สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 4
จากที่อ่านๆ มา เข้าใจความรู้สึกนะคะ ขอเป็นกำลังใจให้นะคะ ให้ผ่านช่วงรู้สึกไม่ดีไปให้ได้
มาฟังเรื่องของพี่มามา ไม่รู้ใช้คำแทนตัวเองได้ไหม แต่ก็หัวหงอกแล้วแหละตอนนี้ 555
พี่เป็นคนนึง ที่ เคยเป็นอากาศธาตุในที่ทำงานค่ะ เพราะ......... พี่ช่วยงานแล้วก็โดนแกล้ง โดนแกล้งสาระพัดค่ะ แล้วพอไม่ช่วยก็โดนเหมือนเดิม
โดนพูด-ดันทุกอย่าง ทั้งช่วยหรือไม่ช่วย พี่ก็เลยเลือกที่จะไม่ช่วยงานส่วนเกินหน้าตักของตัวเอง พี่จะทำงานตัวเองเท่านั้น กลับบ้านจบ
พี่ไม่เข้ากลุ่มเสวนาใดๆ กับคนในที่ทำงาน (เพราะเคยเข้าไปแล้ว เรื่องทุกอย่างไม่พ้น นินทาว่าร้ายคนอื่น แล้วยกยอตัวเองในกลุ่ม เพื่อให้พรรคพวกในกลุ่มชื่นชมและยอมรับตัวเอง ถึงเรื่องพวกนั้นจะเป็นเรื่องโกหกก็ตาม แต่ก็พอใจที่จะยังทำกันเรื่อย) พี่โดนพูด-ดันครั้งแรก ไม่ใช่เพราะการทำงาน แต่เพราะฐานะทางการเงินดีกว่า โดนสาระพัด ไม่ว่าจะเป็น ก็รวยอะเนอะ อิจฉาาาาาว่ะ นี้ๆ มาดูเร็ววววววววว เขาโพสท์อะไรลงโซเชียล (ซึ่งแต่ก่อนเข้ามาทำงาน ก็โพสท์ปกติ เช่นที่บ้านเป็นกงสี หรือวันหยุดนี้ ครอบครัวเราไปเที่ยวที่ไหน แต่เขาก็แขวะ) เลยเลิกเป็นเพื่อนในโซเชียลกับคนประเภทนี้
เพราะนอกจากเป็นมลพิษทางอารมณ์แล้วยังเป็นมลพิษทางใจด้วย เวลาเขาหลอกให้คนในทีมทำงานให้ เขาจะเอาน้ำหรือขนมมาให้กัน ซื้อบ้างขอมาบ้างจากของจัดเบรคการประชุม พี่เองทั้งทำงานให้ก็ไม่เคยได้ แล้วเขาก็ทำทียิ้มเยาะ เอาตรงๆ พี่ไม่ต้องการขนมหรือน้ำ พี่แค่อยากได้ความจริงใจ เช่นมีโปรเจคมา เขาก็บอกว่า ช่วยทำหน่อยได้ไหมค่ะ เดี๋ยวเลี้ยงน้ำน๊า แล้วก็พอทำให้ เขาซื้อน้ำมาค่ะ แต่ให้คนในทีมเขาที่ไม่ได้ช่วยอะไรเขาเลย ส่วนเราเขาไม่ให้ค่ะ กินแล้วยิ้มเยาะ แบบสะใจแกล้งเราได้ไรงี้ หรือเขาจะกินข้าว หรือสุมศีรษะคุยกัน เม้าท์เรื่องนั้นเรื่องนี้ พี่ก็ไม่เคยสนใจค่ะ
เรามีเงิน มีรถ มีคนที่รักอีกมากค่ะ อย่าได้ใส่ใจ ถ้าเข้าไม่ได้จริงๆ ก็อยู่ให้เป็นและมองเห็นคุณค่าตัวเองให้ได้ค่ะ ลองมองมาที่ครอบครัวค่ะ โฟกัสใหม่ โฟกัสในสิ่งที่ตัวเองจะมีความสุข ใครเกลียดก็ปล่อยเขาค่ะ น้องไม่สามารถทำให้ทุกๆคนรักได้ ถ้าทำได้ขนาดนั้นก็คงเหนื่อยแย่
