เพื่อนๆ ... เชื่อว่า ผีมีจริงไหม ?
ผมคนหนึ่งล่ะ ที่ไม่เชื่อ...จนกระทั่ง
ช่วงฤดูหนาว ปลายปี 2534...
Kawasaki KR -150 SP สีแดงคาดขาวถูกรัดรึงตรึงแน่นอยู่กับที่
"
เอาน้ำมันทิ้งออกเกือบหมดหรือยังครับ หมวด ? "
เจ้าหน้าที่ขนส่งทางอากาศประจำเครื่องถาม
ผมพยักหน้า...
ประตูเครื่องบิน C-130 ค่อยๆ เริ่มปิด
เครื่องเมล์ไปเชียงใหม่น่ะครับ...
ไม่วาย หิ้วสาวติดเครื่องไปด้วย ตามฟอร์ม
ถึงกองบิน 41 เชียงใหม่แระ
ผมลงเป็นคนสุดท้าย นั่งคร่อมอยู่บนมอเตอร์ไซด์
"
ไหลลงไปเลยครับหมวด... " เจ้าหน้าที่คนเดิมบอก
เปิดสวิทช์กุญแจคาไว้เสร็จ ผมก็ไสมอเตอร์ไซด์ลงมา
ประคองรถให้ไหลฟรีตามพื้นลานจอดไปเรื่อยๆ
คะเนว่า ห่างจากเครื่องบินพอสมควรแล้ว
ก็เข้าเกียร์ 2 ปล่อยครัช...พรืด
น้ำมันก้นถังยังพอมีหลงเหลืออยู่บ้าง
สตาร์ทติดอย่างง่ายดาย หาปั๊มเติมน้ำมัน...แพร้บ
ก็ค่อนข้างตลกดี ผมลาพักร้อนในช่วงฤดูหนาว
ทริปนี้ ก็วาดไว้ในใจคร่าวๆ ว่า...
จากเชียงใหม่ จะไต่ขึ้นไปที่ปาย แม่ฮ่องสอน
แล้วล่องลงมาเลาะตามตะเข็บชายแดนพม่า
เข้าแม่เมย แม่สอด กลับกรุงเทพ
แดดก็เนอะ ช่างเป็นใจเป็นอย่างยิ่ง
มัวๆ ซัวๆ คลึ้มตลอด อากาศก็หนาวเย็นยะเยือกเสียด้วย
วันนี้ว่าจะไปค้างที่ปาย
ร่างอีสาวที่ซ้อนผมอยู่เนี่ย เบียดกระเถิบดันเข้ามาเรื่อยๆ
คงหนาว...
แต่ผมสิเนี่ย ดันเจ็บ...
ไข่แต่เดิมที่มีติดตัวอยู่ 2 ฟอง
ถูกเบียดติดกับถังน้ำมันรถเสียแน่นเชียว
สมตามสโลแกนชาวสองล้อที่ว่า
ไข่ติดถัง หลังติดนม...
ถึงตัวเมืองปายก็พลบค่ำ
หารีสอร์ทแถวนั้นได้ ก็พากันหลับปุ๋ย
ตื่นขึ้นมาอีกที ก็ใกล้สว่าง อากาศดีม้ากมาก
ล้างหน้าไก่...ซักทีหนึ่งดีกว่า
จุดหมายต่อไป...แม่ฮ่องสอน
โอ้...นี่มันถนนหรือสันหลังนักการเมืองวะเนี่ย
โค้งไป โค้งมาแบบคดๆ สั้นๆ เสียด้วยนะ
จะไม่เวียนหัว ก็ให้รู้ไป...
ผมบอกให้คนซ้อนคอยนับโค้งดูเล่นๆ...แก้เบื่อ
พอนางนับได้ครบทั้งนิ้วมือและนิ้วเท้ารวมกันแล้ว
จะมาขอยืมนิ้วผมต่ออีก
ผมเลยบอกให้เลิกนับ...เหอะ
ขับรถทีเป็นร้อยกิโลอย่างนี้
ทั้งหิวทั้งเมื่อย อย่าบอกใครทีเดียวเชียว
ถึงแม่ฮ่องสอนร่วมเย็นได้
ผมกับหล่อนก็ล่อข้าวต้มกันเลย
เหงื่องี้ให้ไหลเป็นเม็ดโป้งๆ
ทั้งๆ ที่อากาศก็หนาวเย็นอยู่แท้ๆ
เช้านี้ ผมเริ่มเข้าสู่ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 108 แล้วนะ
ทางหลวงในตำนานที่ชาวไบเกอร์ถวิลหา
เค้าขับมอเตอร์ไซด์กันมาเป็นหมู่ๆ เป็นกลุ่มๆ
ผมขับของผมอยู่คันเดียว !!
