"ธรรมและวินัย จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา"
เคยสงสัยมั๊ยว่า
พระอานนท์เรียนพระธรรมจากพระพุทธเจ้าโดยตรง 82,000 พระธรรมขันธ์ (อีก 2,000 ที่เรียนกับพระสารีบุตรและท่านอื่นๆ ยังไม่ต้องกล่าวถึง)
โดยจัดอยู่ในพระวินัย 21,000 พระธรรมขันธ์ พระสุตตันต 21,000 พระธรรมขันธ์
แล้วอีก 40,000 พระธรรมขันธ์ล่ะ อยู่ที่ไหน
เมื่อได้อ่านเหตุผลสนับสนุนที่ว่า
พระอภิธรรมเป็นธรรมที่พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้ พระอภิธรรมมีอยู่แล้วตั้งแต่สมัยพุทธกาล โดยท่าน
ระนาดเอก และท่าน TheAct (ขออภัยหากเอ่ยนามท่านอื่นๆ ไม่ครบในที่นี้)
ทำให้ จขกท ตั้งกระทู้นี้ขึ้น เพื่อเผยแพร่พระพุทธพจน์ อันประกอบด้วยพระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก และพระอภิธรรมปิฎก
เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่การได้ทบทวนอีกครั้ง และให้ผู้ที่ยังไม่ได้อ่าน ได้อ่าน ก็เห็นว่าเป็นการดี
หลักฐานข้อ 1
ในคัมภีร์อปทาน พระอุบาลีได้ทูลสรรเสริญพระพุทธเจ้า มีข้อความเกี่ยวกับพระอภิธรรมว่า
..ข้าแต่พระมุนี สติปัฏฐานของพระองค์เป็นป้อม ปัญญาของพระองค์เป็นทางสี่แพร่ง อิทธิบาท
เป็นทางสามแพร่ง ธรรมวิถีพระองค์ทรงสร้างไว้สวยงาม
พระวินัย พระสูตร พระอภิธรรม
และพระพุทธพจน์อันมีองค์ ๙ ทั้งสิ้นนี้ เป็นธรรมสภาในนครธรรมของพระองค์..
( พระไตรปิฏก เล่มที่ ๓๒ (พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒๔) ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๑ หน้า ๔๐ )
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_page/?book=32&page=40
. . . . . . . . . . . . . . . .
หลักฐานข้อ 2
นอกจากนั้น พระปุณณมันตาณีบุตรได้กล่าวถึงเรื่องที่ท่านเป็นผู้เชี่ยวชาญพระอภิธรรมและสอนคัมภีร์นี้เสมอ ว่า
..เปรียบเหมือนเราแม้ฟังโดยย่อ ก็แสดงได้โดยพิสดาร ฉะนั้น
เราเป็นผู้ฉลาดในนัยแห่ง
พระอภิธรรม เป็นผู้ฉลาดในความ
หมดจดแห่งกถาวัตถ ยังปวงชนให้รู้แจ้งแล้ว เป็นผู้ไม่มีอาสวะอยู่ ..
( พระไตรปิฏก เล่มที่ ๓๒ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒๔ ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๑ หน้าที่ ๓๓.
ปุณณมันตานีปุตตเถราปทานที่ ๗ (๕) ว่าด้วยผลแห่งการแสดงธรรม )
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_page/?book=32&page=33
. . . . . . . . . . . . . . . .
หลักฐานข้อ 3
แม้พระนางเขมาเถรีก็กล่าวเรื่องที่ท่านเป็นผู้เชี่ยวชาญพระอภิธรรมไว้ในคัมภีร์อปทานนี้ว่า
.. ดิฉันเป็นผู้ฉลาดในวิสุทธิทั้งหลาย
คล่องแคล่วในกถาวัตถุ รู้จักนัยแห่งอภิธรรม ถึงความชำนาญในศาสนา ...
( พระไตรปิฏก เล่มที่ ๓๓ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒๕ ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒ -พุทธวังสะ-จริยาปิฎก หน้า ๒๑๗ - ๒๑๘)
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_page/?book=33&page=217
. . . . . . . . . . . . . . . .