ที่ทำงานเก่า พี่เคยเป็นแบบนี้ แล้วพอพี่ย้ายออกมา ก็เจอสังคมเดิมๆ แต่พี่ไม่ได้โฟกัสที่เพื่อนร่วมงาน พี่ไม่เอาคำคนมาใส่ใจ เพราะพี่ห้ามความคิดใครไม่ได้ค่ะ แต่พี่เลือกจะทำได้ ที่ทำงานเก่าพี่ ตอนนี้คนที่เคยเข้ากลุ่มกัน และชอบเม้าท์พี่ ตอนนี้ นางตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน นางเจอพี่แล้วยกมือไหว้ทุกครั้ง นางโพสท์ทุกข์ใจแทบทุกวัน ทั้งๆที่แต่ก่อนนางเองก็เป็นคนที่ชอบทำแบบนี้กับคนอื่น ทำให้เขาเป็นหัวเดียวกระเทียมลีบ ตอนนี้นางเจอกับตัวเองเองแล้ว เพราะมีเด็กใหม่มา ผู้บริหารเขาก็ไม่ได้ให้ความสำคัญนางเหมือนแต่ก่อน ดังนั้น ขอให้มีความสุขนะคะ อย่าไปฝากความรู้สึกดีๆ อย่าไปฝากคุณค่าตัวเองไว้กับคนอื่น โชคดีค่ะ
มาฟังเรื่องของพี่มามา ไม่รู้ใช้คำแทนตัวเองได้ไหม แต่ก็หัวหงอกแล้วแหละตอนนี้ 555
พี่เป็นคนนึง ที่ เคยเป็นอากาศธาตุในที่ทำงานค่ะ เพราะ......... พี่ช่วยงานแล้วก็โดนแกล้ง โดนแกล้งสาระพัดค่ะ แล้วพอไม่ช่วยก็โดนเหมือนเดิม
โดนพูด-ดันทุกอย่าง ทั้งช่วยหรือไม่ช่วย พี่ก็เลยเลือกที่จะไม่ช่วยงานส่วนเกินหน้าตักของตัวเอง พี่จะทำงานตัวเองเท่านั้น กลับบ้านจบ
พี่ไม่เข้ากลุ่มเสวนาใดๆ กับคนในที่ทำงาน (เพราะเคยเข้าไปแล้ว เรื่องทุกอย่างไม่พ้น นินทาว่าร้ายคนอื่น แล้วยกยอตัวเองในกลุ่ม เพื่อให้พรรคพวกในกลุ่มชื่นชมและยอมรับตัวเอง ถึงเรื่องพวกนั้นจะเป็นเรื่องโกหกก็ตาม แต่ก็พอใจที่จะยังทำกันเรื่อย) พี่โดนพูด-ดันครั้งแรก ไม่ใช่เพราะการทำงาน แต่เพราะฐานะทางการเงินดีกว่า โดนสาระพัด ไม่ว่าจะเป็น ก็รวยอะเนอะ อิจฉาาาาาว่ะ นี้ๆ มาดูเร็ววววววววว เขาโพสท์อะไรลงโซเชียล (ซึ่งแต่ก่อนเข้ามาทำงาน ก็โพสท์ปกติ เช่นที่บ้านเป็นกงสี หรือวันหยุดนี้ ครอบครัวเราไปเที่ยวที่ไหน แต่เขาก็แขวะ) เลยเลิกเป็นเพื่อนในโซเชียลกับคนประเภทนี้