เนี่ย...ถ้ายางแตก หรือเกิดอะไรขึ้นมา ทำงาย ?
สราด ขับมาตั้ง 2 วัน 2 คืนแล้ว...ดันเพิ่งจะมาคิด
ถึงแม่สะเรียงก็เริ่มบ่ายคล้อย เป็นเมืองเล็กๆ
ในตัวเมืองไม่มีอะไรให้น่ายลเลย ขับต่อไปดีกว่า
ผมเปลี่ยนมาใช้ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 105
ขับมาจนยันมืดค่ำ หาที่พักไม่ได้เลย
ปั๊มน้ำมันก็ไม่เจอ...
หมอกไม่รู้มาจากไหน ดันมาลงอีก
บรรยากาศชักเริ่มมาคุ (อึมครึม อึดอัด) ดีแท้น้อ...
เปิดไฟสูงวิ่ง เหลือบมองเกจ์วัดน้ำมันซักกะหน่อย
เหลืออยู่เท่าไหร่ว้า ?
ห่ะ รถรุ่นนี้ ไม่มีเกจ์วัดน้ำมันนิ ลืมไป...
มีแต่สัญญาณไฟที่จะกระพริบเตือนว่าน้ำมันใกล้หมด
ตอนนี้ ก็ยังเงียบอยู่ ไม่โชว์
หมวกกันน็อคคนข้างหลังกระแทกหัวผมดังโป๊ก
ผมเอื้อมมือไปบีบต้นขานางแรงๆ...ตื่นๆ
นางเอื้อมมือมาบีบหนอนชาเขียวผมเบาๆ
คล้ายๆ อยากจะสื่อกลับมาว่า...ตื่นแล้วคร่า
ผมขับขึ้นเนินเขาอยู่ แถมยังเข้าโค้งหักศอกอีก
เห็นแสงไฟดวงหนึ่งมาแต่ไกลๆ
ก็ใจชื้นขึ้นมาบ้าง ทางเชี่ยอะไรวะ...เพิ่งจะเจอรถสวน !!
ยังชื้นได้ ไม่ทันหายใจหายคอดีเลย
จู่ๆ ไฟดวงนั้น ก็หายไป
เหอะน่า เดี๋ยวก็เจอ...
เค้ากำลังขับสวนกับเราลงมาอยู่
เหลี่ยมเขาคงบังน่ะ
หลุดโค้งนี้ ก็น่าที่จะจ๊ะเอ๋กันได้แล้ว
พอหลุดโค้งปุ๊บ ถนนก็เทหักไปทางซ้ายอีก
ทางขวามือเป็นหุบเหว เห็นยอดไม้ขึ้นอยู่รำไร
ไฟหน้ารถคันนั้นก็โผล่มาจากเหลี่ยมเขาให้เห็นอีกจนได้
ห่ะ...แต่ค่อนข้างจะดูแหม่งๆ แฮะ
ทำไมไม่วิ่งมาทางนี้ล่ะวะ ?
นั่นเหว...นะเว้ย !!
อีสาวที่นั่งซ้อนท้ายอยู่ ตบไหล่ผมพั่บๆ
ผมจอดรถทันที !!
