๔. ธรรมวิหาริกสูตรที่ ๒ 👉👉
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=22&A=2058&Z=2069
[๗๔] อถโข อญฺญตโร ภิกฺขุ เยน ภควา เตนุปสงฺกมิ อุปสงฺกมิตฺวา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิ เอกมนฺตํ นิสินฺโน
[๗๔] ครั้งนั้น ภิกษุรูปหนึ่ง เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
โข โส ภิกฺขุ ภควนฺตํ เอตทโวจ
ครั้นแล้วได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า
ธมฺมวิหารี ธมฺมวิหารีติ ภนฺเต วุจฺจติ กิตฺตาวตา นุ โข ภนฺเต ธมฺมวิหารี โหตีติ ฯ
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ที่เรียก ว่าผู้อยู่ในธรรมๆ ดังนี้ ภิกษุชื่อว่าเป็นผู้อยู่ในธรรมด้วยเหตุเพียงเท่าไรหนอ ฯ
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุ
อิธ ภิกฺขุ ธมฺมํ ปริยาปุณาติ สุตฺตํ ... เวทลฺลํ
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมเรียนธรรม คือ สุตตะ ... เวทัลละ
อุตฺตริญฺจสฺส ปญฺญาย อตฺถํ นปฺปชานาติ
เธอย่อมไม่ทราบเนื้อความของธรรมนั้นที่ยิ่งขึ้นไปด้วยปัญญา
อยํ วุจฺจติ ภิกฺขุ
ปริยตฺติพหุโล โน ธมฺมวิหารี ฯ ฯเปฯ
ภิกษุนี้เรียกว่า เป็นผู้ "
มากด้วยการเรียน " ..ไม่ชื่อว่า "
เป็นผู้อยู่ในธรรม " ฯลฯ <---พวก...ปริยัตติ...นั่นเอง ไม่เข้าใจธรรมนั้น
อิธ ภิกฺขุ ธมฺมํ ปริยาปุณาติ สุตฺตํ ... เวทลฺลํ
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมเล่าเรียนธรรม คือ สุตตะ ... เวทัลละ
อุตฺตริญฺจสฺส ปญฺญาย อตฺถํ ปชานาติ
เธอย่อมทราบชัด เนื้อความของธรรมนั้นที่ยิ่งขึ้นไปด้วยปัญญา <---เข้าใจธรรมที่ตนเรียน...
เอวํ โข ภิกฺขุ
ธมฺมวิหารี โหติ ฯ
ภิกษุชื่อว่า "
เป็นผู้อยู่ในธรรม " อย่างนี้แล
อิติ โข ภิกฺขุ ฯเปฯ
ดูกรภิกษุ ฯลฯ
อยํ โว อมฺหากํ อนุสาสนีติ ฯ
นี้เป็นอนุสาสนีของเราเพื่อเธอทั้งหลาย ฯ
จบสูตรที่ ๔
สรุปว่า...
1. พวกปริยัตติ...คือ..พวกที่ทรงจำพระสัทธรรมได้... แต่ไม่เข้าใจพระสัทธรรม
2. พวกอยู่ในธรรม..ธรรมวิหารี คือ..พวกที่เข้าใจพระสัทธรรมที่ตนเรียนตนทรงจำได้..นั้น
3. ส่วนพวกที่ไปเรียน " สัทธรรมปฏิรูป " <----พวกนี้ไม่ใช่แม้น.. " พวกปริยัตติ ( ปริยตฺติพหุโล ) "
แต่เป็นพวก " null "
พวกที่จำพระสัทธรรมได้มาก...แต่ไม่ไม่เข้าใพระสัทธรรมนั้น <--พระศาสดาเรียกว่า " ผู้มากไปด้วยปริยัติ "...
[๗๔] อถโข อญฺญตโร ภิกฺขุ เยน ภควา เตนุปสงฺกมิ อุปสงฺกมิตฺวา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิ เอกมนฺตํ นิสินฺโน
[๗๔] ครั้งนั้น ภิกษุรูปหนึ่ง เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
โข โส ภิกฺขุ ภควนฺตํ เอตทโวจ
ครั้นแล้วได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า
ธมฺมวิหารี ธมฺมวิหารีติ ภนฺเต วุจฺจติ กิตฺตาวตา นุ โข ภนฺเต ธมฺมวิหารี โหตีติ ฯ
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ที่เรียก ว่าผู้อยู่ในธรรมๆ ดังนี้ ภิกษุชื่อว่าเป็นผู้อยู่ในธรรมด้วยเหตุเพียงเท่าไรหนอ ฯ
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุ
อิธ ภิกฺขุ ธมฺมํ ปริยาปุณาติ สุตฺตํ ... เวทลฺลํ
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมเรียนธรรม คือ สุตตะ ... เวทัลละ
อุตฺตริญฺจสฺส ปญฺญาย อตฺถํ นปฺปชานาติ
เธอย่อมไม่ทราบเนื้อความของธรรมนั้นที่ยิ่งขึ้นไปด้วยปัญญา
อยํ วุจฺจติ ภิกฺขุ ปริยตฺติพหุโล โน ธมฺมวิหารี ฯ ฯเปฯ
ภิกษุนี้เรียกว่า เป็นผู้ " มากด้วยการเรียน " ..ไม่ชื่อว่า " เป็นผู้อยู่ในธรรม " ฯลฯ <---พวก...ปริยัตติ...นั่นเอง ไม่เข้าใจธรรมนั้น
อิธ ภิกฺขุ ธมฺมํ ปริยาปุณาติ สุตฺตํ ... เวทลฺลํ
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมเล่าเรียนธรรม คือ สุตตะ ... เวทัลละ
อุตฺตริญฺจสฺส ปญฺญาย อตฺถํ ปชานาติ
เธอย่อมทราบชัด เนื้อความของธรรมนั้นที่ยิ่งขึ้นไปด้วยปัญญา <---เข้าใจธรรมที่ตนเรียน...
เอวํ โข ภิกฺขุ ธมฺมวิหารี โหติ ฯ
ภิกษุชื่อว่า " เป็นผู้อยู่ในธรรม " อย่างนี้แล
อิติ โข ภิกฺขุ ฯเปฯ
ดูกรภิกษุ ฯลฯ
อยํ โว อมฺหากํ อนุสาสนีติ ฯ
นี้เป็นอนุสาสนีของเราเพื่อเธอทั้งหลาย ฯ
จบสูตรที่ ๔
สรุปว่า...
1. พวกปริยัตติ...คือ..พวกที่ทรงจำพระสัทธรรมได้... แต่ไม่เข้าใจพระสัทธรรม
2. พวกอยู่ในธรรม..ธรรมวิหารี คือ..พวกที่เข้าใจพระสัทธรรมที่ตนเรียนตนทรงจำได้..นั้น
3. ส่วนพวกที่ไปเรียน " สัทธรรมปฏิรูป " <----พวกนี้ไม่ใช่แม้น.. " พวกปริยัตติ ( ปริยตฺติพหุโล ) "
แต่เป็นพวก " null "