.
ต้องมีวาสนาต่อกัน
............................
เคยเชื่อเรื่องวาสนาต่อกันไหม? ทำไมคนบางคนจึงได้เป็นกัลยาณมิตรต่อกัน ชี้ชวนแนะนำกันไปทำความดี ชวนได้โดยง่ายดาย แต่กับอีกหลายคนชวนเท่าไรก็ไม่ไป สอนกล่าวตักเตือนก็ไม่ฟัง ดีกับเขาเขาก็ไม่มีวันดีตอบ กลับคิดว่าเราประสงค์ร้าย ไม่เห็นความหวังดีของเรา ไม่ต้องกังวลหรือเดือดร้อนใจ
เพราะทุกคนมีบุพกรรมของตนเองและต้องเคยมีปัจจัยฝ่ายกุศลต่อกัน ก็จะเป็นกัลยาณมิตรกัน
พระพุทธเจ้าก็มีสิ่งที่แม้
พระองค์ก็ทำไม่ได้ 4 อย่างที่บันทึกไว้ คือ
01. ไม่สามารถโปรดสัตว์ที่ไม่มีวาสนาต่อพระองค์
02. ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงกรรมของสัตว์ได้
03. ไม่สามารถโปรดสัตว์ให้สิ้นได้
04. ไม่สามารถโปรดหรือให้ปัญญาผู้ใดได้ ต้องฝึกฝนเรียนรู้ด้วยตนเอง
วันหนึ่งพระศากยมุนีพุทธเจ้ากำลังแสดงธรรมอยู่ แล้วทันใดนั้นพระพุทธองค์กล่าวแก่พระอานนท์ว่า “อานนท์เธอเอาถังน้ำใบหนึ่งไปเบื้องหน้า ตามทางจะมีหมู่บ้านแห่งหนึ่ง จะมีหญิงชรานางหนึ่งกำลังซักเสื้อผ้าอยู่ เธอจงขอน้ำนางกลับมาถังหนึ่ง แต่จำไว้ ว่าเธอต้องแสดงกิริยาสุภาพกับนางด้วย”
พระอานนท์รับคำแล้วก็นำถังน้ำเปล่าเดินไปทางที่พระพุทธองค์ทรงบอก และคิดในใจว่าเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ไม่ยากเย็นอะไร เมื่อไปถึงหมู่บ้านแห่งนั้น ก็เห็นสตรีชราไว้ผมขาวนางหนึ่งกำลังซักผ้าอยู่จริงๆ พระอานนท์จึงกล่าวด้วยปิยวาจาเพื่อขอน้ำจากหญิงชรานั้นอย่างสุภาพ
“แม่เฒ่า แม่เฒ่า ข้าอยากจะขอน้ำสักถังจะได้ไหม”
หญิงชรานั้นเมื่อได้เห็นพระอานนท์เหมือนไม่รู้ไปโกรธใครมา
“ไม่ได้หรอก น้ำในบ่อนี้ ใช้ได้แต่คนที่ในหมู่บ้านนี้เท่านั้น คนอื่นห้ามตักเชียวนะ ไม่ให้ๆ”
แถมยังไล่พระอานนท์อีกเสียอย่างนั้น พระอานนท์จะอ้อนวอนขอนางอย่างไรก็ไม่เป็นผล พระอานนท์สิ้นหนทางก็เดินถือถังเปล่ากลับไปเข้าเฝ้าพระพุทธองค์ แล้วแจ้งความตามที่เกิด
พระพุทธองค์ทรงพยักหน้ารับ แล้วบอกให้พระอานนท์นั่งลง แล้วขอให้พระสารีบุตรไปทำแทน
พระสารีบุตรก็กล่าวเช่นเดียวกัน “แม่เฒ่า แม่เฒ่า ข้าอยากจะขอน้ำสักถังจะได้ไหม”
