เรื่องสั้นชุด ราตรีรัญจวน
เรื่อง : โต๊ะเครื่องแป้ง 1
โดย : ตรัยโศก ณ ริมน่าน
เรื่องสั้นชุดนี้ ผู้เขียนขอสงวนสิทธิ์ในการนำไปเผยแพร่ในช่องทางอื่น ขอบคุณครับ
เรื่องราวความรักที่ฝังแน่นหยั่งรากลึกลงในหัวใจข้ามภพข้ามชาติ ที่แม้จะตายทิ้งร่างห่างหายไกลจากกันฝังแยกกันคนละหลุม ตายกันคนละเวลา เผากันคนละวัด แต่หากคนรักกันดวงจิตย่อมผูกพันติดตามกันไปทุกภพทุกชาติ ดังเช่นเรื่องราวของธิดา สาวน้อยวัยยี่สิบสี่ปี ผู้ที่จะนำพาทุกคนไปพบเรื่องราวที่ไม่น่าเชื่อ เรื่องราวเหนือธรรมชาติ เรื่องราวที่ไม่น่าเป็นไปได้
เรื่องราวมันเริ่มขึ้นหลังจากที่เธอและครอบครัวย้ายจากเมืองกรุงกลับมาอยู่บ้านย่าที่ภาคอีสาน เพราะพ่อของเธอเกษียณอายุราชการ จึงคิดอยากกลับมาทำไร่ทำสวนซึ่งเป็นอาชีพหลักที่ต้นตระกูลทำมาแต่เก่าก่อน การต้องย้ายจากเมืองกรุงที่หนาแน่นคับคั่งด้วยความเจริญและผู้คน กลับมาอยู่บ้านนอกคอกนาที่เงียบสงบ ไม่ได้ทำให้ชีวิตของธิดาลำบากแต่อย่างใด ด้วยเงินทองของมีค่าที่พ่อแม่สร้างไว้ เธอสามารถอยู่แบบสบายไปได้ทั้งชาติ อีกทั้งนิสัยส่วนตัวที่เป็นคนง่าย ๆ ไม่ยุ่งยากจุกจิกกับการใช้ชีวิต ธิดาอยู่ที่ไหนก็ได้
เมื่อปู่และย่าทราบข่าวว่าครอบครัวของลูกชายที่ไปทำงานกรุงเทพฯหลายสิบปีจะกลับมา การบูรณะบ้านครั้งใหญ่จึงเกิดขึ้น ความจริงพ่อของธิดานั้นสร้างบ้านไว้หลังหนึ่ง ห่างจากบ้านของปู่กับย่าไม่ถึงร้อยเมตร แต่อยู่ในรั้วรอบขอบชิดเดียวกัน บ้านหลังนั้นสร้างไว้แต่ไม่มีใครมาอยู่ เพราะเจ้าของทำงานอยู่แดนไกล แม้กระนั้นสภาพของบ้านก็ไม่ได้ทรุดโทรมไปตามกาลเวลา เพราะย่าคอยเข้ามาปัดกวาดเช็ดถูอยู่เนือง ๆ ห้องหับก็มีพร้อมสรรพ จะมีก็แต่เฟอร์นิเจอร์บางส่วนเท่านั้นที่ต้องซื้อเข้าไปใหม่
“แม่หนูขอเลือกของเข้าห้องเองนะคะ” ธิดาพูดเสียงสดใสขณะที่พ่อและแม่กำลังพาไปเลือกซื้อเฟอร์นิเจอร์เพิ่มเติม
“จ้า ๆ” แม่ของธิดารับคำขำ ๆ
ธิดา เพลิดเพลินกับการเดินดูสินค้าในร้าน ทั้งตู้ โต๊ะ เตียง ทุกอย่างสวยหรูสมราคาทุกชิ้น แต่กลับไม่มีชิ้นใดที่เธอจะปลงใจได้เลย แม้จะงามเพียงใด แต่ไม่ถูกใจเธอก็ไม่ซื้อ แต่แล้ว เธอก็เหลือบไปเห็นร้านขายเฟอร์นิเจอร์มือสองที่ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามถนน
“พ่อคะแม่คะ หนูขอไปดูของที่ร้านนั้นได้มั้ย?” ธิดาบอกพลางชี้มือไปยังร้านขายของมือสองที่ว่า
“นั่นมันร้านมือสองนะลูก อย่าเลยดูร้านนี้แหละ ของใหม่ทุกชิ้น” พ่อของธิดาบอกพร้อมกับเดินมาจับไหล่ทั้งสองข้างของลูกสาว ผลักเธอให้เดินไปตามช่องว่างของทางเดินที่รายล้อมด้วยตู้เสื้อผ้าสุดหรู
“แต่หนูอยากไปดูอ่ะ ดูเฉย ๆ ไม่ซื้อก็ได้ นะ ๆ”
ธิดาออดอ้อนพร้อมกับทำสายตาอ้อนวอนราวเด็ก ๆ ซึ่งเมื่อเจอมุขนี้คราใด พ่อกับแม่ของเธอก็มีอันต้องใจอ่อนเลี่ยงไม่ได้
เธอเดินข้ามถนนมายังร้านขายของมือสองทันที บรรยากาศในร้านนั้นแตกต่างจากด้านนอกอย่างสิ้นเชิง ความร้อนระอุที่เธอเพิ่งเดินฝ่ามาเมื่อครู่ กลับถูกแทนที่ด้วยความเย็นเยียบชนิดรู้สึกได้ชัดเจน ทั้งที่ภายในร้านก็ไม่ได้มีเครื่องปรับอากาศแต่อย่างใด ข้าวของในร้านแทบทุกชิ้นจะเป็นไม้ จากลักษณะและสีของเนื้อไม้ที่เริ่มซีดเพราะถูกการเวลาทำลาย บ่งบอกว่าของบางชิ้นมีอายุมากกว่าเธอเกือบรอบ
“ขอโทษนะคะ! มีใครอยู่มั้ย? ขอดูของในร้านหน่อยนะคะ!!” ธิดาพูดด้วยเสียงค่อนข้างดัง มีเสียงกึก ๆ เหมือนของแข็งกระทบกับพื้นเป็นจังหวะแว่วมา ครู่หนึ่งร่างของหญิงชราผมขาวหลังงุ้มก็โผล่พ้นออกมาจากช่องว่างหลังตู้เสื้อผ้าไม้สักขนาดใหญ่ เสียงกึก ๆ ที่ได้ยินเมื่อครู่คือเสียงไม้เท้าของหญิงชราคนนั้นนั่นเอง
“คุณหญิงชิดจันทร์!?” หญิงชราอุทานออกมาเมื่อแลเห็นหน้าของธิดาถนัดชัดเจน นัยน์ตาที่เริ่มมีฝ้าขาวจับจาง ๆ นั้นสั่นระริกและเริ่มมีน้ำใส ๆ คลอหน่วย
“คะ?”