หลักฐานข้อ 4
นอกจากนั้น เหล่าภิกษุในสมัยพุทธกาลพากันศึกษาเล่าเรียนและสนทนาเกี่ยวกับพระอภิธรรมเหมือนพระสูตรและพระวินัย มีข้อความเกี่ยวกับเรื่องนี้ดังต่อไปนี้
ภิกษุไม่ศึกษาเพราะอยากได้ลาภอย่างไร? ภิกษุย่อมไม่ศึกษาเพราะเหตุแห่งลาภ
ไม่ศึกษาเพราะปัจจัยแห่งลาภ ไม่ศึกษาเพราะการณะแห่งลาภ ไม่ศึกษาเพราะความเกิดขึ้นแห่งลาภ
ไม่หวังได้ลาภ
ย่อมเล่าเรียนพระสูตร ย่อมเล่าเรียนพระวินัย ย่อมเล่าเรียนพระอภิธรรม
เพื่อประโยชน์ฝึกตน เพื่อสงบตน เพื่อให้ตนปรินิพพาน อย่างเดียวเท่านั้น.
ภิกษุไม่ศึกษาเพราะอยากได้ลาภ แม้อย่างนี้.
(พระไตรปิฏก เล่มที่ ๒๙ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒๑ ขุททกนิกาย มหานิทเทส หน้า ๒๒๐)
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_page/?book=29&page=220
. . . . . . . . . . . . . . . .
หลักฐานข้อ 5
แม้ในพระวินัยปิฎก ก็ปรากฏมีพระอภิธรรมมาตั้งแต่ทรงบัญญัติสิกขาบทบางข้อ ดังนี้
ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไฉนพวกภิกษุณีจึงได้ถามปัญหา
กะภิกษุที่ตนยังมิได้ขอโอกาสเล่า การกระทำของพวกนางนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชน
ที่ยังไม่เลื่อมใส ...
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลภิกษุณีทั้งหลายจงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-
พระบัญญัติ
๑๕๐. ๑๒. อนึ่ง ภิกษุณีใด ถามปัญหากะภิกษุผู้ที่ตนยังมิได้ขอโอกาส เป็นปาจิตตีย์.
เรื่องภิกษุณีหลายรูป จบ.
สิกขาบทวิภังค์
[๔๗๗] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด ...
บทว่า ภิกษุณี ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุณี เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ ... นี้ชื่อว่า ภิกษุณีที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้.
บทว่า ผู้ที่ตนยังมิได้ขอโอกาส คือ ตนยังมิได้บอกกล่าว.
บทว่า ภิกษุ ได้แก่ อุปสัมบันภิกษุ.
คำว่า ถามปัญหา คือ ยังภิกษุให้ทำโอกาสใน
พระสูตรแล้วถามพระวินัย หรือพระอภิธรรม ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
ยังภิกษุให้ทำโอกาสในพระวินัย แล้วถามพระสูตร หรือพระอภิธรรม ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
ยังภิกษุให้ทำโอกาสในพระอภิธรรม แล้วถามพระสูตร หรือพระวินัย ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
( พระไตรปิฏก เล่มที่ ๓ พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๓ ภิกขุณีวิภังค์ หน้าที่ ๒๙๙ - ๓๐๐ )
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_page/?book=3&page=299
. . . . . . . . . . . . . . . .
หลักฐานข้อ 6
จากพระวินัยปิฎก อีกแห่ง
ภิกษุผู้ไม่ประสงค์จะก่น พูดตามเหตุว่า นิมนต์ท่านเรียน
พระสูตร พระคาถา หรือพระอภิธรรมไปก่อนเถิด
ภายหลังจึงค่อยเรียนพระวินัย ดังนี้ ๑ ภิกษุวิกลจริต ๑ ภิกษุอาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.
(อธิบาย - ถ้าภิกษุตำหนิการสาธยายพระวินัยว่าหาประโยชน์มิได้ ย่อมจะมีโทษคือต้องอาบัติตามที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้
แต่ถ้ากล่าวว่าขอให้เรียนพระสูตร, คาถา หรือพระอภิธรรมก่อน แล้วจึงเรียนพระวินัย ภิกษุกล่าวเช่นนี้ไม่ต้องอาบัติ
แม้ภิกษุวิกลจริต และภิกษุผู้เป็นเหตุให้บัญญัติสิกขาบทที่เรียกว่าอาทิกัมมิกะ ก็ไม่ต้องอาบัติเช่นกัน)
( พระไตรปิฏก เล่มที่ ๒ พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๒ มหาวิภังค์ ภาค ๒ หน้า ๕๗๖ )
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_page/?book=2&page=576
. . . . . . . . . . . . . . . . . . .