เพราะนอกจากเป็นมลพิษทางอารมณ์แล้วยังเป็นมลพิษทางใจด้วย เวลาเขาหลอกให้คนในทีมทำงานให้ เขาจะเอาน้ำหรือขนมมาให้กัน ซื้อบ้างขอมาบ้างจากของจัดเบรคการประชุม พี่เองทั้งทำงานให้ก็ไม่เคยได้ แล้วเขาก็ทำทียิ้มเยาะ เอาตรงๆ พี่ไม่ต้องการขนมหรือน้ำ พี่แค่อยากได้ความจริงใจ เช่นมีโปรเจคมา เขาก็บอกว่า ช่วยทำหน่อยได้ไหมค่ะ เดี๋ยวเลี้ยงน้ำน๊า แล้วก็พอทำให้ เขาซื้อน้ำมาค่ะ แต่ให้คนในทีมเขาที่ไม่ได้ช่วยอะไรเขาเลย ส่วนเราเขาไม่ให้ค่ะ กินแล้วยิ้มเยาะ แบบสะใจแกล้งเราได้ไรงี้ หรือเขาจะกินข้าว หรือสุมศีรษะคุยกัน เม้าท์เรื่องนั้นเรื่องนี้ พี่ก็ไม่เคยสนใจค่ะ
เรามีเงิน มีรถ มีคนที่รักอีกมากค่ะ อย่าได้ใส่ใจ ถ้าเข้าไม่ได้จริงๆ ก็อยู่ให้เป็นและมองเห็นคุณค่าตัวเองให้ได้ค่ะ ลองมองมาที่ครอบครัวค่ะ โฟกัสใหม่ โฟกัสในสิ่งที่ตัวเองจะมีความสุข ใครเกลียดก็ปล่อยเขาค่ะ น้องไม่สามารถทำให้ทุกๆคนรักได้ ถ้าทำได้ขนาดนั้นก็คงเหนื่อยแย่
ที่ทำงานเก่า พี่เคยเป็นแบบนี้ แล้วพอพี่ย้ายออกมา ก็เจอสังคมเดิมๆ แต่พี่ไม่ได้โฟกัสที่เพื่อนร่วมงาน พี่ไม่เอาคำคนมาใส่ใจ เพราะพี่ห้ามความคิดใครไม่ได้ค่ะ แต่พี่เลือกจะทำได้ ที่ทำงานเก่าพี่ ตอนนี้คนที่เคยเข้ากลุ่มกัน และชอบเม้าท์พี่ ตอนนี้ นางตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน นางเจอพี่แล้วยกมือไหว้ทุกครั้ง นางโพสท์ทุกข์ใจแทบทุกวัน ทั้งๆที่แต่ก่อนนางเองก็เป็นคนที่ชอบทำแบบนี้กับคนอื่น ทำให้เขาเป็นหัวเดียวกระเทียมลีบ ตอนนี้นางเจอกับตัวเองเองแล้ว เพราะมีเด็กใหม่มา ผู้บริหารเขาก็ไม่ได้ให้ความสำคัญนางเหมือนแต่ก่อน ดังนั้น ขอให้มีความสุขนะคะ อย่าไปฝากความรู้สึกดีๆ อย่าไปฝากคุณค่าตัวเองไว้กับคนอื่น โชคดีค่ะ
ความคิดเห็นที่ 52
เรานึกถึงเพื่อนเราคนนึงค่ะ เราว่าคล้ายจขกท.มาก เพื่อนเราคนนี้ขี้เหวี่ยง เวลาไม่พอใจจะไม่เก็บอาการ หรือมีนิสัยเหน็บแนมประชด ซึ่งเขาจะแสดงนิสัยเฉพาะเวลาสนิทกันแล้วเท่านั้น เราเอือมระอามากค่ะ และเขาก็โดนแบนจากที่งานทุกที่ โดยที่เจ้าตัวก็มาบ่นกันเราแบบจขกท.นี่แหละค่ะ ไม่เข้าใจว่าทำไมโดนแบนทั้งที่คิดว่าตัวเองทำดี มาตลอด ยกตัวอย่างความเหวี่ยงของเพื่อนเรานะคะ สมมติว่าชื่อแอนนะคะ
- ไปกินข้าวกลางวันด้วยกันเป็นกลุ่ม ร้านบริการไม่ค่อยดี รออาหารช้า เพื่อนในโต๊ะก็บ่นๆกันแต่ก็ไม่อะไรแค่คิดว่าคงไม่มากินอีก แต่เพื่อนเราคนนี้ไปเหวี่ยงใส่พนักงาน ไม่ได้คอมเพลนนะคะ แต่เหวี่ยงด้วยคำพูด เช่น สั่งวันนี้ได้กินพรุ่งนี้หรอน้อง ช้าแบบนี้ปลูกข้าวอยู่หรอไง เดี๋ยวจะไปรีวิวแย่ๆในเพจ บลาๆ ที่แบบทำให้บรรยากาศเสียมาก ทุกคนในโต๊ะมองหน้ากันตาปริปๆ