ไฟหน้ารถที่ผมกล่าวถึงนั้น กำลังลอยไปทางขวามือผม
ไปทางเหว...อย่างช้าๆ เหมือนภาพสโลว์โมชั่น
เป็นดวงกลมโตเท่าลูกบาสเก็ตบอล สีขาวนวล
ความสุกสกาวของมันเล่นเอาผมถึงกับเห็นรายละเอียดของหุบเหว
ยอดไผ่ ยอดไม้นานาชนิดที่แข่งกันชูยอดขึ้นมา
ราวกั้นถนนที่ทอดยาวไปตามโค้งเพื่อกันรถตกเหว
เห็นรอยครูด รอยบุบที่ปรากฏอยู่บนราวกั้น
เห็นแม้จนรอยเบรกที่ลากยาวไปตามพื้นผิวถนน
และก็เห็นแม้กระทั่งศาลไม้เก่าๆ คร่ำคร่า ชายขอบเหว
เราสองคนไม่ได้พูดกันเลยสักแอะ ตะลึงอยู่กับภาพที่เห็น
เจ้าดวงไฟเองนั้นก็อย่างกับจะไม่แยแสต่อผู้เฝ้ามอง
ยังคงลอยเรี่ยลงมาเรื่อยๆ อย่างอ้อยอิ่ง
คะเนเวลารวมๆ แล้ว ผมว่าร่วม 2 นาทีทีเดียวเชียว
มันจึงค่อยๆ ลอยเรี่ยยอดต้นไม้เล่นซักแป๊บ...
แล้วจึงมุดต่ำลงไปเรื่อยๆ จนกลืนหายไปในหุบเหว
เปิดหน้าหมวกกันน็อค มองตากันให้เลิ่กลั่กทั้งคู่
ผมไปต่อ แต่ใจตอนนี้ชักเริ่มไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
ภาวนาในใจ ขอให้เจอบ้านคนซักหลังก็ยังดี
ความรู้สึกหนาวที่มีเป็นทุนเดิมอยู่แล้วจากอากาศ
ในตอนนี้ กลับรู้สึกหนาวหนักขึ้นไปอีก สั่นเลยก็ว่าได้
ไฟหน้ารถที่สาดส่องไปข้างหน้าตัดกับความมืด
ชวนให้ผมหวาดระแวงหนักเข้าไปอีก...
กลัวมีสิ่งใดสิ่งหนึ่งหลุดโผล่เข้ามาในซีน
แค่หมู หมาตัดหน้าอาจได้มีสิทธิ์ลงไปกินหญ้าข้างทางแน่
คนข้างหลังผมก็ดันกระตุ้นซ้ำอีก หัวเข่าหล่อนตีข้างขาผมผั่บๆ
รู้เลยว่ากลัวสุดขีด คงกลัวจะมีอะไรตามมาข้างหลังแน่ๆ
ก็ดันนั่งหลังนิ...
ขนาดผมเองที่เป็นคนขับ อยู่ข้างหน้าแท้ๆ
ยังรู้สึกเองเลยว่าเสียวสันหลังวาบๆ
ขนงี้ให้ลุกให้ชันไปทั่วตัว
อีกทั้ง จากแต่เดิมที่ชอบนั่งเบียดตัวผมอยู่แล้ว
ตอนนี้หนักกว่าเก่าอีก เบียดเสียจนชิด...ซะยิ่งกว่าชิด
แนบสนิท เสียจนซะ...ยิ่งกว่าแนบสนิท
หากมองเผินๆ ใครดันมาเห็นเข้าอาจจะเข้าใจผิด
คิดว่า มอเตอร์ไซด์อะไรวุ้ย มีคนนั่งขับอยู่ถึง 2 คน
ก็นางเล่นเบียดซะจน...
แทบจะเข้ามาจับแฮนด์มอเตอร์ไซด์แทนผมได้อยู่แล้ว
อวัยวะเดิมของผมที่เคยชิด สนิท อิงแอบ แนบแน่นอยู่ติดกับถังน้ำมัน
ในเวลาปรกติที่นางมักชอบนั่งเบียดเสียจนแทบจะเหลือฟองเดียวนั้น
หากนางยังคงเบียดเข้ามาอยู่ในสภาพเช่นนี้ตลอดไป
ผมสามารถคาดการณ์ได้เลยว่า กว่าที่จะถึงถนนใหญ่
อวัยวะฟองนั้นน่าที่จะเตรียมตัวสูญพันธุ์ เป็นแน่แท้
ร่วมชั่วโมงมั้ง...ที่ขับอยู่ในสภาพหวาดกลัวเช่นนั้น
จึงได้มาถึงอำเภอท่าสองยาง จังหวัดตาก
น้องที่นั่งซ้อนท้ายผมมา ขวัญเสียเป็นอย่างมาก
นอนกอดผมแทบจะเป็นเนื้อเดียวกันทั้งคืน
เล่นเอาผม เช้าขึ้นมาเนี่ย ปัสสาวะแต่ละที...