หลักฐานข้อ 7
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๐ (พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๒) อังคุตตรนิกาย เอก-ทุก-ติกนิบาต อัสสสูตรที่ ๑
[๕๘๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
1 เราจักแสดงม้ากระจอก ๓ จำพวก
และบุรุษกระจอก ๓ จำพวก เธอทั้งหลายจงฟัง จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว
ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ฯ
...
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็บุรุษกระจอกเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยเชาวน์
แต่ไม่สมบูรณ์ด้วยวรรณะ ไม่สมบูรณ์ด้วยความสูงและความใหญ่อย่างไร
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ รู้ชัดตามความเป็นจริงว่า
นี้ทุกข์ นี้เหตุให้เกิดทุกข์ นี้ความดับทุกข์ นี้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์
เรากล่าวว่านี้เป็นเชาวน์ของเขา
แต่เมื่อเขาถูกถามปัญหาใน
อภิธรรม อภิวินัย2 ก็จนปัญญา วิสัชนาไม่ได้
เรากล่าวว่า นี้ไม่ใช่วรรณะของเขา และเขาย่อมไม่ได้จีวร
บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร
เรากล่าวว่า นี้ไม่ใช่ความสูงและความใหญ่ของเขา ฯ
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=20&A=7563&Z=7603
1 ดูกรภิกษุทั้งหลาย - นี่คือหลักฐานที่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าพระพุทธเจ้า "ตรัสเอง" จากพระโอษฐ์
2 คำว่า อภิวินัย ในที่นี้ คัมภีร์อรรถกถากล่าวว่าหมายถึงคัมภีร์ขันธกะและปริวาระ
หรือเป็นการข่มกิเลสอันได้แก่สมถะและวิปัสสนา (ที. อ. ๓.๒๓๐, องฺ. อ. ๓.๒๙๑ - อ้างอิงฉบับมหาจุฬาฯ)
-ข้อสังเกต-
หากเรากล่าวตามเหตุผล ก็จะได้ความว่า พระพุทธเจ้าท่านตรัสถึงอภิธรรม
ท่านตรัสตามพระสูตรที่ได้ยกขึ้นแสดง อภิธรรมนี้เป็นของลัทธิอื่นหรือหนอ? ไม่น่าใช่
อภิธรรมที่กล่าวนี้ กล่าวก่อนการสังคายนาครั้งที่ ๓ หรือหนอ? ถูกแล้ว
พระพุทธเจ้าท่านจะกล่าวอ้างอิงถึงอภิธรรม โดยไม่มีเนื้อหาภายใน ท่านไม่เคยสอนเนื้อหาภายในไว้หรือหนอ?
หรือว่าอภิธรรม เป็นแต่เพียงหัวข้อหรือมีเพียงชื่อเท่านั้นหรือ? ไม่น่าใช่
มีในที่แห่งใดหนอที่พระพุทธองค์ท่านทรงตรัสชื่นชมหัวข้อธรรมซึ่งพระองค์ไม่เคยบอกต่อสาวก? เพียงแต่พระองค์กล่าวลอย ๆ อย่างนั้นหรือ?