- แอนเห็นเพื่อนคนอื่นมาเบิกของใช้ในสำนักงาน แอนเลยไปเบิกบ้าง แต่ฝ่ายสต๊อกไม่ให้เบิก เพราะเห็นว่าหน้าที่แอนไม่จำเป็นต้องใช้ แอนฟึดฟัดแสดงออกไม่พอใจ หาว่าให้เฉพาะพรรคพวก
- ของใช้ในสำนักงานของบริษัทแอนเอาไปติดชื่อแอนและใส่เก๊ะไว้ ไม่ให้คนอื่นใช้ด้วย เช่น แฟ้มเอกสาร เครื่องเขียน ดินสอ ปากกา กรรไกร ที่ตัดกระดาษคลิปหนีบ ฯลฯ (ปกติใช้ร่วมกันทั้งแผนก)
- กลับมาเรื่องกิน ไปกินข้าวกับแอนนางกินช้ามาก นางเลือกอาหารช้า แล้วก็กินช้า ทุกคนต้องนั่งรอจนบางคนแยกไปกินคนเดียวไม่อยากไปกะแอน เพราะเสียเวลา
- แอนไม่ช่วยงานส่วนกลางในแผนก โดยบอกว่าตอนที่งานแอนไม่เสร็จก็ไม่มีใครมาช่วย งั้นแอนขอไม่ช่วยคนอื่นเช่นกัน ขอทำแค่งานตัวเอง
- ลูกค้าเอาของมาให้ตามเทศกาล ถ้าแอนเป็นคนรับ นางจะเอาของนั้นกลับบ้าน นางบอกว่าถือว่าลูกค้าให้นาง แต่ธรรมเนียมของแผนกคือเอามาไว้ส่วนกลางแล้วแบ่งกัน
- เวลาใครคุยหรือบ่นอะไรในแผนก แอนชอบฟังจนคนในทีมรู้สึกว่าแอนสอดรู้สอดเห็นเกินไป บางทีไม่ได้คุยกับแอนๆก็พยายามเงี่ยหูฟัง
- บางครั้งแผนกคุยกันเรื่องสัพเพเหระ แอนจะใส่อารมณ์มากกว่าคนอื่น หรือเก็บเรื่องพวกนั้นมาเหน็บแนบทีหลัง คนในทีมไม่ค่อยโอเค
- แอนมีนิสัยชอบพูดเหน็บโดยไม่รู้ตัว ทำให้คนฟังรู้สึกไม่ชอบ เช่น วันนี้เรานั่งแท๊กซี่มาทำงาน แอนจะเหน็บว่ารวยหนิ เงินเหลือเยอะหรอ อะไรแนวนั้น หรือถ้ามีคนแต่งตัวสวยพิเศษมาทำงาน นางก็ถามว่าปกติเหมือนศพทำไมวันนี้ค่อยดูได้ขึ้นมาหน่อย นัดผู้ชายหรอ คือนางพูดเล่น แต่คนฟังไม่ขำด้วย
- แอนบ่นเรื่องของที่เก็บไม่เรียบร้อยเหมือนกับจขกท.เลยค่ะ ซึ่งเวลาแอนบ่นคือจริงจัง และเคยบ่นหลายครั้ง บางครั้งมีตามจิกว่าใครทำด้วย ซึ่งแผนกเก็บของกันไม่ค่อยเรียบร้อยเป็นประจำ แต่จะมีแม่บ้านมาทำเก็บให้อีกทีตอนเช้า เลยไม่ค่อยมีใครสนใจเก็บเอง ทุกคนไม่ค่อยโอเคที่แอนบ่น เพราะจุกจิกหยุมหนิมเกินไป