“อะ เอ่อ! สนใจสินค้าชิ้นไหนจ๊ะ? แม่หนู” หญิงชราคนนั้นเปลี่ยนท่าทีทันควัน นางถามธิดาด้วยถ้อยคำสุภาพที่สุดเท่าที่แม่ค้าคนหนึ่งจะพูดได้ แม้ใบหน้าเหี่ยวย่นนั้นจะยิ้มแย้มสดใสเพียงใด แต่แววตาสีขุ่นกลับเต็มไปด้วยความโศกอย่างเหลือจะกล่าว
“ยะ ยังไม่รู้เลยค่ะ ขอหนูเดินดูก่อนได้มั้ยคะ?” ธิดาตอบกลับด้วยท่าทีและถ้อยคำที่สุภาพเช่นกัน
หญิงชราพยักหน้ารับยิ้มละไม ก่อนที่นางจะเดินยักแย่ยักยันไปหลังตู้กระจก ที่ด้านในมีเครื่องประดับทั้งเงินและทองวางเรียงรายจำเริญตา ธิดาเลิกสนใจนางและเดินชมสินค้าภายในร้านอย่างเพลิดเพลินอีกครั้ง
“เอ่อ! หนูจับได้ใช่มั้ยคะ?” ธิดาร้องถาม
“จ๊ะ? ว่าอะไรนะลูก?” หญิงชราเจ้าของร้านถามกลับ นั่นแสดงให้เห็นว่านางต้องหูไม่ค่อยดี เพราะตลอดเวลาที่ธิดาเดินชมสินค้านั้น นางมองสาวน้อยไม่วางตา
“หนู...เอ่อ! หนูสัมผัสหรือจับข้าวของในร้านได้มั้ยคะ? พอดีเห็นว่าเป็นของเก่า เลยไม่รู้ว่าจะจับได้มั้ย” ธิดาบอก
“อ้อ! เชิญจ้ะลูก เชิญเลย จับต้องได้ตามสบายเลยนะลูกนะ” หญิงชราบอกพร้อมกับยิ้มละไมเช่นเคย นางหยิบเอาผ้าเช็ดหน้าผืนเก่าขึ้นมาซับน้ำตาที่ไหลรินออกมาทั้งสองข้าง ธิดามองแล้วยิ้มแห้ง ๆ ก่อนจะใช้ฝ่ามือขาวนุ่มและนิ้วเรียวยาวลูบไล้ไปบนสินค้าที่เธอเดินดูอยู่
แล้วธิดาก็หยุดยืนอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งโบราณตัวหนึ่ง มันมีลักษณะเรียบง่ายทั่วไป กระจกรูปวงรีขนาดพอเหมาะและขอบไม้ที่มีฉลุลายนั้นเข้ากันอย่างสวยงาม เนื้อไม้มีร่องรอยที่ถูกกาลเวลาทำให้ผุพังเล็กน้อย รอยบิ่นรอยด่างแม้จะพอมีให้เห็น แต่มันก็ไม่ได้กลบความงามที่มีอยู่จนมิดชิดได้ เธอยืนมองมันอยู่พักใหญ่ ความเรียบง่ายที่งดงามนั้นดึงดูดให้สายตาของเธอติดตรึงอยู่กับมันมิอาจถอน
“สวยจังเลย” ธิดาปรารภกับตนเอง
“ลองจับดูได้นะลูก” จู่ ๆ หญิงชราก็กล่าวขึ้นจากด้านหลังของธิดาจนเธอสะดุ้งตกใจ พอหันไปก็เห็นใบหน้าที่เหี่ยวย่นนั้นยิ้มสดใสให้เธอ ธิดาหันมามองโต๊ะเครื่องแป้งอีกครั้ง แล้วอาการตกใจเมื่อครู่ก็ถูกความงามของมันทำให้จางหายไป
“หนูจับมันได้เหรอคะ?” ธิดาถามลอย ๆ เหมือนตกอยู่ในภวังค์ฝัน
“เจ้าค่ะ ทำไมจะจับไม่ได้ล่ะเจ้าคะ ก็มันเป็นของคุณหญิงนี่เจ้าคะ” หญิงชราตอบเสียงสั่นเครือน้อย ๆ น้ำใส ๆ เริ่มไหลรินออกมาอีกครั้ง แต่ธิดากลับไม่ได้สนใจจะฟังเลยแม้แต่น้อย ทันทีที่เธอสัมผัสเนื้อไม้ ลมเย็น ๆ พัดวูบเข้ามาพร้อมกับกลิ่นหอมเย็น ๆ ธิดารู้สึกว่าตัวเองล่องลอยอยู่ในห้วงที่ไร้พื้น ร่างกายมันเบาหวิวสบายดั่งความฝัน
“กลับมาหาพี่แล้วรึ? ดวงใจของพี่” เสียงหนึ่งดังก้องขึ้นในมโนจิต มันนุ่มลึกราวกับผู้พูดพยายามสื่อให้รู้สึกได้ถึงความคิดถึงห่วงหาอย่างที่สุด
ธิดาไม่ได้ตอบอะไรออกไป เธอเพียงแต่ยืนหลับตาพริ้ม ยิ้มละไมรับเอาความสุขที่แผ่ซ่านอบอวน แต่แล้วเธอก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อโทรศัพท์มือถือยี่ห้อดังราคาแพงของเธอส่งสัญญาณเตือนว่ามีคนโทรเข้ามา
“ฮัลโหล?”