พระสารีบุตรท่านเคยฟังอภิธรรมจากพระพุทธองค์อย่างไรหนอ โดยมีแต่ชื่อ ไม่มีอรรถภายใน? คงไม่ใช่
หลักฐานข้อ 8
ข้าแต่พระธีรเจ้า สัทธาของพระองค์เป็นเสาระเนียด การสังวรเป็นนายทวารบาล สติปัฏฐานเป็นป้อม ข้าแต่พระมุนี พระปัญญาของพระองค์เป็นสนาม และพระองค์ได้ทรงสร้างธรรมวิถี มีอิทธิบาทเป็นทางสี่แยก
พระวินัย ๑ พระสูตร ๑ พระอภิธรรม ๑ พระพุทธพจน์ทั้งสิ้นมีองค์ ๙ นี้เป็นธรรมสภาของพระองค์
สุญญตวิหารสมาบัติ ๑ อนิมิตตวิหารสมาบัติ ๑ อปณิหิตสมาบัติ ๑ อเนญชธรรม ๑ นิโรธธรรม ๑ นี้เป็นกุฏีธรรมของพระองค์
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=26&i=317
หลักฐานข้อ 9
พระพุทธเจ้าตรัสว่า
[๒๗๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย กุลบุตรบางพวกในพระธรรมวินัยนี้ ย่อมเล่าเรียนธรรม
คือ สุตตะ เคยยะ
เวยยากรณะ คาถา อุทาน อิติวุตตกะ ชาดก อัพภูตธรรม เวทัลละ...
เวยยากรณะ คือ พระอภิธรรมปิฎกแม้ทั้งหมด พระสูตรที่ไม่มีคาถา และพุทธพจน์อื่นที่ไม่ประกอบด้วยองค์ ๘ พึงทราบว่า เป็นไวยากรณ์
(อ่านพระพุทธพจน์มีองค์ 9 เพิ่มเติมที่ความเห็นด้านล่าง)
ข้อสังเกต
อานันทเถรคาถา ขุททกนิกาย เถรคาถา ข้อ ๓๙๗
พระอานนท์เถระได้เรียนธรรมจากพระพุทธเจ้า ๘๒,๐๐๐ พระธรรมขันธ์
ได้เรียนจากสำนักภิกษุ มีพระธรรมเสนาบดีสารีบุตร เป็นต้น ๒,๐๐๐ พระธรรมขันธ์.
ซึ่งใน ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์นั้น แบ่งเป็น
พระวินัยปิฎก ๒๑,๐๐๐ พระธรรมขันธ์
พระสุตตันตปิฎก ๒๑,๐๐๐ พระธรรมขันธ์
พระอภิธรรมปิฎก ๔๒,๐๐๐ พระธรรมขันธ์
ซึ่งแสดงให้เห็นว่า พระอภิธรรมปิฎกมีจำนวนเท่ากับพระวินัยปิฎก และ พระสุตตันตปิฎก รวมกัน
ฉะนั้น ถ้าพระอภิธรรมปิฎกไม่ใช่พระพุทธพจน์คำสอนของพระพุทธเจ้า ๓ ปิฎก ก็จะเหลือเพียง ๒ ปิฎก ฯ
พระธรรมขันธ์ ก็ไม่ครบ ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=26&i=397
เมื่อพระอานนท์เรียนธรรมจากพระสารีบุตรบ้าง ฟังโดยตรงจากพระพุทธองค์บ้าง
ในส่วนของท่านอื่นรวมถึงจากพระสารีบุตร มี ๒,๐๐๐ พระธรรมขันธ์
ซึ่งน้อยกว่าจำนวน พระอภิธรรมปิฎกซึ่งมี ๔๒,๐๐๐ พระธรรมขันธ์
ก็เท่ากับว่าฟังอภิธรรมปิฏกส่วนใหญ่จากพระพุทธเจ้า
จะเชื่ออย่างไรว่าธรรมที่แสดงโดยพระสารีบุตรนี้พระพุทธองค์รับรองไว้
ก็มีแสดงไว้ดังนี้
ดูกรภิกษุทั้งหลาย สารีบุตรย่อมประกาศธรรมจักร อันไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่าที่ตถาคตให้เป็นไปแล้ว
ไปตามลำดับโดยชอบทีเดียว ฯ
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=14&A=2324&Z=2444
สรุป พระพุทธองค์รับรองพระสารีบุตรไว้
พระธรรมที่พระอานนท์ได้เรียนจากพระพุทธองค์ในส่วนพระอภิธรรมปิฎก มีถึง ๔๒,๐๐๐ พระธรรมขันธ์
หักลบกับที่เรียนจากท่านอื่นและพระสารีบุตร ๒,๐๐๐ พระธรรมขันธ์
ตอบกลับ
0 5
TheAcT
18 กันยายน เวลา 02:48 น
อ่านต่อ คห 23 ด้านล่าง
แก้ไข เพิ่มหลักฐานข้อ 10, 11