เพื่อนเราคนนี้มีสารพัดเรื่องราวมากค่ะ ทำให้คนในที่ทำงานไม่มีใครอยากยุ่งด้วย ไม่เคยทะเลาะกันนะคะ เค้าไม่ได้เป็นคนเลวร้ายเลยค่ะ แต่ทุกคนค่อยๆเฟดตัวออกมาเอง ไปไหนก็เริ่มไม่ชวน เพราะรำคาญความเยอะ ความเหวี่ยง แบบว่าไม่ค่อยโอกะนิสัยเขา แต่เขาก็พยายามอยากมาเข้ากับคนอื่นๆนะคะ แต่ไม่มีใครอยากสนิทด้วยค่ะ เราว่าจขกท.ลองคิดดูนะคะ ว่าตัวเองเหวี่ยง หรือแสดงออกต่างๆ มากน้อยแค่ไหน มันเกินไปหรือป่าว บางทีอาจจะมีอะไรที่จขกท.ไม่รู้ตัวก็ได้ค่ะ
- ไปกินข้าวกลางวันด้วยกันเป็นกลุ่ม ร้านบริการไม่ค่อยดี รออาหารช้า เพื่อนในโต๊ะก็บ่นๆกันแต่ก็ไม่อะไรแค่คิดว่าคงไม่มากินอีก แต่เพื่อนเราคนนี้ไปเหวี่ยงใส่พนักงาน ไม่ได้คอมเพลนนะคะ แต่เหวี่ยงด้วยคำพูด เช่น สั่งวันนี้ได้กินพรุ่งนี้หรอน้อง ช้าแบบนี้ปลูกข้าวอยู่หรอไง เดี๋ยวจะไปรีวิวแย่ๆในเพจ บลาๆ ที่แบบทำให้บรรยากาศเสียมาก ทุกคนในโต๊ะมองหน้ากันตาปริปๆ
- แอนเห็นเพื่อนคนอื่นมาเบิกของใช้ในสำนักงาน แอนเลยไปเบิกบ้าง แต่ฝ่ายสต๊อกไม่ให้เบิก เพราะเห็นว่าหน้าที่แอนไม่จำเป็นต้องใช้ แอนฟึดฟัดแสดงออกไม่พอใจ หาว่าให้เฉพาะพรรคพวก
- ของใช้ในสำนักงานของบริษัทแอนเอาไปติดชื่อแอนและใส่เก๊ะไว้ ไม่ให้คนอื่นใช้ด้วย เช่น แฟ้มเอกสาร เครื่องเขียน ดินสอ ปากกา กรรไกร ที่ตัดกระดาษคลิปหนีบ ฯลฯ (ปกติใช้ร่วมกันทั้งแผนก)
- กลับมาเรื่องกิน ไปกินข้าวกับแอนนางกินช้ามาก นางเลือกอาหารช้า แล้วก็กินช้า ทุกคนต้องนั่งรอจนบางคนแยกไปกินคนเดียวไม่อยากไปกะแอน เพราะเสียเวลา
- แอนไม่ช่วยงานส่วนกลางในแผนก โดยบอกว่าตอนที่งานแอนไม่เสร็จก็ไม่มีใครมาช่วย งั้นแอนขอไม่ช่วยคนอื่นเช่นกัน ขอทำแค่งานตัวเอง
- ลูกค้าเอาของมาให้ตามเทศกาล ถ้าแอนเป็นคนรับ นางจะเอาของนั้นกลับบ้าน นางบอกว่าถือว่าลูกค้าให้นาง แต่ธรรมเนียมของแผนกคือเอามาไว้ส่วนกลางแล้วแบ่งกัน
- เวลาใครคุยหรือบ่นอะไรในแผนก แอนชอบฟังจนคนในทีมรู้สึกว่าแอนสอดรู้สอดเห็นเกินไป บางทีไม่ได้คุยกับแอนๆก็พยายามเงี่ยหูฟัง
- บางครั้งแผนกคุยกันเรื่องสัพเพเหระ แอนจะใส่อารมณ์มากกว่าคนอื่น หรือเก็บเรื่องพวกนั้นมาเหน็บแนบทีหลัง คนในทีมไม่ค่อยโอเค