ก็น่าแปลกใจ สตรีชรานางนั้นเมื่อได้เห็นพระสารีบุตรก็ทำหน้าเหมือนได้พบกับญาติที่ไม่ได้เจอกันเนิ่นนาน ไม่โกรธ ไม่โวยวาย แถมยังกล่าวตอบด้วยดีๆ
“ได้เลยๆ เอาเลย ตามสบายเลยพระคุณเจ้า มาๆ ข้าช่วยท่านตักน้ำดีกว่า” ก่อนที่พระสารีบุตรจะกลับ นางก็กุลีกุจอกลับบ้าน รีบกลับไปเอาสิ่งของมาถวายพระสารีบุตรให้พระสารีบุตรนำกลับไปอีก
เมื่อพระสารีบุตรรับน้ำมาถวายพระพุทธเจ้าแล้ว ก็บอกให้พระสารีบุตรนั่งลง พระอานนท์สงสัยเป็นกำลัง จึงได้ทูลถามพระพุทธเจ้า “ด้วยเหตุอะไร จึงเป็นเช่นนี้พระพุทธเจ้าข้า”
"ที่นางปฏิบัติกับเจ้าทั้งสองแตกต่างกันเช่นนี้ เพราะว่าในชาติอันล่วงมาแล้ว สตรีชรานางนี้มีสภาพเป็นเดรัจฉาน เกิดเป็นหนูตัวหนึ่ง แล้วนางก็ตายอยู่บนถนน พระอานนท์ในชาตินั้นเป็นพ่อค้าผ่านทางมา เมื่อได้เห็นซากของหนูตัวนั้นตายอยู่ ในใจของพระอานนท์ก็เกิดความรู้สึกสะอิดสะเอียนและเดินเอามือปิดจมูกแล้วจากไป แต่ตรงกันข้ามกับพระสารีบุตร คราวนั้นเมื่อพระสารีบุตรได้เห็นซากหนูตัวนั้น ก็ให้บังเกิดจิตเวทนาสงสาร ซ้ำยังเอาซากหนูตัวนั้นไปฝังกลบอย่างดี เมื่อชาตินี้พวกเจ้าได้พบกันอีกครั้ง สิ่งที่นางปฏิบัติต่อเจ้าทั้งสองจึงมีความแตกต่างกันเช่นนี้"
จิตเป็นเรื่องละเอียดอ่อน เราต้องรอบคอบและไม่ควรก้าวล่วงผู้อื่นแม้เพียงความคิด
จากมหาปรัชญาปารมิโตปเทศน์ มีบันทึกไว้ว่า พระพุทธเจ้าพร้อมพระอานนท์เดินบิณฑบาตในเมืองไวศาลี พระอานนท์มองเห็นสตรีนางหนึ่งยากจนข้นแค้นเป็นที่น่าสงสาร พระอานนท์ทูลขอให้พระพุทธองค์ไปโปรดนาง
พระพุทธองค์ตรัสว่า “ เรากับนางไม่มีเหตุปัจจัยผูกต่อกัน ดังนั้นนางก็จะไม่ศรัทธาในเรา เราก็ไม่สามารถที่จะโปรดนางได้ ”
พระอานนท์ได้รบเร้าอยู่ถึง 3 ครั้ง พระพุทธเจ้าจึงดำเนินไปหานาง
เมื่อยืนต่อหน้านาง สตรีนางนั้นก็กลับหันหลังและไม่สนใจพระพุทธเจ้า ไม่ว่าพระองค์จะเดินไปต่อหน้านางกี่ครั้ง นางก็จะหันหลังให้กับพระองค์ทุกครั้ง แม้พระพุทธองค์จะใช้ฤทธิ์ให้พระกายปรากฏขึ้นทั้งสี่ทิศพร้อมกัน สตรีนางนั้นก็ปิดตาเสีย ไม่มอง ไม่สนใจพระองค์
พระอานนท์จึงได้ประจักษ์แก่คำพูดของพระพุทธเจ้าที่ว่า
“หากไร้วาสนา ไร้ปัจจัยผูกพันต่อกัน ไม่สามารถโปรดกันได้”
แม้กับพระพุทธเจ้าเองก็ไม่มียกเว้น...