มีแต่เสียงลมออกดัง...แฟ่บๆ !!
ประสพการณ์ที่เกิดขึ้นกับผมในทริปนี้
ตราบจนถึงนาทีที่ผมกำลังเขียนอยู่นี้
ผมก็ยังหาคำตอบไม่ได้ว่า...เป็นดวงไฟอะไร
อ่าน ค้นหาดูในอินเตอร์เน็ต ก็เห็นมีแต่การตั้งสมมุติฐานกันไป
ในส่วนตัวเนื้อเรื่องของผมที่เขียน ก็อาจจะดูหยาบโลน
สองแง่ สามง่าม บ้างไปสักหน่อย...ก็ต้องขออภัย
แต่นั่น...ก็ถือว่าผมเลี่ยงอย่างสุดๆ แล้วนะ
ประเด็นหลักที่ผมอยากจะสื่อออกมาจริงๆ นั้น ไม่ใช่ที่ดวงไฟหรอก
แต่เป็น...ผลที่เกิดตามมาจากการเห็นดวงไฟลูกนั้นต่างหาก
ผลที่ว่านั้นก็คือ...
ความรู้สึกทางเพศที่เกิดตามมาจากความรู้สึกตื่นเต้น ตกใจ กลัว
ผมสามารถที่จะตั้งสมมุติฐานเกี่ยวกับประเด็นนี้ขึ้นมาได้เลยว่า...
เมื่อไรก็ตามที่ หากถูกกระตุ้นให้เกิดความรู้สึกตื่นเต้น ตกใจ หรือหวาดกลัวขึ้นมาแล้วล่ะก้อ
ความรู้สึกทางเพศจากเดิม ที่ไม่เคยมี ก็จะ...มี
จากที่มีเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ก็จะมีเพิ่มมากเข้าไปอีก
จากที่มีมากอยู่แล้ว ก็จะมากขึ้นทวีคูณจนแทบนับค่าไม่ได้
มันก็คงทำนองเดียวกันกับละครน้ำเน่าประเภทตบจูบทั้งหลาย
นางเอกโดนตบเสียจนกลัวลาน
แต่สุดท้าย...นางเอกก็เสร็จพระเอก
อย่างนี้อยู่ในเคสที่ว่า จากเดิม ที่ไม่เคยมี ก็จะ...มี
หรือคู่สามีภรรยาที่ทะเลาะกันทุกวัน
เวลาทะเลาะกันเนี่ย นอกจากจะมีความโกรธแล้ว
มันก็จะมีความรู้สึกตื่นเต้นแฝงเข้ามารวมด้วยนะ
มันจะตบเราหรือเปล่าน้อ ?
ถ้ามันตบเราขึ้นมาจริงๆ แล้วเราจะทำอย่างไรดีวุ้ย ?
อุ้ย...คิดๆ ๆ สิ คิด... กลัวก็กลัว ตื่นเต้นก็ตื่นเต้น
ทางฝ่ายตรงกันข้าม ยังไม่ทันได้ตบเลยซักฉาด
คู่ผัวเมียประเภทนี้แหละครับ ที่มักจะมีลูก หัวปี ท้ายปี
อันนี้ ก็จัดอยู่ในเคสที่ว่า จากที่มีเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ก็จะมีเพิ่มมากเข้าไปอีก
ในส่วนกรณีของผมกับสาวเจ้าในท้ายเรื่องนั้น
ก็จัดอยู่ในเคสที่ว่า จากที่มีมากอยู่แล้ว ก็จะทวีคูณขึ้นจนนับค่าไม่ได้
ถึงได้แต่มีลมพ่นออกมา...แฟ่บๆ
อ่านเรื่องผีชวนขนหัวลุกที่ผมเขียนบ่อยๆ
ก็พึงระวังสมมุติฐานนี้กันด้วย...เด๊อ
เดี๋ยวจะหาว่า...ผมไม่เตือน
ไปแระ...แฟ่บ ๆ
ดวงไฟ...ประหลาด
ผมคนหนึ่งล่ะ ที่ไม่เชื่อ...จนกระทั่ง
ช่วงฤดูหนาว ปลายปี 2534...