‘ธิดาหนูอยู่ไหนลูก? ตกลงจะเอามั้ยเนี่ยเฟอร์นิเจอร์ของลูกเนี่ย’ เสียงปลายสายถามด้วยความเป็นห่วง
“พ่อคะ หนูเจอของที่อยากได้แล้วค่ะ พ่อมาหาหนูที่ร้านของมือสองทีนะคะ” ธิดาตอบ
“อ้าว! เดี๋ยวลูก....” เธอไม่ได้รอฟังว่าผู้เป็นพ่อจะพูดอะไรต่อ ลดมือที่ถือโทรศัพท์ลงทิ้งไว้ข้างตัวแล้วกดตัดสาย ส่วนมืออีกข้างก็ยังวางและลูบไล้โต๊ะเครื่องแป้งตัวนั้นอยู่เนืองๆ จู่ ๆ น้ำตาของเธอก็หยดแหมะลงบนพื้นไม้ โดยไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าร้องไห้ตั้งแต่เมื่อไหร่และร้องด้วยสาเหตุอันใด
“ตัวนี้เท่าไหร่คะยาย?” ธิดาถามเบา ๆ หญิงชรามองเธอแล้วเลื่อนสายตาไปจับยังโต๊ะเครื่องแป้งตัวนั้น ยิ้มละไมทั้งน้ำตาแล้วตอบออกมาเสียงสั่นเครือ
“เท่าไหร่ก็แล้วแต่หนูจะให้เลยจ้ะ ยายจะเอาเงินนั่นไปทำบุญ” หญิงชราตอบ
สาวน้อยยืนขอร้องอ้อนวอนให้ผู้เป็นพ่อซื้อโต๊ะเครื่องแป้งตัวนั้นให้ แม้พ่อแม่จะทักท้วงและยื่นข้อเสนอให้เพียงใด แม้พ่อแม่จะบอกว่าจะพาเธอไปซื้อโต๊ะเครื่องแป้งที่สวยกว่านี้มากแค่ไหน เธอก็ไม่ยอม ธิดาร้องขอจะเอาตัวนี้ให้ได้
“มันเป็นของเก่านะลูก เดี๋ยวพ่อพาไปซื้อไอ้ที่มันสวย ๆ ใหม่ ๆ ให้ดีกว่า”
“ไม่ค่ะ หนูอยากได้ตัวนี้” ธิดายืนกราน
“แต่มัน....”
“ไหนพ่อกับแม่บอกว่ารักหนูไงคะ? ที่ผ่านมาหนูไม่เคยขออะไรเลย ครั้งนี้ให้หนูไม่ได้เหรอ?” ธิดาตัดพ้อและเริ่มตั้งท่าจะร้องไห้ คนเป็นพ่อเป็นแม่นั้น แม้จะใจแข็งเพียงใดก็มิอาจต้านทานต่อน้ำตาของลูกได้ และยิ่งเป็นลูกที่ดีและน่ารักอย่างธิดาด้วยแล้ว มีหรือที่ทั้งพ่อและแม่ของเธอจะต้านทานได้
ที่สุดแล้วผู้เป็นพ่อก็ต้องยอมตามใจ เขาดินเข้าไปคุยกับหญิงชราเจ้าของร้านเรื่องราคาโต๊ะเครื่องแป้ง แต่ก็ต้องแปลกใจจนคิ้วผูกโบว์เมื่อได้รับคำตอบ
“แล้วแต่จะให้เลยจ้ะ เงินที่ได้มายายจะเอาไปทำบุญให้เจ้าของเก่าเค้าน่ะ” ได้ยินแบบนี้ แวบแรกที่เขาคิดคือเจ้าของเก่าของโต๊ะเครื่องแป้งตัวนี้สิ้นใจคาโต๊ะเลยหรือเปล่า หรือว่าวิญญาณยังคงวนเวียนอยู่ไม่ยอมไปผุดไปเกิด อาจมีเรื่องราวลึกลับเกิดขึ้นกับโต๊ะเครื่องแป้งตัวนี้ก็ได้ หญิงชราเจ้าของร้านจึงต้องการกำจัดมันออกไปให้พ้น ๆ เสีย โดยไม่ยี่หระกับราคาค่างวดที่จะได้รับ
พ่อของธิดาอ้ำอึ้งนิ่งงันไปครู่อย่างใช้ความคิด เพราะกิริยาท่าทางของหญิงชรามันขัดกับความเป็นพ่อค้าแม้ขายทั่ว ๆ ไป ที่ร้อยทั้งร้อยขายอะไรก็ต้องอยากได้กำไรเป็นกอบเป็นกำทั้งนั้น และอีกประเด็นคือเท่าที่ดูจากเนื้อไม้และลวดลายฉลุแล้ว โต๊ะเครื่องแป้งตัวนี้น่าจะมีอายุไม่ต่ำกว่าเจ็ดแปดสิบปี เผลอ ๆ อาจเป็นร้อยปีเลยก็ไม่น่าจะเกินจริง ราคาอย่างต่ำก็เหยียบหมื่น แต่หญิงชรากลับบอกว่าเท่าไหร่ก็ได้ มันราวกับจะให้โต๊ะตัวนี้ฟรี ๆ แล้วบอกเป็นนัย ๆ ว่าช่วยใส่ซองทำบุญอุทิศให้เจ้าของเก่าเลยมิใช่หรือ?