วาสนา
ต้องมีวาสนาต่อกัน
............................
เคยเชื่อเรื่องวาสนาต่อกันไหม? ทำไมคนบางคนจึงได้เป็นกัลยาณมิตรต่อกัน ชี้ชวนแนะนำกันไปทำความดี ชวนได้โดยง่ายดาย แต่กับอีกหลายคนชวนเท่าไรก็ไม่ไป สอนกล่าวตักเตือนก็ไม่ฟัง ดีกับเขาเขาก็ไม่มีวันดีตอบ กลับคิดว่าเราประสงค์ร้าย ไม่เห็นความหวังดีของเรา ไม่ต้องกังวลหรือเดือดร้อนใจ
เพราะทุกคนมีบุพกรรมของตนเองและต้องเคยมีปัจจัยฝ่ายกุศลต่อกัน ก็จะเป็นกัลยาณมิตรกัน
พระพุทธเจ้าก็มีสิ่งที่แม้
พระองค์ก็ทำไม่ได้ 4 อย่างที่บันทึกไว้ คือ
01. ไม่สามารถโปรดสัตว์ที่ไม่มีวาสนาต่อพระองค์
02. ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงกรรมของสัตว์ได้
03. ไม่สามารถโปรดสัตว์ให้สิ้นได้
04. ไม่สามารถโปรดหรือให้ปัญญาผู้ใดได้ ต้องฝึกฝนเรียนรู้ด้วยตนเอง
วันหนึ่งพระศากยมุนีพุทธเจ้ากำลังแสดงธรรมอยู่ แล้วทันใดนั้นพระพุทธองค์กล่าวแก่พระอานนท์ว่า “อานนท์เธอเอาถังน้ำใบหนึ่งไปเบื้องหน้า ตามทางจะมีหมู่บ้านแห่งหนึ่ง จะมีหญิงชรานางหนึ่งกำลังซักเสื้อผ้าอยู่ เธอจงขอน้ำนางกลับมาถังหนึ่ง แต่จำไว้ ว่าเธอต้องแสดงกิริยาสุภาพกับนางด้วย”
พระอานนท์รับคำแล้วก็นำถังน้ำเปล่าเดินไปทางที่พระพุทธองค์ทรงบอก และคิดในใจว่าเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ไม่ยากเย็นอะไร เมื่อไปถึงหมู่บ้านแห่งนั้น ก็เห็นสตรีชราไว้ผมขาวนางหนึ่งกำลังซักผ้าอยู่จริงๆ พระอานนท์จึงกล่าวด้วยปิยวาจาเพื่อขอน้ำจากหญิงชรานั้นอย่างสุภาพ
“แม่เฒ่า แม่เฒ่า ข้าอยากจะขอน้ำสักถังจะได้ไหม”
หญิงชรานั้นเมื่อได้เห็นพระอานนท์เหมือนไม่รู้ไปโกรธใครมา
“ไม่ได้หรอก น้ำในบ่อนี้ ใช้ได้แต่คนที่ในหมู่บ้านนี้เท่านั้น คนอื่นห้ามตักเชียวนะ ไม่ให้ๆ”
แถมยังไล่พระอานนท์อีกเสียอย่างนั้น พระอานนท์จะอ้อนวอนขอนางอย่างไรก็ไม่เป็นผล พระอานนท์สิ้นหนทางก็เดินถือถังเปล่ากลับไปเข้าเฝ้าพระพุทธองค์ แล้วแจ้งความตามที่เกิด
พระพุทธองค์ทรงพยักหน้ารับ แล้วบอกให้พระอานนท์นั่งลง แล้วขอให้พระสารีบุตรไปทำแทน
พระสารีบุตรก็กล่าวเช่นเดียวกัน “แม่เฒ่า แม่เฒ่า ข้าอยากจะขอน้ำสักถังจะได้ไหม”