Kawasaki KR -150 SP สีแดงคาดขาวถูกรัดรึงตรึงแน่นอยู่กับที่
" เอาน้ำมันทิ้งออกเกือบหมดหรือยังครับ หมวด ? "
เจ้าหน้าที่ขนส่งทางอากาศประจำเครื่องถาม
ผมพยักหน้า...
ประตูเครื่องบิน C-130 ค่อยๆ เริ่มปิด
เครื่องเมล์ไปเชียงใหม่น่ะครับ...
ไม่วาย หิ้วสาวติดเครื่องไปด้วย ตามฟอร์ม
ถึงกองบิน 41 เชียงใหม่แระ
ผมลงเป็นคนสุดท้าย นั่งคร่อมอยู่บนมอเตอร์ไซด์
" ไหลลงไปเลยครับหมวด... " เจ้าหน้าที่คนเดิมบอก
เปิดสวิทช์กุญแจคาไว้เสร็จ ผมก็ไสมอเตอร์ไซด์ลงมา
ประคองรถให้ไหลฟรีตามพื้นลานจอดไปเรื่อยๆ
คะเนว่า ห่างจากเครื่องบินพอสมควรแล้ว
ก็เข้าเกียร์ 2 ปล่อยครัช...พรืด
น้ำมันก้นถังยังพอมีหลงเหลืออยู่บ้าง
สตาร์ทติดอย่างง่ายดาย หาปั๊มเติมน้ำมัน...แพร้บ
ก็ค่อนข้างตลกดี ผมลาพักร้อนในช่วงฤดูหนาว
ทริปนี้ ก็วาดไว้ในใจคร่าวๆ ว่า...
จากเชียงใหม่ จะไต่ขึ้นไปที่ปาย แม่ฮ่องสอน
แล้วล่องลงมาเลาะตามตะเข็บชายแดนพม่า
เข้าแม่เมย แม่สอด กลับกรุงเทพ
แดดก็เนอะ ช่างเป็นใจเป็นอย่างยิ่ง
มัวๆ ซัวๆ คลึ้มตลอด อากาศก็หนาวเย็นยะเยือกเสียด้วย
วันนี้ว่าจะไปค้างที่ปาย
ร่างอีสาวที่ซ้อนผมอยู่เนี่ย เบียดกระเถิบดันเข้ามาเรื่อยๆ
คงหนาว...
แต่ผมสิเนี่ย ดันเจ็บ...
ไข่แต่เดิมที่มีติดตัวอยู่ 2 ฟอง
ถูกเบียดติดกับถังน้ำมันรถเสียแน่นเชียว
สมตามสโลแกนชาวสองล้อที่ว่า
ไข่ติดถัง หลังติดนม...
ถึงตัวเมืองปายก็พลบค่ำ
หารีสอร์ทแถวนั้นได้ ก็พากันหลับปุ๋ย
ตื่นขึ้นมาอีกที ก็ใกล้สว่าง อากาศดีม้ากมาก
ล้างหน้าไก่...ซักทีหนึ่งดีกว่า
จุดหมายต่อไป...แม่ฮ่องสอน
โอ้...นี่มันถนนหรือสันหลังนักการเมืองวะเนี่ย
โค้งไป โค้งมาแบบคดๆ สั้นๆ เสียด้วยนะ
จะไม่เวียนหัว ก็ให้รู้ไป...
ผมบอกให้คนซ้อนคอยนับโค้งดูเล่นๆ...แก้เบื่อ
พอนางนับได้ครบทั้งนิ้วมือและนิ้วเท้ารวมกันแล้ว
จะมาขอยืมนิ้วผมต่ออีก
ผมเลยบอกให้เลิกนับ...เหอะ
ขับรถทีเป็นร้อยกิโลอย่างนี้
ทั้งหิวทั้งเมื่อย อย่าบอกใครทีเดียวเชียว
ถึงแม่ฮ่องสอนร่วมเย็นได้
ผมกับหล่อนก็ล่อข้าวต้มกันเลย
เหงื่องี้ให้ไหลเป็นเม็ดโป้งๆ
ทั้งๆ ที่อากาศก็หนาวเย็นอยู่แท้ๆ
เช้านี้ ผมเริ่มเข้าสู่ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 108 แล้วนะ
ทางหลวงในตำนานที่ชาวไบเกอร์ถวิลหา
เค้าขับมอเตอร์ไซด์กันมาเป็นหมู่ๆ เป็นกลุ่มๆ
ผมขับของผมอยู่คันเดียว !!
