ชาวนาพิมาย เดือดร้อนหนัก ราคาข้าวตกต่ำ รับซื้อเพียงกิโลกรัมละ8บาท
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_6709351
ชาวนา อ.พิมาย เดือดร้อนหนัก หลังข้าวเสียหายจากน้ำท่วม ร่วงจมน้ำเก็บเกี่ยวที่เหลือผึ่งแดดไปขายได้ราคาต่ำมาก ขอโรงสีรับซื้ออย่างน้อยราคา กก. 13 บาท
วันที่ 2 พ.ย.2564 เกษตรกรผู้ปลูกข้าวหลายรายได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมนาข้าว ทำให้ผลผลิตข้าวได้รับความเสียหาย แถมราคาข้าวเปลือกยังตกต่ำ โดย นาย
ทองทด ศูนย์กลาง อายุ 54 ปี ชาวนารายหนึ่งใน ต.สัมฤทธิ์ อ.พิมาย จ.นครราชสีมา เปิดเผยว่า ลงทุนทำนาปลูกข้าวกว่า 14 ไร่ ซึ่งเป็นข้าวหอมมะลิ โดยในช่วงที่กำลังจะได้เก็บเกี่ยวผลผลิตข้าวนาปี ได้ประสบกับปัญหาอุทกภัยน้ำท่วมนาข้าวได้รับความเสียหาย ข้าวเปลือกถูกน้ำท่วมขังนานหลายสัปดาห์
นาย
ทองทด กล่าวต่อว่า ทำให้เมล็ดข้าวเปลือกร่วงหล่นจมน้ำเสียหายไปแล้วบางส่วนในช่วงเก็บเกี่ยวข้าวใส่เรือท้องแบน เมล็ดข้าวเปลือกก็ร่วงหล่นจมน้ำเสียหายอีก ปกติเคยได้ผลผลิตข้าวเปลือก 80-90 กระสอบ แต่หลังจากน้ำท่วมได้ผลผลิตข้าวนาปีเพียง 40 กระสอบ ทั้งนี้ เมื่อนำข้าวเปลือกที่ได้มาตากผึ่งแดดเพื่อนำไปขาย แต่ก็ต้องมาถูกกดราคาขายข้าว โดยโรงสีรับซื้อเพียงกิโลกรัมละ 8 บาท ในส่วนข้าวที่ตากแห้งแล้วรับซื้อเพียงกิโลกรัมละ 10 บาทเท่านั้น
“ทำให้ชาวนาหลายรายได้รับความเดือดร้อน ต้องการให้ทางโรงสีข้าวรับซื้อข้าวเปลือกในราคากิโลกรัมละ 13-15 บาท ชาวนาถึงจะคุ้มทุน เพราะในปีนี้ชาวนาในพื้นที่ อ.พิมาย ประสบกับปัญหาน้ำท่วมนาข้าว ทำให้ชาวนาได้ผลผลิตข้าวเปลือกน้อยกว่าทุกปีที่ผ่านมา จึงอยากวอนให้ภาครัฐปรับราคารับซื้อข้าวเปลือกของชาวนาสูงขึ้น เพื่อเป็นการช่วยเหลือชาวนาที่ได้รับผลกระทบราคาข้าวเปลือกตกต่ำอยู่ในขณะนี้” นาย
ทองทด กล่าว
จี้รัฐแก้ปม 300 โรงงานชิ้นส่วนยานยนต์ หวั่นจีนกินรวบ
https://www.prachachat.net/local-economy/news-791792
จีรทัศน์ แจ่มไพบูลย์ จี้รัฐแก้ปม 300 โรงงานชิ้นส่วนยานยนต์ หวั่นจีนกินรวบยก “ซัพพลายเชน” มาไทย
ฉะเชิงเทราเป็นจังหวัดหนึ่งในภาคตะวันออกของประเทศไทย มีนิคมอุตสาหกรรม 4 แห่ง ได้แก่
1.นิคมอุตสาหกรรมเวลโกรว์
2.นิคมอุตสาหกรรมฉะเชิงเทรา บลูเทคซิตี้
3.นิคมอุตสาหกรรม 304 ปาร์ก
4.นิคมอุตสาหกรรม ทีเอฟดี 2
และเป็น 1 จังหวัดในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก(EEC) มีโรงงานขนาดเล็ก กลาง ใหญ่ กว่า 2,000 แห่ง
“
ประชาชาติธุรกิจ” สัมภาษณ์ “
จีรทัศน์ แจ่มไพบูลย์” ประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดฉะเชิงเทรา ถึงภาพรวมอุตสาหกรรมจังหวัดและทิศทางการลงทุนในหลายด้าน
“โควิด” ทำอุตฯชะลอตัว
“
จีรทัศน์” เล่าว่า ภาพรวมภาคอุตสาหกรรมจังหวัดฉะเชิงเทราตอนนี้ชะลอตัวเล็กน้อย แต่พอขับเคลื่อนไปได้หลังจากได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19