“ไม่ต้องกังวลไปหรอกจ้ะ โต๊ะตัวนี้ไม่ได้มีอะไรไม่ดีอยู่หรอก เจ้าของเก่าที่ยายว่าน่ะ ท่านเป็นเจ้าขุนมูลนายเก่า เค้ายกมันให้กับยายเมื่อนานมาแล้ว อีกหน่อยยายก็คงต้องตายจากโลกนี้ไป ยายไม่อยากให้ของเก่าแบบนี้ต้องถูกทิ้งไว้เฉย ๆ ไอ้จะให้เอาไปขายให้คนอื่นก็กลัวเค้าจะไม่รักษา เห็นหนูคนนั้นเค้าชอบแล้วยายก็ชอบเค้า ยายเลยอยากยกให้น่ะจ้ะ ส่วนเรื่องเงินทองน่ะยายไม่ต้องการหรอก ยายไม่เดือดร้อนเรื่องนั้น” หญิงชราเจ้าของร้านสาธยายยืดยาวเมื่อเห็นสีหน้ากังวลของพ่อธิดา
“พ่อคะ ซื้อให้หนูนะคะ หนูชอบจริง ๆ” ธิดาอ้อนวอนอีกครั้ง พ่อของสาวน้อยถอนหายใจยาว มองหน้าลูกสาวสุดที่รักและหญิงชราเจ้าของร้านสลับกัน แล้วก็เลื่อนสายตาไปมองโต๊ะเครื่องแป้งตัวนั้นก่อนจะถอนหายใจยาวอีกครั้ง
“เอ้า! ก็ได้” พ่อของธิดากล่าว
“เย้! ขอบคุณค่ะ รักคุณพ่อที่สุดเลย!!” ธิดาพูดอย่างดีใจราวเด็กสองขวบได้ของเล่นชิ้นใหม่ เธอรีบวิ่งไปยังโต๊ะเครื่องแป้งตัวนั้น ลูบคลำมันอย่างรักใคร่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไม่หยุด ฝ่ายคนเป็นพ่อเมื่อเห็นอาการดีใจของลูกสาวก็อดยิ้มออกมาไม่ได้
“จริง ๆ เลยน้า หึ ๆ” พ่อธิดาปรารภกับตนเองส่ายหน้าน้อย ๆ ยิ้มละไม
โต๊ะเครื่องแป้งตัวนั้นถูกขนย้ายไปที่บ้านคุณย่า โดยพ่อของธิดาจ้างรถขนของที่หญิงชราเจ้าของร้านแนะนำให้ เขาซื้อโต๊ะตัวนี้ให้ลูกสาวในราคาสองพันบาท ความจริงจะให้มากกว่านี้แต่หญิงชราเจ้าของร้านปฏิเสธ
“เอ้อ! ว่าแต่คุณยายชื่ออะไรเหรอคะ?” ธิดาถามก่อนที่เธอจะก้าวออกจากร้าน
“ยายชื่อเนียนจ้ะ” หญิงชราตอบยิ้ม ๆ
“งั้นหนูไปก่อนนะคะคุณยายเนียน รักษาสุขภาพด้วยนะคะ” ธิดาจับมือเหี่ยวๆ ของหญิงชราบีบนิดหน่อยพลางกล่าวลา แล้วเธอก็เดินยิ้มแป้นออกจากร้านไป
“คุณหญิงเองก็รักษาสุขภาพนะเจ้าคะ” หญิงชรายกมือของนางขึ้นมาสูดดมราวกับคิดถึงอาลัยอาวรณ์อย่างที่สุด น้ำตาค่อย ๆ ไหลออกมาอีกครั้ง แต่มันเป็นน้ำตาแห่งความอิ่มอกอิ่มใจ
“ได้พบกันแล้วนะคะคุณท่าน” นางกล่าวพร้อมกับมองท้ายรถขนของแล่นออกไปช้า ๆ “เพียงเท่านี้ บ่าวก็นอนตายตาหลับแล้วเจ้าค่ะ”
(มีต่อนะครับ)
โต๊ะเครื่องแป้ง 1. (สองตอนจบ)
เรื่อง : โต๊ะเครื่องแป้ง 1
โดย : ตรัยโศก ณ ริมน่าน
เรื่องสั้นชุดนี้ ผู้เขียนขอสงวนสิทธิ์ในการนำไปเผยแพร่ในช่องทางอื่น ขอบคุณครับ
เรื่องราวความรักที่ฝังแน่นหยั่งรากลึกลงในหัวใจข้ามภพข้ามชาติ ที่แม้จะตายทิ้งร่างห่างหายไกลจากกันฝังแยกกันคนละหลุม ตายกันคนละเวลา เผากันคนละวัด แต่หากคนรักกันดวงจิตย่อมผูกพันติดตามกันไปทุกภพทุกชาติ ดังเช่นเรื่องราวของธิดา สาวน้อยวัยยี่สิบสี่ปี ผู้ที่จะนำพาทุกคนไปพบเรื่องราวที่ไม่น่าเชื่อ เรื่องราวเหนือธรรมชาติ เรื่องราวที่ไม่น่าเป็นไปได้