เนี่ย...ถ้ายางแตก หรือเกิดอะไรขึ้นมา ทำงาย ?
สราด ขับมาตั้ง 2 วัน 2 คืนแล้ว...ดันเพิ่งจะมาคิด
ถึงแม่สะเรียงก็เริ่มบ่ายคล้อย เป็นเมืองเล็กๆ
ในตัวเมืองไม่มีอะไรให้น่ายลเลย ขับต่อไปดีกว่า
ผมเปลี่ยนมาใช้ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 105
ขับมาจนยันมืดค่ำ หาที่พักไม่ได้เลย
ปั๊มน้ำมันก็ไม่เจอ...
หมอกไม่รู้มาจากไหน ดันมาลงอีก
บรรยากาศชักเริ่มมาคุ (อึมครึม อึดอัด) ดีแท้น้อ...
เปิดไฟสูงวิ่ง เหลือบมองเกจ์วัดน้ำมันซักกะหน่อย
เหลืออยู่เท่าไหร่ว้า ?
ห่ะ รถรุ่นนี้ ไม่มีเกจ์วัดน้ำมันนิ ลืมไป...
มีแต่สัญญาณไฟที่จะกระพริบเตือนว่าน้ำมันใกล้หมด
ตอนนี้ ก็ยังเงียบอยู่ ไม่โชว์
หมวกกันน็อคคนข้างหลังกระแทกหัวผมดังโป๊ก
ผมเอื้อมมือไปบีบต้นขานางแรงๆ...ตื่นๆ
นางเอื้อมมือมาบีบหนอนชาเขียวผมเบาๆ
คล้ายๆ อยากจะสื่อกลับมาว่า...ตื่นแล้วคร่า
ผมขับขึ้นเนินเขาอยู่ แถมยังเข้าโค้งหักศอกอีก
เห็นแสงไฟดวงหนึ่งมาแต่ไกลๆ
ก็ใจชื้นขึ้นมาบ้าง ทางเชี่ยอะไรวะ...เพิ่งจะเจอรถสวน !!
ยังชื้นได้ ไม่ทันหายใจหายคอดีเลย
จู่ๆ ไฟดวงนั้น ก็หายไป
เหอะน่า เดี๋ยวก็เจอ...
เค้ากำลังขับสวนกับเราลงมาอยู่
เหลี่ยมเขาคงบังน่ะ
หลุดโค้งนี้ ก็น่าที่จะจ๊ะเอ๋กันได้แล้ว
พอหลุดโค้งปุ๊บ ถนนก็เทหักไปทางซ้ายอีก
ทางขวามือเป็นหุบเหว เห็นยอดไม้ขึ้นอยู่รำไร
ไฟหน้ารถคันนั้นก็โผล่มาจากเหลี่ยมเขาให้เห็นอีกจนได้
ห่ะ...แต่ค่อนข้างจะดูแหม่งๆ แฮะ
ทำไมไม่วิ่งมาทางนี้ล่ะวะ ?
นั่นเหว...นะเว้ย !!
อีสาวที่นั่งซ้อนท้ายอยู่ ตบไหล่ผมพั่บๆ
ผมจอดรถทันที !!