- แอนมีนิสัยชอบพูดเหน็บโดยไม่รู้ตัว ทำให้คนฟังรู้สึกไม่ชอบ เช่น วันนี้เรานั่งแท๊กซี่มาทำงาน แอนจะเหน็บว่ารวยหนิ เงินเหลือเยอะหรอ อะไรแนวนั้น หรือถ้ามีคนแต่งตัวสวยพิเศษมาทำงาน นางก็ถามว่าปกติเหมือนศพทำไมวันนี้ค่อยดูได้ขึ้นมาหน่อย นัดผู้ชายหรอ คือนางพูดเล่น แต่คนฟังไม่ขำด้วย
- แอนบ่นเรื่องของที่เก็บไม่เรียบร้อยเหมือนกับจขกท.เลยค่ะ ซึ่งเวลาแอนบ่นคือจริงจัง และเคยบ่นหลายครั้ง บางครั้งมีตามจิกว่าใครทำด้วย ซึ่งแผนกเก็บของกันไม่ค่อยเรียบร้อยเป็นประจำ แต่จะมีแม่บ้านมาทำเก็บให้อีกทีตอนเช้า เลยไม่ค่อยมีใครสนใจเก็บเอง ทุกคนไม่ค่อยโอเคที่แอนบ่น เพราะจุกจิกหยุมหนิมเกินไป
เพื่อนเราคนนี้มีสารพัดเรื่องราวมากค่ะ ทำให้คนในที่ทำงานไม่มีใครอยากยุ่งด้วย ไม่เคยทะเลาะกันนะคะ เค้าไม่ได้เป็นคนเลวร้ายเลยค่ะ แต่ทุกคนค่อยๆเฟดตัวออกมาเอง ไปไหนก็เริ่มไม่ชวน เพราะรำคาญความเยอะ ความเหวี่ยง แบบว่าไม่ค่อยโอกะนิสัยเขา แต่เขาก็พยายามอยากมาเข้ากับคนอื่นๆนะคะ แต่ไม่มีใครอยากสนิทด้วยค่ะ เราว่าจขกท.ลองคิดดูนะคะ ว่าตัวเองเหวี่ยง หรือแสดงออกต่างๆ มากน้อยแค่ไหน มันเกินไปหรือป่าว บางทีอาจจะมีอะไรที่จขกท.ไม่รู้ตัวก็ได้ค่ะ
ความคิดเห็นที่ 16
เราไปทำอะไรให้พวกเขาไม่พอใจเหรอเปล่า หรือมีช่วงหนึ่งที่บริษัทมีโปรเจคใหม่ แต่เราติดงานอื่นในส่วนความรับผิดชอบของเรา เราจึงไม่ได้มาช่วยทีมทำโปรเจค แล้วหลังจากนั้น เราก็กลายเป็นส่วนเกิน
*ต้องถามว่าโปรเจคใหม่ทุกคนต้องช่วยกันหรือเปล่า หรือเป็นโปรเจคของแผนกซึ่งถ้าต้องช่วยกัน และทุกคนช่วยแต่คนไม่ช่วยเพราะติดงานในส่วนที่ตัวเองรับผิดชอบ อันนี้มองได้หลายประเด็น
1.ถ้าคนอื่นมีงานในส่วนที่ต้องรับผิดชอบเหมือนกันทำไมเค้ารวมกลุ่มช่วยกันได้
2.ถ้าคนอื่นไม่มีงานจึงสามารถทำโปรเจคได้ แต่ จขกท มีงานการที่เรามีงานในหน้าที่ของเราก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ช่วยอะไรเค้าเลย
-แจ้งหรือเปล่าว่าช่วยนี้งานตัวเองเยอะ อาจจะช่วยได้น้อยแต่มีอะไรให้ช่วยบอกนะ พูดกับเพื่อนร่วมงานหรือเปล่า
-หรือปล่อยผ่านงานฉันเยอะ พอฉันเสร็จงานตัวเองแล้วค่อยมาช่วย แต่คนอื่นเค้าทำโปรเจคไปเยอะแล้ว ก็ไม่อยากให้มาชุบมือมีส่วนร่วมทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ไม่ช่วยอะไรเลย