ก็น่าแปลกใจ สตรีชรานางนั้นเมื่อได้เห็นพระสารีบุตรก็ทำหน้าเหมือนได้พบกับญาติที่ไม่ได้เจอกันเนิ่นนาน ไม่โกรธ ไม่โวยวาย แถมยังกล่าวตอบด้วยดีๆ
“ได้เลยๆ เอาเลย ตามสบายเลยพระคุณเจ้า มาๆ ข้าช่วยท่านตักน้ำดีกว่า” ก่อนที่พระสารีบุตรจะกลับ นางก็กุลีกุจอกลับบ้าน รีบกลับไปเอาสิ่งของมาถวายพระสารีบุตรให้พระสารีบุตรนำกลับไปอีก
เมื่อพระสารีบุตรรับน้ำมาถวายพระพุทธเจ้าแล้ว ก็บอกให้พระสารีบุตรนั่งลง พระอานนท์สงสัยเป็นกำลัง จึงได้ทูลถามพระพุทธเจ้า “ด้วยเหตุอะไร จึงเป็นเช่นนี้พระพุทธเจ้าข้า”
"ที่นางปฏิบัติกับเจ้าทั้งสองแตกต่างกันเช่นนี้ เพราะว่าในชาติอันล่วงมาแล้ว สตรีชรานางนี้มีสภาพเป็นเดรัจฉาน เกิดเป็นหนูตัวหนึ่ง แล้วนางก็ตายอยู่บนถนน พระอานนท์ในชาตินั้นเป็นพ่อค้าผ่านทางมา เมื่อได้เห็นซากของหนูตัวนั้นตายอยู่ ในใจของพระอานนท์ก็เกิดความรู้สึกสะอิดสะเอียนและเดินเอามือปิดจมูกแล้วจากไป แต่ตรงกันข้ามกับพระสารีบุตร คราวนั้นเมื่อพระสารีบุตรได้เห็นซากหนูตัวนั้น ก็ให้บังเกิดจิตเวทนาสงสาร ซ้ำยังเอาซากหนูตัวนั้นไปฝังกลบอย่างดี เมื่อชาตินี้พวกเจ้าได้พบกันอีกครั้ง สิ่งที่นางปฏิบัติต่อเจ้าทั้งสองจึงมีความแตกต่างกันเช่นนี้"
จิตเป็นเรื่องละเอียดอ่อน เราต้องรอบคอบและไม่ควรก้าวล่วงผู้อื่นแม้เพียงความคิด
จากมหาปรัชญาปารมิโตปเทศน์ มีบันทึกไว้ว่า พระพุทธเจ้าพร้อมพระอานนท์เดินบิณฑบาตในเมืองไวศาลี พระอานนท์มองเห็นสตรีนางหนึ่งยากจนข้นแค้นเป็นที่น่าสงสาร พระอานนท์ทูลขอให้พระพุทธองค์ไปโปรดนาง
พระพุทธองค์ตรัสว่า “ เรากับนางไม่มีเหตุปัจจัยผูกต่อกัน ดังนั้นนางก็จะไม่ศรัทธาในเรา เราก็ไม่สามารถที่จะโปรดนางได้ ”
พระอานนท์ได้รบเร้าอยู่ถึง 3 ครั้ง พระพุทธเจ้าจึงดำเนินไปหานาง
เมื่อยืนต่อหน้านาง สตรีนางนั้นก็กลับหันหลังและไม่สนใจพระพุทธเจ้า ไม่ว่าพระองค์จะเดินไปต่อหน้านางกี่ครั้ง นางก็จะหันหลังให้กับพระองค์ทุกครั้ง แม้พระพุทธองค์จะใช้ฤทธิ์ให้พระกายปรากฏขึ้นทั้งสี่ทิศพร้อมกัน สตรีนางนั้นก็ปิดตาเสีย ไม่มอง ไม่สนใจพระองค์
พระอานนท์จึงได้ประจักษ์แก่คำพูดของพระพุทธเจ้าที่ว่า
“หากไร้วาสนา ไร้ปัจจัยผูกพันต่อกัน ไม่สามารถโปรดกันได้”
แม้กับพระพุทธเจ้าเองก็ไม่มียกเว้น...