ไฟหน้ารถที่ผมกล่าวถึงนั้น กำลังลอยไปทางขวามือผม
ไปทางเหว...อย่างช้าๆ เหมือนภาพสโลว์โมชั่น
เป็นดวงกลมโตเท่าลูกบาสเก็ตบอล สีขาวนวล
ความสุกสกาวของมันเล่นเอาผมถึงกับเห็นรายละเอียดของหุบเหว
ยอดไผ่ ยอดไม้นานาชนิดที่แข่งกันชูยอดขึ้นมา
ราวกั้นถนนที่ทอดยาวไปตามโค้งเพื่อกันรถตกเหว
เห็นรอยครูด รอยบุบที่ปรากฏอยู่บนราวกั้น
เห็นแม้จนรอยเบรกที่ลากยาวไปตามพื้นผิวถนน
และก็เห็นแม้กระทั่งศาลไม้เก่าๆ คร่ำคร่า ชายขอบเหว
เราสองคนไม่ได้พูดกันเลยสักแอะ ตะลึงอยู่กับภาพที่เห็น
เจ้าดวงไฟเองนั้นก็อย่างกับจะไม่แยแสต่อผู้เฝ้ามอง
ยังคงลอยเรี่ยลงมาเรื่อยๆ อย่างอ้อยอิ่ง
คะเนเวลารวมๆ แล้ว ผมว่าร่วม 2 นาทีทีเดียวเชียว
มันจึงค่อยๆ ลอยเรี่ยยอดต้นไม้เล่นซักแป๊บ...
แล้วจึงมุดต่ำลงไปเรื่อยๆ จนกลืนหายไปในหุบเหว
เปิดหน้าหมวกกันน็อค มองตากันให้เลิ่กลั่กทั้งคู่
ผมไปต่อ แต่ใจตอนนี้ชักเริ่มไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
ภาวนาในใจ ขอให้เจอบ้านคนซักหลังก็ยังดี
ความรู้สึกหนาวที่มีเป็นทุนเดิมอยู่แล้วจากอากาศ
ในตอนนี้ กลับรู้สึกหนาวหนักขึ้นไปอีก สั่นเลยก็ว่าได้
ไฟหน้ารถที่สาดส่องไปข้างหน้าตัดกับความมืด
ชวนให้ผมหวาดระแวงหนักเข้าไปอีก...
กลัวมีสิ่งใดสิ่งหนึ่งหลุดโผล่เข้ามาในซีน
แค่หมู หมาตัดหน้าอาจได้มีสิทธิ์ลงไปกินหญ้าข้างทางแน่
คนข้างหลังผมก็ดันกระตุ้นซ้ำอีก หัวเข่าหล่อนตีข้างขาผมผั่บๆ
รู้เลยว่ากลัวสุดขีด คงกลัวจะมีอะไรตามมาข้างหลังแน่ๆ
ก็ดันนั่งหลังนิ...
ขนาดผมเองที่เป็นคนขับ อยู่ข้างหน้าแท้ๆ
ยังรู้สึกเองเลยว่าเสียวสันหลังวาบๆ
ขนงี้ให้ลุกให้ชันไปทั่วตัว
อีกทั้ง จากแต่เดิมที่ชอบนั่งเบียดตัวผมอยู่แล้ว
ตอนนี้หนักกว่าเก่าอีก เบียดเสียจนชิด...ซะยิ่งกว่าชิด
แนบสนิท เสียจนซะ...ยิ่งกว่าแนบสนิท
หากมองเผินๆ ใครดันมาเห็นเข้าอาจจะเข้าใจผิด
คิดว่า มอเตอร์ไซด์อะไรวุ้ย มีคนนั่งขับอยู่ถึง 2 คน
ก็นางเล่นเบียดซะจน...
แทบจะเข้ามาจับแฮนด์มอเตอร์ไซด์แทนผมได้อยู่แล้ว
อวัยวะเดิมของผมที่เคยชิด สนิท อิงแอบ แนบแน่นอยู่ติดกับถังน้ำมัน
ในเวลาปรกติที่นางมักชอบนั่งเบียดเสียจนแทบจะเหลือฟองเดียวนั้น
หากนางยังคงเบียดเข้ามาอยู่ในสภาพเช่นนี้ตลอดไป
ผมสามารถคาดการณ์ได้เลยว่า กว่าที่จะถึงถนนใหญ่
อวัยวะฟองนั้นน่าที่จะเตรียมตัวสูญพันธุ์ เป็นแน่แท้
ร่วมชั่วโมงมั้ง...ที่ขับอยู่ในสภาพหวาดกลัวเช่นนั้น
จึงได้มาถึงอำเภอท่าสองยาง จังหวัดตาก
น้องที่นั่งซ้อนท้ายผมมา ขวัญเสียเป็นอย่างมาก
นอนกอดผมแทบจะเป็นเนื้อเดียวกันทั้งคืน
เล่นเอาผม เช้าขึ้นมาเนี่ย ปัสสาวะแต่ละที...