ปัจจุบันภายในจังหวัดสามารถควบคุมการระบาดได้ระดับหนึ่ง ด้วย 4 มาตรการ ได้แก่
1. ควบคุมโรค
2. ควบคุมการเดินทาง
3. ควบคุมคน
4. มาตรการเผชิญเหตุ ทำให้มีการระบาดน้อยลง
ปัจจุบันจังหวัดฉะเชิงเทรามีโรงงานทั้งหมด 2,000 แห่ง แต่ส่วนใหญ่เป็นโรงงานขนาดเล็ก มีแรงงานทั้งหมดประมาณ 100,000 คน ทางสภาอุตสาหกรรมได้มีการเข้าไปช่วยเหลือผู้ประกอบการ
ด้วยการเป็นหน่วยงานที่เชื่อมโยงข้อมูลต่าง ๆ ระหว่างโรงงานกับภาครัฐ รวมถึงติดตามสถานการณ์และช่วยกันขับเคลื่อนเศรษฐกิจไปในทิศทางเดียวกัน หากผ่านพ้นสถานการณ์ช่วงนี้ไปได้ คาดว่าในอนาคตภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ จะสามารถขับเคลื่อนได้ดี
โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลายอย่าง อาทิ1.เป็นจังหวัดที่อยู่ในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งมีการส่งเสริมการลงทุนหลายด้าน 2.อยู่ใกล้สนามบิน ซึ่งเป็นศูนย์กลางการส่งออก-นำเข้าสินค้า 3.ท่าเรือแหลมฉบัง 4.รถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
จี้รัฐกระตุ้นการค้า-ลงทุน
“สำหรับสถานการณ์เรื่องการค้าการลงทุน ตอนนี้อยากให้ภาครัฐปลดล็อกมาตรการการควบคุมต่าง ๆ เช่น มาตรการเคอร์ฟิว ซึ่งทำให้การขนส่งสินค้าของผู้ประกอบการไม่สะดวกเท่าที่ควร เพราะต้องทำเรื่องขออนุญาตก่อนทุกครั้งส่งผลให้การขนส่งล่าช้ามากขึ้น หากภาครัฐยกเลิกเคอร์ฟิว หรือลดขั้นตอนต่าง ๆแต่ยังอยู่ในภายใต้การควบคุม จะทำให้สถานการณ์ดีมากขึ้น”
นอกจากนี้ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐที่ออกมาในรูปของโครงการต่าง ๆ ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้นในระดับหนึ่งแต่อยากให้ภาครัฐมีการผลักดันมาตรการที่ช่วยเหลือภาคอุตสาหกรรมโดยตรงมากกว่า
โดยเฉพาะการกระตุ้นการค้าและการลงทุน อยากให้มีการสนับสนุนผู้ประกอบการคล้ายกับการสนับสนุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) และสุดท้ายคือ
ภาครัฐต้องประกาศทิศทางในการพัฒนาจังหวัดฉะเชิงเทราให้ชัดเจน เช่น หากจะผลักดันด้านอุตสาหกรรมยานยนต์ การผลิตรถยนต์ ก็ต้องซัพพอร์ตให้เต็มที่ ซึ่งจะช่วยให้อุตสาหกรรมก้าวต่อไปได้
“
จีรทัศน์” บอกว่า อยากผลักดันให้จังหวัดฉะเชิงเทราเป็นอุตสาหกรรมพลังงานสะอาด อุตสาหกรรมพลังงานไฟฟ้า หรืออุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ ตอนนี้การลงทุนในฉะเชิงเทราค่อนข้างจะคึกคัก
โดยเฉพาะ
1. อุตสาหกรรมโลจิสติกส์ การขนส่งสินค้า การขอพื้นที่ตั้งศูนย์กระจายสินค้า อาทิ Shopee Lazada
2. อุตสาหกรรมพลังงานสะอาด มีนักธุรกิจในประเทศลงทุนตั้งโรงงานผลิต