สิ้นสงสัยว่า พระอภิธรรม กำเนิดจากคำสอนของพระพุทธองค์
เคยสงสัยมั๊ยว่า
พระอานนท์เรียนพระธรรมจากพระพุทธเจ้าโดยตรง 82,000 พระธรรมขันธ์ (อีก 2,000 ที่เรียนกับพระสารีบุตรและท่านอื่นๆ ยังไม่ต้องกล่าวถึง)
โดยจัดอยู่ในพระวินัย 21,000 พระธรรมขันธ์ พระสุตตันต 21,000 พระธรรมขันธ์
แล้วอีก 40,000 พระธรรมขันธ์ล่ะ อยู่ที่ไหน
เมื่อได้อ่านเหตุผลสนับสนุนที่ว่า
พระอภิธรรมเป็นธรรมที่พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้ พระอภิธรรมมีอยู่แล้วตั้งแต่สมัยพุทธกาล โดยท่าน ระนาดเอก และท่าน TheAct (ขออภัยหากเอ่ยนามท่านอื่นๆ ไม่ครบในที่นี้)
ทำให้ จขกท ตั้งกระทู้นี้ขึ้น เพื่อเผยแพร่พระพุทธพจน์ อันประกอบด้วยพระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก และพระอภิธรรมปิฎก
เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่การได้ทบทวนอีกครั้ง และให้ผู้ที่ยังไม่ได้อ่าน ได้อ่าน ก็เห็นว่าเป็นการดี
ในคัมภีร์อปทาน พระอุบาลีได้ทูลสรรเสริญพระพุทธเจ้า มีข้อความเกี่ยวกับพระอภิธรรมว่า
..ข้าแต่พระมุนี สติปัฏฐานของพระองค์เป็นป้อม ปัญญาของพระองค์เป็นทางสี่แพร่ง อิทธิบาท
เป็นทางสามแพร่ง ธรรมวิถีพระองค์ทรงสร้างไว้สวยงาม พระวินัย พระสูตร พระอภิธรรม
และพระพุทธพจน์อันมีองค์ ๙ ทั้งสิ้นนี้ เป็นธรรมสภาในนครธรรมของพระองค์..
( พระไตรปิฏก เล่มที่ ๓๒ (พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒๔) ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๑ หน้า ๔๐ )
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_page/?book=32&page=40
. . . . . . . . . . . . . . . .
นอกจากนั้น พระปุณณมันตาณีบุตรได้กล่าวถึงเรื่องที่ท่านเป็นผู้เชี่ยวชาญพระอภิธรรมและสอนคัมภีร์นี้เสมอ ว่า
..เปรียบเหมือนเราแม้ฟังโดยย่อ ก็แสดงได้โดยพิสดาร ฉะนั้น
เราเป็นผู้ฉลาดในนัยแห่งพระอภิธรรม เป็นผู้ฉลาดในความ
หมดจดแห่งกถาวัตถ ยังปวงชนให้รู้แจ้งแล้ว เป็นผู้ไม่มีอาสวะอยู่ ..
( พระไตรปิฏก เล่มที่ ๓๒ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒๔ ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๑ หน้าที่ ๓๓.
ปุณณมันตานีปุตตเถราปทานที่ ๗ (๕) ว่าด้วยผลแห่งการแสดงธรรม )
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_page/?book=32&page=33
. . . . . . . . . . . . . . . .
แม้พระนางเขมาเถรีก็กล่าวเรื่องที่ท่านเป็นผู้เชี่ยวชาญพระอภิธรรมไว้ในคัมภีร์อปทานนี้ว่า
.. ดิฉันเป็นผู้ฉลาดในวิสุทธิทั้งหลาย คล่องแคล่วในกถาวัตถุ รู้จักนัยแห่งอภิธรรม ถึงความชำนาญในศาสนา ...
( พระไตรปิฏก เล่มที่ ๓๓ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒๕ ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒ -พุทธวังสะ-จริยาปิฎก หน้า ๒๑๗ - ๒๑๘)
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_page/?book=33&page=217
. . . . . . . . . . . . . . . .