เรื่องราวมันเริ่มขึ้นหลังจากที่เธอและครอบครัวย้ายจากเมืองกรุงกลับมาอยู่บ้านย่าที่ภาคอีสาน เพราะพ่อของเธอเกษียณอายุราชการ จึงคิดอยากกลับมาทำไร่ทำสวนซึ่งเป็นอาชีพหลักที่ต้นตระกูลทำมาแต่เก่าก่อน การต้องย้ายจากเมืองกรุงที่หนาแน่นคับคั่งด้วยความเจริญและผู้คน กลับมาอยู่บ้านนอกคอกนาที่เงียบสงบ ไม่ได้ทำให้ชีวิตของธิดาลำบากแต่อย่างใด ด้วยเงินทองของมีค่าที่พ่อแม่สร้างไว้ เธอสามารถอยู่แบบสบายไปได้ทั้งชาติ อีกทั้งนิสัยส่วนตัวที่เป็นคนง่าย ๆ ไม่ยุ่งยากจุกจิกกับการใช้ชีวิต ธิดาอยู่ที่ไหนก็ได้
เมื่อปู่และย่าทราบข่าวว่าครอบครัวของลูกชายที่ไปทำงานกรุงเทพฯหลายสิบปีจะกลับมา การบูรณะบ้านครั้งใหญ่จึงเกิดขึ้น ความจริงพ่อของธิดานั้นสร้างบ้านไว้หลังหนึ่ง ห่างจากบ้านของปู่กับย่าไม่ถึงร้อยเมตร แต่อยู่ในรั้วรอบขอบชิดเดียวกัน บ้านหลังนั้นสร้างไว้แต่ไม่มีใครมาอยู่ เพราะเจ้าของทำงานอยู่แดนไกล แม้กระนั้นสภาพของบ้านก็ไม่ได้ทรุดโทรมไปตามกาลเวลา เพราะย่าคอยเข้ามาปัดกวาดเช็ดถูอยู่เนือง ๆ ห้องหับก็มีพร้อมสรรพ จะมีก็แต่เฟอร์นิเจอร์บางส่วนเท่านั้นที่ต้องซื้อเข้าไปใหม่
“แม่หนูขอเลือกของเข้าห้องเองนะคะ” ธิดาพูดเสียงสดใสขณะที่พ่อและแม่กำลังพาไปเลือกซื้อเฟอร์นิเจอร์เพิ่มเติม
“จ้า ๆ” แม่ของธิดารับคำขำ ๆ
ธิดา เพลิดเพลินกับการเดินดูสินค้าในร้าน ทั้งตู้ โต๊ะ เตียง ทุกอย่างสวยหรูสมราคาทุกชิ้น แต่กลับไม่มีชิ้นใดที่เธอจะปลงใจได้เลย แม้จะงามเพียงใด แต่ไม่ถูกใจเธอก็ไม่ซื้อ แต่แล้ว เธอก็เหลือบไปเห็นร้านขายเฟอร์นิเจอร์มือสองที่ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามถนน
“พ่อคะแม่คะ หนูขอไปดูของที่ร้านนั้นได้มั้ย?” ธิดาบอกพลางชี้มือไปยังร้านขายของมือสองที่ว่า
“นั่นมันร้านมือสองนะลูก อย่าเลยดูร้านนี้แหละ ของใหม่ทุกชิ้น” พ่อของธิดาบอกพร้อมกับเดินมาจับไหล่ทั้งสองข้างของลูกสาว ผลักเธอให้เดินไปตามช่องว่างของทางเดินที่รายล้อมด้วยตู้เสื้อผ้าสุดหรู
“แต่หนูอยากไปดูอ่ะ ดูเฉย ๆ ไม่ซื้อก็ได้ นะ ๆ”
ธิดาออดอ้อนพร้อมกับทำสายตาอ้อนวอนราวเด็ก ๆ ซึ่งเมื่อเจอมุขนี้คราใด พ่อกับแม่ของเธอก็มีอันต้องใจอ่อนเลี่ยงไม่ได้
เธอเดินข้ามถนนมายังร้านขายของมือสองทันที บรรยากาศในร้านนั้นแตกต่างจากด้านนอกอย่างสิ้นเชิง ความร้อนระอุที่เธอเพิ่งเดินฝ่ามาเมื่อครู่ กลับถูกแทนที่ด้วยความเย็นเยียบชนิดรู้สึกได้ชัดเจน ทั้งที่ภายในร้านก็ไม่ได้มีเครื่องปรับอากาศแต่อย่างใด ข้าวของในร้านแทบทุกชิ้นจะเป็นไม้ จากลักษณะและสีของเนื้อไม้ที่เริ่มซีดเพราะถูกการเวลาทำลาย บ่งบอกว่าของบางชิ้นมีอายุมากกว่าเธอเกือบรอบ
“ขอโทษนะคะ! มีใครอยู่มั้ย? ขอดูของในร้านหน่อยนะคะ!!” ธิดาพูดด้วยเสียงค่อนข้างดัง มีเสียงกึก ๆ เหมือนของแข็งกระทบกับพื้นเป็นจังหวะแว่วมา ครู่หนึ่งร่างของหญิงชราผมขาวหลังงุ้มก็โผล่พ้นออกมาจากช่องว่างหลังตู้เสื้อผ้าไม้สักขนาดใหญ่ เสียงกึก ๆ ที่ได้ยินเมื่อครู่คือเสียงไม้เท้าของหญิงชราคนนั้นนั่นเอง
“คุณหญิงชิดจันทร์!?” หญิงชราอุทานออกมาเมื่อแลเห็นหน้าของธิดาถนัดชัดเจน นัยน์ตาที่เริ่มมีฝ้าขาวจับจาง ๆ นั้นสั่นระริกและเริ่มมีน้ำใส ๆ คลอหน่วย
“คะ?”