อาทิ แบตเตอรี่ รถยนต์ไฟฟ้า ยานยนต์ไฟฟ้า เป็นต้น และที่นิคมอุตสาหกรรมบลูเทค ซิตี้ มีกลุ่มบริษัทพลังงานลงทุนตั้งโรงงานขนาดใหญ่ใช้พื้นที่กว่า 2,000 ไร่ ในการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า นอกจากนี้ ยังมีการสร้างโรงงานผลิตโซลาร์เซลล์ มีการขอจดทะเบียนกว่า 10 โรงงาน
“ตอนนี้ที่นิคมอุตสาหกรรม BP กำลังผลิตรถยนต์ไฟฟ้าให้กรุงเทพฯ มีการขับเคลื่อนไปในระดับหนึ่ง และที่นิคมอุตสาหกรรมบลูเทคฯกำลังสร้างโรงงานอยู่ซึ่งเป็นโครงการที่ใหญ่ นอกจากนี้ยังมีโรงงานผลิตโซลาร์เซลล์ ซึ่งเรามองว่าเป็นอนาคตของประเทศไทยเลย ถ้ามีโซลาร์เซลล์มากเท่าไหร่จะสามารถประหยัดค่าใช้จ่าย ประหยัดพลังงานไปได้เยอะ และเมื่อผ่านพ้นโรคโควิด-19ไปได้ ควรจะมีการผลักดันให้เป็นอุตสาหกรรมดาวรุ่งของจังหวัดฉะเชิงเทราอีกด้วย”
โรงงานชิ้นส่วนหวั่นทุนจีนกินรวบ
ปัจจุบันผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมของไทยมีความกังวลว่า ในอนาคตที่มีการเชิญชวนนักธุรกิจจีนเข้ามาลงทุนในประเทศไทย เพราะถ้านักลงทุนจีนเข้ามาลงทุนทั้งซัพพลายเชน
อาทิ นำบริษัทผลิตเครื่องจักร บริษัทผลิตชิ้นส่วนต่าง ๆ กลุ่มผู้ให้บริการ รวมถึงกลุ่มพันธมิตรต่าง ๆ ของจีนเข้ามาด้วย จะส่งผลให้ผู้ประกอบการไทยขายสินค้าได้น้อยลง
ประเด็นนี้ทางสภาอุตสาหกรรมจังหวัดฉะเชิงเทรามีการพูดคุยกันอยู่ว่า ถ้าเกิดเหตุการณ์อย่างนี้ขึ้นจะทำอย่างไร โดยเฉพาะอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ที่เป็นสันดาปของจังหวัด
ที่มีโรงงานผลิตชิ้นส่วนยานยนต์อยู่ในฉะเชิงเทรากว่า 300 แห่ง อาจจะเกิดการปิดตัวลงจำนวนมาก ขณะที่ผู้ประกอบการบางส่วนกำลังปรับตัวไปผลิตเครื่องมือทางการแพทย์มากขึ้น
ทั้งนี้ อยากให้ภาครัฐจับตามองนักธุรกิจจีนด้วย ไม่ใช่มอบสิทธิพิเศษทางภาษีให้เข้ามาลงทุนโดยไม่มองถึงข้อเสีย และหากไม่มีการช่วยเหลือผลักดันผู้ประกอบการภายในประเทศเลยก็คงสู้ต่างชาติไม่ไหว ซึ่งประเด็นดังกล่าวได้มีการพูดกับทางภาครัฐมาโดยตลอด แต่ยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจน
“อยากให้รัฐบาลคิดถึงผู้ประกอบการคนไทย ช่วยกันระดมความคิดทำอย่างไรถึงจะผลักดันให้อุตสาหกรรมไทยแข็งแรง อย่ามองแต่เพียงการลงทุนจากต่างประเทศ คิดถึงคนไทยให้เหมือนกับคิดถึงคนต่างประเทศที่จะมาลงทุนด้วย รัฐบาลไทยมอบสิทธิประโยชน์ในการส่งเสริมการลงทุนให้นักลงทุนต่างประเทศไม่ต้องเสียภาษี 5-7 ปี แต่ผู้ประกอบการไทยจ่ายเต็มก็ไม่ไหว สถานประกอบการเราจะไปไม่รอด ขอให้คิดว่าจะทำอย่างไรให้คนไทยอยู่รอด และปรับตัวขึ้นสู่อุตสาหกรรมใหม่ได้ ภาครัฐมีคนทำงานที่เก่งจำนวนมาก ต้องผลักดันช่วยเหลือผู้ประกอบการคนไทยให้จริงจังอย่างเป็นรูปธรรม”
แฉเด็กหลุดระบบศึกษา 4.3 หมื่น 'อนุบาล-ม.ปลาย' เข้าข่ายเสี่ยงอีก 7 แสนราย
https://www.matichon.co.th/education/news_3019144
แฉเด็กหลุดระบบศึกษา 4.3 หมื่น ‘อนุบาล-ม.ปลาย’ เข้าข่ายเสี่ยงอีก 7 แสนราย จี้ ศธ.ช่วยด่วน-หวั่นตกหล่นเพิ่ม 5.6 หมื่น ปี’65
ศ.ดร.