นอกจากนั้น เหล่าภิกษุในสมัยพุทธกาลพากันศึกษาเล่าเรียนและสนทนาเกี่ยวกับพระอภิธรรมเหมือนพระสูตรและพระวินัย มีข้อความเกี่ยวกับเรื่องนี้ดังต่อไปนี้
ภิกษุไม่ศึกษาเพราะอยากได้ลาภอย่างไร? ภิกษุย่อมไม่ศึกษาเพราะเหตุแห่งลาภ
ไม่ศึกษาเพราะปัจจัยแห่งลาภ ไม่ศึกษาเพราะการณะแห่งลาภ ไม่ศึกษาเพราะความเกิดขึ้นแห่งลาภ
ไม่หวังได้ลาภ ย่อมเล่าเรียนพระสูตร ย่อมเล่าเรียนพระวินัย ย่อมเล่าเรียนพระอภิธรรม
เพื่อประโยชน์ฝึกตน เพื่อสงบตน เพื่อให้ตนปรินิพพาน อย่างเดียวเท่านั้น.
ภิกษุไม่ศึกษาเพราะอยากได้ลาภ แม้อย่างนี้.
(พระไตรปิฏก เล่มที่ ๒๙ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒๑ ขุททกนิกาย มหานิทเทส หน้า ๒๒๐)
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_page/?book=29&page=220
. . . . . . . . . . . . . . . .
แม้ในพระวินัยปิฎก ก็ปรากฏมีพระอภิธรรมมาตั้งแต่ทรงบัญญัติสิกขาบทบางข้อ ดังนี้
ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไฉนพวกภิกษุณีจึงได้ถามปัญหา
กะภิกษุที่ตนยังมิได้ขอโอกาสเล่า การกระทำของพวกนางนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชน
ที่ยังไม่เลื่อมใส ...
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลภิกษุณีทั้งหลายจงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-
พระบัญญัติ
๑๕๐. ๑๒. อนึ่ง ภิกษุณีใด ถามปัญหากะภิกษุผู้ที่ตนยังมิได้ขอโอกาส เป็นปาจิตตีย์.
เรื่องภิกษุณีหลายรูป จบ.
สิกขาบทวิภังค์
[๔๗๗] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด ...
บทว่า ภิกษุณี ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุณี เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ ... นี้ชื่อว่า ภิกษุณีที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้.
บทว่า ผู้ที่ตนยังมิได้ขอโอกาส คือ ตนยังมิได้บอกกล่าว.
บทว่า ภิกษุ ได้แก่ อุปสัมบันภิกษุ.
คำว่า ถามปัญหา คือ ยังภิกษุให้ทำโอกาสในพระสูตรแล้วถามพระวินัย หรือพระอภิธรรม ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
ยังภิกษุให้ทำโอกาสในพระวินัย แล้วถามพระสูตร หรือพระอภิธรรม ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
ยังภิกษุให้ทำโอกาสในพระอภิธรรม แล้วถามพระสูตร หรือพระวินัย ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
( พระไตรปิฏก เล่มที่ ๓ พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๓ ภิกขุณีวิภังค์ หน้าที่ ๒๙๙ - ๓๐๐ )
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_page/?book=3&page=299
. . . . . . . . . . . . . . . .
จากพระวินัยปิฎก อีกแห่ง
ภิกษุผู้ไม่ประสงค์จะก่น พูดตามเหตุว่า นิมนต์ท่านเรียนพระสูตร พระคาถา หรือพระอภิธรรมไปก่อนเถิด
ภายหลังจึงค่อยเรียนพระวินัย ดังนี้ ๑ ภิกษุวิกลจริต ๑ ภิกษุอาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.
(อธิบาย - ถ้าภิกษุตำหนิการสาธยายพระวินัยว่าหาประโยชน์มิได้ ย่อมจะมีโทษคือต้องอาบัติตามที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้
แต่ถ้ากล่าวว่าขอให้เรียนพระสูตร, คาถา หรือพระอภิธรรมก่อน แล้วจึงเรียนพระวินัย ภิกษุกล่าวเช่นนี้ไม่ต้องอาบัติ
แม้ภิกษุวิกลจริต และภิกษุผู้เป็นเหตุให้บัญญัติสิกขาบทที่เรียกว่าอาทิกัมมิกะ ก็ไม่ต้องอาบัติเช่นกัน)
( พระไตรปิฏก เล่มที่ ๒ พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๒ มหาวิภังค์ ภาค ๒ หน้า ๕๗๖ )
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_page/?book=2&page=576
. . . . . . . . . . . . . . . . . . .