“อะ เอ่อ! สนใจสินค้าชิ้นไหนจ๊ะ? แม่หนู” หญิงชราคนนั้นเปลี่ยนท่าทีทันควัน นางถามธิดาด้วยถ้อยคำสุภาพที่สุดเท่าที่แม่ค้าคนหนึ่งจะพูดได้ แม้ใบหน้าเหี่ยวย่นนั้นจะยิ้มแย้มสดใสเพียงใด แต่แววตาสีขุ่นกลับเต็มไปด้วยความโศกอย่างเหลือจะกล่าว
“ยะ ยังไม่รู้เลยค่ะ ขอหนูเดินดูก่อนได้มั้ยคะ?” ธิดาตอบกลับด้วยท่าทีและถ้อยคำที่สุภาพเช่นกัน
หญิงชราพยักหน้ารับยิ้มละไม ก่อนที่นางจะเดินยักแย่ยักยันไปหลังตู้กระจก ที่ด้านในมีเครื่องประดับทั้งเงินและทองวางเรียงรายจำเริญตา ธิดาเลิกสนใจนางและเดินชมสินค้าภายในร้านอย่างเพลิดเพลินอีกครั้ง
“เอ่อ! หนูจับได้ใช่มั้ยคะ?” ธิดาร้องถาม
“จ๊ะ? ว่าอะไรนะลูก?” หญิงชราเจ้าของร้านถามกลับ นั่นแสดงให้เห็นว่านางต้องหูไม่ค่อยดี เพราะตลอดเวลาที่ธิดาเดินชมสินค้านั้น นางมองสาวน้อยไม่วางตา
“หนู...เอ่อ! หนูสัมผัสหรือจับข้าวของในร้านได้มั้ยคะ? พอดีเห็นว่าเป็นของเก่า เลยไม่รู้ว่าจะจับได้มั้ย” ธิดาบอก
“อ้อ! เชิญจ้ะลูก เชิญเลย จับต้องได้ตามสบายเลยนะลูกนะ” หญิงชราบอกพร้อมกับยิ้มละไมเช่นเคย นางหยิบเอาผ้าเช็ดหน้าผืนเก่าขึ้นมาซับน้ำตาที่ไหลรินออกมาทั้งสองข้าง ธิดามองแล้วยิ้มแห้ง ๆ ก่อนจะใช้ฝ่ามือขาวนุ่มและนิ้วเรียวยาวลูบไล้ไปบนสินค้าที่เธอเดินดูอยู่
แล้วธิดาก็หยุดยืนอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งโบราณตัวหนึ่ง มันมีลักษณะเรียบง่ายทั่วไป กระจกรูปวงรีขนาดพอเหมาะและขอบไม้ที่มีฉลุลายนั้นเข้ากันอย่างสวยงาม เนื้อไม้มีร่องรอยที่ถูกกาลเวลาทำให้ผุพังเล็กน้อย รอยบิ่นรอยด่างแม้จะพอมีให้เห็น แต่มันก็ไม่ได้กลบความงามที่มีอยู่จนมิดชิดได้ เธอยืนมองมันอยู่พักใหญ่ ความเรียบง่ายที่งดงามนั้นดึงดูดให้สายตาของเธอติดตรึงอยู่กับมันมิอาจถอน
“สวยจังเลย” ธิดาปรารภกับตนเอง
“ลองจับดูได้นะลูก” จู่ ๆ หญิงชราก็กล่าวขึ้นจากด้านหลังของธิดาจนเธอสะดุ้งตกใจ พอหันไปก็เห็นใบหน้าที่เหี่ยวย่นนั้นยิ้มสดใสให้เธอ ธิดาหันมามองโต๊ะเครื่องแป้งอีกครั้ง แล้วอาการตกใจเมื่อครู่ก็ถูกความงามของมันทำให้จางหายไป
“หนูจับมันได้เหรอคะ?” ธิดาถามลอย ๆ เหมือนตกอยู่ในภวังค์ฝัน
“เจ้าค่ะ ทำไมจะจับไม่ได้ล่ะเจ้าคะ ก็มันเป็นของคุณหญิงนี่เจ้าคะ” หญิงชราตอบเสียงสั่นเครือน้อย ๆ น้ำใส ๆ เริ่มไหลรินออกมาอีกครั้ง แต่ธิดากลับไม่ได้สนใจจะฟังเลยแม้แต่น้อย ทันทีที่เธอสัมผัสเนื้อไม้ ลมเย็น ๆ พัดวูบเข้ามาพร้อมกับกลิ่นหอมเย็น ๆ ธิดารู้สึกว่าตัวเองล่องลอยอยู่ในห้วงที่ไร้พื้น ร่างกายมันเบาหวิวสบายดั่งความฝัน
“กลับมาหาพี่แล้วรึ? ดวงใจของพี่” เสียงหนึ่งดังก้องขึ้นในมโนจิต มันนุ่มลึกราวกับผู้พูดพยายามสื่อให้รู้สึกได้ถึงความคิดถึงห่วงหาอย่างที่สุด
ธิดาไม่ได้ตอบอะไรออกไป เธอเพียงแต่ยืนหลับตาพริ้ม ยิ้มละไมรับเอาความสุขที่แผ่ซ่านอบอวน แต่แล้วเธอก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อโทรศัพท์มือถือยี่ห้อดังราคาแพงของเธอส่งสัญญาณเตือนว่ามีคนโทรเข้ามา
“ฮัลโหล?”