สมพงษ์ จิตระดับ นักวิชาการด้านการศึกษา เปิดเผยว่า กรณีกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ให้สถานศึกษาเปิดภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 ถือเป็นเรื่องดี แต่อย่าลืมปัญหาที่สะสมมาตั้งแต่การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 มาเป็นเวลานานกว่า 1 ปี เช่น ปัญหาเรื่องเด็กหลุดจากระบบการศึกษา จะจัดการปัญหาความถดถอยของคุณภาพการศึกษาอย่างไร จะจัดระบบช่วยเหลือเด็กอย่างไร เป็นต้น โดยเฉพาะปัญหาเด็กออกจากระบบการศึกษา ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ และซับซ้อน ขณะนี้จำนวนเด็กหลุดจากระบบการศึกษามากขึ้นผิดปกติ จากที่ได้ทำงานร่วมกับกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) พบว่า อัตราการเคลื่อนตัวของเด็กในประเทศเกือบ 1.8 ล้านคน จากเด็กทั้งหมด 5 ล้านคน มีโอกาสเสี่ยงที่จะหลุดออกจากระบบการศึกษา เมื่อดูจากเส้นแบ่งความยากจนที่ตัดในระดับรายได้ 2,700 บาท/คน/เดือน มีจำนวนเด็กเพิ่มมากขึ้นอย่างน่าตกใจ ทำให้เห็นว่ามีคนจนเฉียบพลันเพิ่มมากขึ้นถึง 11%
“จากข้อมูลเด็ก 1.8 ล้านคน ที่เสี่ยงหลุดจากระบบการศึกษา ได้รับความช่วยเหลือเยียวยาประมาณ 1.1 ล้านคนแล้ว เพราะได้รับความช่วยเหลือจากรัฐบาล เหลืออีกประมาณ 7 แสนคน ยังไม่ได้รับการช่วยเหลือ ซึ่งเด็กเหล่านี้เด็กยากจน มีรายได้ประมาณ 1,000 บาท/คน/เดือน และยังไม่มีหน่วยงานใดช่วยเหลือ” ศ.ดร.สมพงษ์ กล่าว
ศ.ดร.
สมพงษ์กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ จากการสำรวจโดย กสศ.และสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) พบว่า ขณะนี้มีเด็กหลุดออกจากระบบการศึกษาประมาณ 57,000 คน ยังดีที่มีการสำรวจ และการช่วยเหลืออย่างจริงจังจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทำให้ตามเด็กกลับมาได้บางส่วน เหลือเด็กที่หลุดออกจากระบบการศึกษาจริงๆ อยู่ 43,060 คน ในจำนวนนี้พบว่าเด็กที่หลุดจากระบบการศึกษาในช่วงรอยต่อ มีรายละเอียดดังนี้ จากระดับอนุบาลขึ้นชั้น ป.1 เด็กหลุดจากระบบ 4% ส่วนระดับชั้น ป.6 ขึ้น ม.1 หลุดจากระบบ 19% ส่วนชั้น ม.3 ขึ้น ม.4 หลุดจากระบบ 48%
ศ.ดร.