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๐ (พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๒) อังคุตตรนิกาย เอก-ทุก-ติกนิบาต อัสสสูตรที่ ๑
[๕๘๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย1 เราจักแสดงม้ากระจอก ๓ จำพวก
และบุรุษกระจอก ๓ จำพวก เธอทั้งหลายจงฟัง จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว
ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ฯ
...
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็บุรุษกระจอกเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยเชาวน์
แต่ไม่สมบูรณ์ด้วยวรรณะ ไม่สมบูรณ์ด้วยความสูงและความใหญ่อย่างไร
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ รู้ชัดตามความเป็นจริงว่า
นี้ทุกข์ นี้เหตุให้เกิดทุกข์ นี้ความดับทุกข์ นี้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์
เรากล่าวว่านี้เป็นเชาวน์ของเขา
แต่เมื่อเขาถูกถามปัญหาในอภิธรรม อภิวินัย2 ก็จนปัญญา วิสัชนาไม่ได้
เรากล่าวว่า นี้ไม่ใช่วรรณะของเขา และเขาย่อมไม่ได้จีวร
บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร
เรากล่าวว่า นี้ไม่ใช่ความสูงและความใหญ่ของเขา ฯ
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=20&A=7563&Z=7603
1 ดูกรภิกษุทั้งหลาย - นี่คือหลักฐานที่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าพระพุทธเจ้า "ตรัสเอง" จากพระโอษฐ์
2 คำว่า อภิวินัย ในที่นี้ คัมภีร์อรรถกถากล่าวว่าหมายถึงคัมภีร์ขันธกะและปริวาระ
หรือเป็นการข่มกิเลสอันได้แก่สมถะและวิปัสสนา (ที. อ. ๓.๒๓๐, องฺ. อ. ๓.๒๙๑ - อ้างอิงฉบับมหาจุฬาฯ)
-ข้อสังเกต-
หากเรากล่าวตามเหตุผล ก็จะได้ความว่า พระพุทธเจ้าท่านตรัสถึงอภิธรรม
ท่านตรัสตามพระสูตรที่ได้ยกขึ้นแสดง อภิธรรมนี้เป็นของลัทธิอื่นหรือหนอ? ไม่น่าใช่
อภิธรรมที่กล่าวนี้ กล่าวก่อนการสังคายนาครั้งที่ ๓ หรือหนอ? ถูกแล้ว
พระพุทธเจ้าท่านจะกล่าวอ้างอิงถึงอภิธรรม โดยไม่มีเนื้อหาภายใน ท่านไม่เคยสอนเนื้อหาภายในไว้หรือหนอ?
หรือว่าอภิธรรม เป็นแต่เพียงหัวข้อหรือมีเพียงชื่อเท่านั้นหรือ? ไม่น่าใช่
มีในที่แห่งใดหนอที่พระพุทธองค์ท่านทรงตรัสชื่นชมหัวข้อธรรมซึ่งพระองค์ไม่เคยบอกต่อสาวก? เพียงแต่พระองค์กล่าวลอย ๆ อย่างนั้นหรือ?