‘ธิดาหนูอยู่ไหนลูก? ตกลงจะเอามั้ยเนี่ยเฟอร์นิเจอร์ของลูกเนี่ย’ เสียงปลายสายถามด้วยความเป็นห่วง
“พ่อคะ หนูเจอของที่อยากได้แล้วค่ะ พ่อมาหาหนูที่ร้านของมือสองทีนะคะ” ธิดาตอบ
“อ้าว! เดี๋ยวลูก....” เธอไม่ได้รอฟังว่าผู้เป็นพ่อจะพูดอะไรต่อ ลดมือที่ถือโทรศัพท์ลงทิ้งไว้ข้างตัวแล้วกดตัดสาย ส่วนมืออีกข้างก็ยังวางและลูบไล้โต๊ะเครื่องแป้งตัวนั้นอยู่เนืองๆ จู่ ๆ น้ำตาของเธอก็หยดแหมะลงบนพื้นไม้ โดยไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าร้องไห้ตั้งแต่เมื่อไหร่และร้องด้วยสาเหตุอันใด
“ตัวนี้เท่าไหร่คะยาย?” ธิดาถามเบา ๆ หญิงชรามองเธอแล้วเลื่อนสายตาไปจับยังโต๊ะเครื่องแป้งตัวนั้น ยิ้มละไมทั้งน้ำตาแล้วตอบออกมาเสียงสั่นเครือ
“เท่าไหร่ก็แล้วแต่หนูจะให้เลยจ้ะ ยายจะเอาเงินนั่นไปทำบุญ” หญิงชราตอบ
สาวน้อยยืนขอร้องอ้อนวอนให้ผู้เป็นพ่อซื้อโต๊ะเครื่องแป้งตัวนั้นให้ แม้พ่อแม่จะทักท้วงและยื่นข้อเสนอให้เพียงใด แม้พ่อแม่จะบอกว่าจะพาเธอไปซื้อโต๊ะเครื่องแป้งที่สวยกว่านี้มากแค่ไหน เธอก็ไม่ยอม ธิดาร้องขอจะเอาตัวนี้ให้ได้
“มันเป็นของเก่านะลูก เดี๋ยวพ่อพาไปซื้อไอ้ที่มันสวย ๆ ใหม่ ๆ ให้ดีกว่า”
“ไม่ค่ะ หนูอยากได้ตัวนี้” ธิดายืนกราน
“แต่มัน....”
“ไหนพ่อกับแม่บอกว่ารักหนูไงคะ? ที่ผ่านมาหนูไม่เคยขออะไรเลย ครั้งนี้ให้หนูไม่ได้เหรอ?” ธิดาตัดพ้อและเริ่มตั้งท่าจะร้องไห้ คนเป็นพ่อเป็นแม่นั้น แม้จะใจแข็งเพียงใดก็มิอาจต้านทานต่อน้ำตาของลูกได้ และยิ่งเป็นลูกที่ดีและน่ารักอย่างธิดาด้วยแล้ว มีหรือที่ทั้งพ่อและแม่ของเธอจะต้านทานได้
ที่สุดแล้วผู้เป็นพ่อก็ต้องยอมตามใจ เขาดินเข้าไปคุยกับหญิงชราเจ้าของร้านเรื่องราคาโต๊ะเครื่องแป้ง แต่ก็ต้องแปลกใจจนคิ้วผูกโบว์เมื่อได้รับคำตอบ
“แล้วแต่จะให้เลยจ้ะ เงินที่ได้มายายจะเอาไปทำบุญให้เจ้าของเก่าเค้าน่ะ” ได้ยินแบบนี้ แวบแรกที่เขาคิดคือเจ้าของเก่าของโต๊ะเครื่องแป้งตัวนี้สิ้นใจคาโต๊ะเลยหรือเปล่า หรือว่าวิญญาณยังคงวนเวียนอยู่ไม่ยอมไปผุดไปเกิด อาจมีเรื่องราวลึกลับเกิดขึ้นกับโต๊ะเครื่องแป้งตัวนี้ก็ได้ หญิงชราเจ้าของร้านจึงต้องการกำจัดมันออกไปให้พ้น ๆ เสีย โดยไม่ยี่หระกับราคาค่างวดที่จะได้รับ
พ่อของธิดาอ้ำอึ้งนิ่งงันไปครู่อย่างใช้ความคิด เพราะกิริยาท่าทางของหญิงชรามันขัดกับความเป็นพ่อค้าแม้ขายทั่ว ๆ ไป ที่ร้อยทั้งร้อยขายอะไรก็ต้องอยากได้กำไรเป็นกอบเป็นกำทั้งนั้น และอีกประเด็นคือเท่าที่ดูจากเนื้อไม้และลวดลายฉลุแล้ว โต๊ะเครื่องแป้งตัวนี้น่าจะมีอายุไม่ต่ำกว่าเจ็ดแปดสิบปี เผลอ ๆ อาจเป็นร้อยปีเลยก็ไม่น่าจะเกินจริง ราคาอย่างต่ำก็เหยียบหมื่น แต่หญิงชรากลับบอกว่าเท่าไหร่ก็ได้ มันราวกับจะให้โต๊ะตัวนี้ฟรี ๆ แล้วบอกเป็นนัย ๆ ว่าช่วยใส่ซองทำบุญอุทิศให้เจ้าของเก่าเลยมิใช่หรือ?