มีแต่เสียงลมออกดัง...แฟ่บๆ !!
ประสพการณ์ที่เกิดขึ้นกับผมในทริปนี้
ตราบจนถึงนาทีที่ผมกำลังเขียนอยู่นี้
ผมก็ยังหาคำตอบไม่ได้ว่า...เป็นดวงไฟอะไร
อ่าน ค้นหาดูในอินเตอร์เน็ต ก็เห็นมีแต่การตั้งสมมุติฐานกันไป
ในส่วนตัวเนื้อเรื่องของผมที่เขียน ก็อาจจะดูหยาบโลน
สองแง่ สามง่าม บ้างไปสักหน่อย...ก็ต้องขออภัย
แต่นั่น...ก็ถือว่าผมเลี่ยงอย่างสุดๆ แล้วนะ
ประเด็นหลักที่ผมอยากจะสื่อออกมาจริงๆ นั้น ไม่ใช่ที่ดวงไฟหรอก
แต่เป็น...ผลที่เกิดตามมาจากการเห็นดวงไฟลูกนั้นต่างหาก
ผลที่ว่านั้นก็คือ...
ความรู้สึกทางเพศที่เกิดตามมาจากความรู้สึกตื่นเต้น ตกใจ กลัว
ผมสามารถที่จะตั้งสมมุติฐานเกี่ยวกับประเด็นนี้ขึ้นมาได้เลยว่า...
เมื่อไรก็ตามที่ หากถูกกระตุ้นให้เกิดความรู้สึกตื่นเต้น ตกใจ หรือหวาดกลัวขึ้นมาแล้วล่ะก้อ
ความรู้สึกทางเพศจากเดิม ที่ไม่เคยมี ก็จะ...มี
จากที่มีเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ก็จะมีเพิ่มมากเข้าไปอีก
จากที่มีมากอยู่แล้ว ก็จะมากขึ้นทวีคูณจนแทบนับค่าไม่ได้
มันก็คงทำนองเดียวกันกับละครน้ำเน่าประเภทตบจูบทั้งหลาย
นางเอกโดนตบเสียจนกลัวลาน
แต่สุดท้าย...นางเอกก็เสร็จพระเอก
อย่างนี้อยู่ในเคสที่ว่า จากเดิม ที่ไม่เคยมี ก็จะ...มี
หรือคู่สามีภรรยาที่ทะเลาะกันทุกวัน
เวลาทะเลาะกันเนี่ย นอกจากจะมีความโกรธแล้ว
มันก็จะมีความรู้สึกตื่นเต้นแฝงเข้ามารวมด้วยนะ
มันจะตบเราหรือเปล่าน้อ ?
ถ้ามันตบเราขึ้นมาจริงๆ แล้วเราจะทำอย่างไรดีวุ้ย ?
อุ้ย...คิดๆ ๆ สิ คิด... กลัวก็กลัว ตื่นเต้นก็ตื่นเต้น
ทางฝ่ายตรงกันข้าม ยังไม่ทันได้ตบเลยซักฉาด
คู่ผัวเมียประเภทนี้แหละครับ ที่มักจะมีลูก หัวปี ท้ายปี
อันนี้ ก็จัดอยู่ในเคสที่ว่า จากที่มีเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ก็จะมีเพิ่มมากเข้าไปอีก
ในส่วนกรณีของผมกับสาวเจ้าในท้ายเรื่องนั้น
ก็จัดอยู่ในเคสที่ว่า จากที่มีมากอยู่แล้ว ก็จะทวีคูณขึ้นจนนับค่าไม่ได้
ถึงได้แต่มีลมพ่นออกมา...แฟ่บๆ
อ่านเรื่องผีชวนขนหัวลุกที่ผมเขียนบ่อยๆ
ก็พึงระวังสมมุติฐานนี้กันด้วย...เด๊อ
เดี๋ยวจะหาว่า...ผมไม่เตือน
ไปแระ...แฟ่บ ๆ