พระสารีบุตรท่านเคยฟังอภิธรรมจากพระพุทธองค์อย่างไรหนอ โดยมีแต่ชื่อ ไม่มีอรรถภายใน? คงไม่ใช่
ข้าแต่พระธีรเจ้า สัทธาของพระองค์เป็นเสาระเนียด การสังวรเป็นนายทวารบาล สติปัฏฐานเป็นป้อม ข้าแต่พระมุนี พระปัญญาของพระองค์เป็นสนาม และพระองค์ได้ทรงสร้างธรรมวิถี มีอิทธิบาทเป็นทางสี่แยก พระวินัย ๑ พระสูตร ๑ พระอภิธรรม ๑ พระพุทธพจน์ทั้งสิ้นมีองค์ ๙ นี้เป็นธรรมสภาของพระองค์
สุญญตวิหารสมาบัติ ๑ อนิมิตตวิหารสมาบัติ ๑ อปณิหิตสมาบัติ ๑ อเนญชธรรม ๑ นิโรธธรรม ๑ นี้เป็นกุฏีธรรมของพระองค์
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=26&i=317
พระพุทธเจ้าตรัสว่า
[๒๗๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย กุลบุตรบางพวกในพระธรรมวินัยนี้ ย่อมเล่าเรียนธรรม
คือ สุตตะ เคยยะ เวยยากรณะ คาถา อุทาน อิติวุตตกะ ชาดก อัพภูตธรรม เวทัลละ...
เวยยากรณะ คือ พระอภิธรรมปิฎกแม้ทั้งหมด พระสูตรที่ไม่มีคาถา และพุทธพจน์อื่นที่ไม่ประกอบด้วยองค์ ๘ พึงทราบว่า เป็นไวยากรณ์
(อ่านพระพุทธพจน์มีองค์ 9 เพิ่มเติมที่ความเห็นด้านล่าง)
ข้อสังเกต
อานันทเถรคาถา ขุททกนิกาย เถรคาถา ข้อ ๓๙๗
พระอานนท์เถระได้เรียนธรรมจากพระพุทธเจ้า ๘๒,๐๐๐ พระธรรมขันธ์
ได้เรียนจากสำนักภิกษุ มีพระธรรมเสนาบดีสารีบุตร เป็นต้น ๒,๐๐๐ พระธรรมขันธ์.
ซึ่งใน ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์นั้น แบ่งเป็น
พระวินัยปิฎก ๒๑,๐๐๐ พระธรรมขันธ์
พระสุตตันตปิฎก ๒๑,๐๐๐ พระธรรมขันธ์
พระอภิธรรมปิฎก ๔๒,๐๐๐ พระธรรมขันธ์
ซึ่งแสดงให้เห็นว่า พระอภิธรรมปิฎกมีจำนวนเท่ากับพระวินัยปิฎก และ พระสุตตันตปิฎก รวมกัน
ฉะนั้น ถ้าพระอภิธรรมปิฎกไม่ใช่พระพุทธพจน์คำสอนของพระพุทธเจ้า ๓ ปิฎก ก็จะเหลือเพียง ๒ ปิฎก ฯ
พระธรรมขันธ์ ก็ไม่ครบ ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=26&i=397
เมื่อพระอานนท์เรียนธรรมจากพระสารีบุตรบ้าง ฟังโดยตรงจากพระพุทธองค์บ้าง
ในส่วนของท่านอื่นรวมถึงจากพระสารีบุตร มี ๒,๐๐๐ พระธรรมขันธ์
ซึ่งน้อยกว่าจำนวน พระอภิธรรมปิฎกซึ่งมี ๔๒,๐๐๐ พระธรรมขันธ์
ก็เท่ากับว่าฟังอภิธรรมปิฏกส่วนใหญ่จากพระพุทธเจ้า
จะเชื่ออย่างไรว่าธรรมที่แสดงโดยพระสารีบุตรนี้พระพุทธองค์รับรองไว้
ก็มีแสดงไว้ดังนี้
ดูกรภิกษุทั้งหลาย สารีบุตรย่อมประกาศธรรมจักร อันไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่าที่ตถาคตให้เป็นไปแล้ว
ไปตามลำดับโดยชอบทีเดียว ฯ
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=14&A=2324&Z=2444
สรุป พระพุทธองค์รับรองพระสารีบุตรไว้
พระธรรมที่พระอานนท์ได้เรียนจากพระพุทธองค์ในส่วนพระอภิธรรมปิฎก มีถึง ๔๒,๐๐๐ พระธรรมขันธ์
หักลบกับที่เรียนจากท่านอื่นและพระสารีบุตร ๒,๐๐๐ พระธรรมขันธ์
ตอบกลับ
0 5
TheAcT
18 กันยายน เวลา 02:48 น
อ่านต่อ คห 23 ด้านล่าง
แก้ไข เพิ่มหลักฐานข้อ 10, 11