“ไม่ต้องกังวลไปหรอกจ้ะ โต๊ะตัวนี้ไม่ได้มีอะไรไม่ดีอยู่หรอก เจ้าของเก่าที่ยายว่าน่ะ ท่านเป็นเจ้าขุนมูลนายเก่า เค้ายกมันให้กับยายเมื่อนานมาแล้ว อีกหน่อยยายก็คงต้องตายจากโลกนี้ไป ยายไม่อยากให้ของเก่าแบบนี้ต้องถูกทิ้งไว้เฉย ๆ ไอ้จะให้เอาไปขายให้คนอื่นก็กลัวเค้าจะไม่รักษา เห็นหนูคนนั้นเค้าชอบแล้วยายก็ชอบเค้า ยายเลยอยากยกให้น่ะจ้ะ ส่วนเรื่องเงินทองน่ะยายไม่ต้องการหรอก ยายไม่เดือดร้อนเรื่องนั้น” หญิงชราเจ้าของร้านสาธยายยืดยาวเมื่อเห็นสีหน้ากังวลของพ่อธิดา
“พ่อคะ ซื้อให้หนูนะคะ หนูชอบจริง ๆ” ธิดาอ้อนวอนอีกครั้ง พ่อของสาวน้อยถอนหายใจยาว มองหน้าลูกสาวสุดที่รักและหญิงชราเจ้าของร้านสลับกัน แล้วก็เลื่อนสายตาไปมองโต๊ะเครื่องแป้งตัวนั้นก่อนจะถอนหายใจยาวอีกครั้ง
“เอ้า! ก็ได้” พ่อของธิดากล่าว
“เย้! ขอบคุณค่ะ รักคุณพ่อที่สุดเลย!!” ธิดาพูดอย่างดีใจราวเด็กสองขวบได้ของเล่นชิ้นใหม่ เธอรีบวิ่งไปยังโต๊ะเครื่องแป้งตัวนั้น ลูบคลำมันอย่างรักใคร่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไม่หยุด ฝ่ายคนเป็นพ่อเมื่อเห็นอาการดีใจของลูกสาวก็อดยิ้มออกมาไม่ได้
“จริง ๆ เลยน้า หึ ๆ” พ่อธิดาปรารภกับตนเองส่ายหน้าน้อย ๆ ยิ้มละไม
โต๊ะเครื่องแป้งตัวนั้นถูกขนย้ายไปที่บ้านคุณย่า โดยพ่อของธิดาจ้างรถขนของที่หญิงชราเจ้าของร้านแนะนำให้ เขาซื้อโต๊ะตัวนี้ให้ลูกสาวในราคาสองพันบาท ความจริงจะให้มากกว่านี้แต่หญิงชราเจ้าของร้านปฏิเสธ
“เอ้อ! ว่าแต่คุณยายชื่ออะไรเหรอคะ?” ธิดาถามก่อนที่เธอจะก้าวออกจากร้าน
“ยายชื่อเนียนจ้ะ” หญิงชราตอบยิ้ม ๆ
“งั้นหนูไปก่อนนะคะคุณยายเนียน รักษาสุขภาพด้วยนะคะ” ธิดาจับมือเหี่ยวๆ ของหญิงชราบีบนิดหน่อยพลางกล่าวลา แล้วเธอก็เดินยิ้มแป้นออกจากร้านไป
“คุณหญิงเองก็รักษาสุขภาพนะเจ้าคะ” หญิงชรายกมือของนางขึ้นมาสูดดมราวกับคิดถึงอาลัยอาวรณ์อย่างที่สุด น้ำตาค่อย ๆ ไหลออกมาอีกครั้ง แต่มันเป็นน้ำตาแห่งความอิ่มอกอิ่มใจ
“ได้พบกันแล้วนะคะคุณท่าน” นางกล่าวพร้อมกับมองท้ายรถขนของแล่นออกไปช้า ๆ “เพียงเท่านี้ บ่าวก็นอนตายตาหลับแล้วเจ้าค่ะ”
(มีต่อนะครับ)