบยิ้ม ๆ 

“งั้นหนูไปก่อนนะคะคุณยายเนียน รักษาสุขภาพด้วยนะคะ”  ธิดาจับมือเหี่ยวๆ ของหญิงชราบีบนิดหน่อยพลางกล่าวลา  แล้วเธอก็เดินยิ้มแป้นออกจากร้านไป  

“คุณหญิงเองก็รักษาสุขภาพนะเจ้าคะ”  หญิงชรายกมือของนางขึ้นมาสูดดมราวกับคิดถึงอาลัยอาวรณ์อย่างที่สุด  น้ำตาค่อย ๆ ไหลออกมาอีกครั้ง  แต่มันเป็นน้ำตาแห่งความอิ่มอกอิ่มใจ

“ได้พบกันแล้วนะคะคุณท่าน”  นางกล่าวพร้อมกับมองท้ายรถขนของแล่นออกไปช้า ๆ “เพียงเท่านี้ บ่าวก็นอนตายตาหลับแล้วเจ้าค่ะ”  

(มีต่อนะครับ)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่