เรื่องแบบนี้คนในนี้ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์มันให้คำตอบไม่ได้หรอกครับ เพราะคนที่มาตั้ง กระทู้ทุกคนจะเขียนให้ตัวเองไม่ผิดหรือผิดน้อยที่สุด เป็นเรื่องปกติครับ และเราก็ไม่รู้ว่าก่อนหน้านั้นมันมีเหตุการณ์อะไรทุกคนถึงได้พร้อมใจกันมองคุณเป็นอากาศ แต่ถ้าคิดว่ารับผิดชอบงานตัวเองได้ดี ก็ทำหน้าที่ตัวเองไป งานโปรเจคก็แจ้งเค้าไปว่ามีอะไรให้ช่วยก็บอกนะ คงทำได้เพียงทำนี้
*ต้องถามว่าโปรเจคใหม่ทุกคนต้องช่วยกันหรือเปล่า หรือเป็นโปรเจคของแผนกซึ่งถ้าต้องช่วยกัน และทุกคนช่วยแต่คนไม่ช่วยเพราะติดงานในส่วนที่ตัวเองรับผิดชอบ อันนี้มองได้หลายประเด็น
1.ถ้าคนอื่นมีงานในส่วนที่ต้องรับผิดชอบเหมือนกันทำไมเค้ารวมกลุ่มช่วยกันได้
2.ถ้าคนอื่นไม่มีงานจึงสามารถทำโปรเจคได้ แต่ จขกท มีงานการที่เรามีงานในหน้าที่ของเราก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ช่วยอะไรเค้าเลย
-แจ้งหรือเปล่าว่าช่วยนี้งานตัวเองเยอะ อาจจะช่วยได้น้อยแต่มีอะไรให้ช่วยบอกนะ พูดกับเพื่อนร่วมงานหรือเปล่า
-หรือปล่อยผ่านงานฉันเยอะ พอฉันเสร็จงานตัวเองแล้วค่อยมาช่วย แต่คนอื่นเค้าทำโปรเจคไปเยอะแล้ว ก็ไม่อยากให้มาชุบมือมีส่วนร่วมทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ไม่ช่วยอะไรเลย
เรื่องแบบนี้คนในนี้ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์มันให้คำตอบไม่ได้หรอกครับ เพราะคนที่มาตั้ง กระทู้ทุกคนจะเขียนให้ตัวเองไม่ผิดหรือผิดน้อยที่สุด เป็นเรื่องปกติครับ และเราก็ไม่รู้ว่าก่อนหน้านั้นมันมีเหตุการณ์อะไรทุกคนถึงได้พร้อมใจกันมองคุณเป็นอากาศ แต่ถ้าคิดว่ารับผิดชอบงานตัวเองได้ดี ก็ทำหน้าที่ตัวเองไป งานโปรเจคก็แจ้งเค้าไปว่ามีอะไรให้ช่วยก็บอกนะ คงทำได้เพียงทำนี้
แสดงความคิดเห็น
เป็นที่รังเกียจของเพื่อนที่ทำงานต้องวางตัวอย่างไร
ถ้าถามถึงเหตุผล เอาจริงๆเราก็ไม่ทราบเหมือนกันว่า เราไปทำอะไรให้พวกเขาไม่พอใจเหรอเปล่า หรือมีช่วงหนึ่งที่บริษัทมีโปรเจคใหม่ แต่เราติดงานอื่นในส่วนความรับผิดชอบของเรา เราจึงไม่ได้มาช่วยทีมทำโปรเจค แล้วหลังจากนั้น เราก็กลายเป็นส่วนเกิน หรือ เพราะเราเป็นคนพูดตรงๆ บุคคลิกอาจจะออกแนววีนเหวี่ยงบ้าง เป็นคนอารมณ์ร้อน และอาจจะเจ้าระเบียบไปหรือเปล่า
เราพยายามเอาตัวเองเขาไปมีส่วนร่วมนะคะ พยายามถามว่า มีอะไรให้เราช่วยมั้ย คำตอบที่ได้ คือ "ยังไม่มีอะไรให้ช่วย" เสมอ เราถามบ่อยมาก เพราะ เราสังเกตุว่า คนอื่นๆกลับมีงานทำในส่วนของโปรเจคกันทุกคน ยกเว้นเรา 5555 (เรารู้สึกเหมือนด้อยค่าและเหมือนขอทานเลย) เราพยายามลองเสนอความคิดเห็นกับทีม หรือ ชวนพวกเขาคุยเรื่องต่างๆ หรือ พยายามเข้าไปคุยด้วย แต่ดูเหมือนว่า เราคุยกับกำแพง 5555 ไม่มีเสียงใดๆตอบรับกลับมาเลย ประมาณว่า พอเราเข้าไปคุยก็วงแตก เห้อ ช่างน่าอึดอัดนัก
ตอนนี้เราก็เลยทำได้แค่แยกตัวออกมา พยายามทำตัวเป็นอากาศธาตุ ไม่คุย ไม่ถาม ไม่เซ้าซี้เรื่องการเข้าไปช่วยงานแล้ว เพราะยิ่งถามก็ยิ่งรู้สึกโดนรังเกียจ เราเลยเลือกที่จะเงียบ ไม่คุยดีกว่า และพยายามอัพเดทงาน ด้วยการแอบฟังพวกเขาคุยกัน หรือ เขาไปหาข้อมูลจากกลุ่มไลน์บริษัทที่มีเจ้านายอยู่ เพื่อที่จะได้ทราบถึงเนื้องาน และความคืบหน้าของงานในบริษัท และทำงานในส่วนที่เรารับผิดชอบให้ดีที่สุด (จะได้ไม่โดนไล่ออก) และพยายามไม่ทำอะไรให้ผิดพลาด เพื่อทีมจะได้ไม่เอาเราไปว่าได้
ไม่รู้ว่า การทำตัวแบบนี้ของเรา จะยิ่งเป็นที่น่ารังเกียจจากทีมมากขึ้นหรือเปล่าคะ ในส่วนของทีม เราว่าพวกเขาก็คงอึดอัดบ้างล่ะมั้ง แต่เพราะพวกเขามีทีมไง ไม่ใช่ หมาหัวเน่าแบบเรา เขาก็คงไม่ได้แคร์หรือ รู้สึกอะไรมากล่ะมั้ง ต่างคนต่างทำงานก็เท่านั้น
ช่วงเดือนท่ผ่านมา เรารู้สึกกดดันสุดๆ T_T กลับไปร้องไห้ที่ห้องบ่อยมาก ราไม่ค่อยมีเพื่อนเลยไม่รู้จะเล่าให้ใครฟังได้บ้าง
เหนื่อยใจเลยเกิ๊น ทั้งๆที่อายุก็ปูนนี้แล้ว ยังปล่อยวางไม่ได้สักที T_T
ขออภัยหากเราใส่ tag ผิดห้องนะคะ
เราขอบคุณสำหรับทุกความคิดเห็น ทุกกำลังใจนะคะ จากใจตรงนี้นะคะ และ เราจะพยายามอ่านทุกความคิดเห็นคะ คงไม่สามารถตอบกลับได้ทุกความคิดเห็น 5555
เราไม่คิดว่า จะมีคนที่เจอเหตุการณแบบนี้ และเข้ามาอ่านมาแชร์ประสบการณ์กันเยอะมากๆ
เราก็ขอให้ทุกคนเข้มแข็งและผ่านมันไปได้นะคะ
ตอนนี้เราก็กำลังพยายามเข้มแข็งและปล่อยวางค่ะ ส
ขออนุญาตแก้ไขข้อความ และลบข้อความบางส่วนออกนะคะ