สมพงษ์กล่าวว่า ส่วนระดับมหาวิทยาลัยจะเกิดปรากฎการณ์คือ จากเด็ก 650,000 คนทั่วประเทศ เข้ามหาวิทยาลัยได้ประมาณ 300,000 คนเท่านั้น และเมื่อคิดเป็นภาพรวมทั้งประเทศ พบเด็กหลุดจากระบบการศึกษา 14% จะเห็นว่ายิ่งระดับสูงขึ้นเท่าใด เด็กจะหลุดออกจากระบบการศึกษามากขึ้นเท่านั้น
“ตัวเลขเหล่านี้เป็นข้อเท็จจริง เพราะผ่านการรวบรวมข้อมูล และวิจัยมาแล้ว ดังนั้น ถ้าไม่ทำอะไรเลย ภายในสิ้นปี 2565 จะมีเด็กหลุดจากระบบการศึกษา จาก 43,000 คน เพิ่มเป็น 56,000 คน ถ้าเปิดเทอม ศธ.และโรงเรียนไม่ช่วยกันไปตาม เด็กจะหลุดจากระบบการศึกษาเพิ่มมากขึ้น ดังนั้น เมื่อเปิดเทอม 2/2564 อย่าเพิ่งเร่งจัดการเรียนการสอน ขอให้ดูความพร้อม เยียวยาด้านจิตใจของเด็กก่อน ถ้าครู ชุมชน ท้องถิ่น ช่วยตามเด็กอย่างจริงจัง จำนวนเด็กที่หลุดจากระบบการศึกษาจะลดเหลือไม่ถึง 20,000 คน” ศ.ดร.
สมพงษ์ กล่าว
JJNY : ชาวนาพิมายเดือดร้อน ข้าวโลละ8บ.│จี้แก้ปมรง.ชิ้นส่วนยานยนต์│แฉเด็กหลุดระบบศึกษา4.3หมื่น│ยุตินำเข้าโมเดอร์นาบริจาค
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_6709351
ชาวนา อ.พิมาย เดือดร้อนหนัก หลังข้าวเสียหายจากน้ำท่วม ร่วงจมน้ำเก็บเกี่ยวที่เหลือผึ่งแดดไปขายได้ราคาต่ำมาก ขอโรงสีรับซื้ออย่างน้อยราคา กก. 13 บาท
วันที่ 2 พ.ย.2564 เกษตรกรผู้ปลูกข้าวหลายรายได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมนาข้าว ทำให้ผลผลิตข้าวได้รับความเสียหาย แถมราคาข้าวเปลือกยังตกต่ำ โดย นายทองทด ศูนย์กลาง อายุ 54 ปี ชาวนารายหนึ่งใน ต.สัมฤทธิ์ อ.พิมาย จ.นครราชสีมา เปิดเผยว่า ลงทุนทำนาปลูกข้าวกว่า 14 ไร่ ซึ่งเป็นข้าวหอมมะลิ โดยในช่วงที่กำลังจะได้เก็บเกี่ยวผลผลิตข้าวนาปี ได้ประสบกับปัญหาอุทกภัยน้ำท่วมนาข้าวได้รับความเสียหาย ข้าวเปลือกถูกน้ำท่วมขังนานหลายสัปดาห์
นายทองทด กล่าวต่อว่า ทำให้เมล็ดข้าวเปลือกร่วงหล่นจมน้ำเสียหายไปแล้วบางส่วนในช่วงเก็บเกี่ยวข้าวใส่เรือท้องแบน เมล็ดข้าวเปลือกก็ร่วงหล่นจมน้ำเสียหายอีก ปกติเคยได้ผลผลิตข้าวเปลือก 80-90 กระสอบ แต่หลังจากน้ำท่วมได้ผลผลิตข้าวนาปีเพียง 40 กระสอบ ทั้งนี้ เมื่อนำข้าวเปลือกที่ได้มาตากผึ่งแดดเพื่อนำไปขาย แต่ก็ต้องมาถูกกดราคาขายข้าว โดยโรงสีรับซื้อเพียงกิโลกรัมละ 8 บาท ในส่วนข้าวที่ตากแห้งแล้วรับซื้อเพียงกิโลกรัมละ 10 บาทเท่านั้น
“ทำให้ชาวนาหลายรายได้รับความเดือดร้อน ต้องการให้ทางโรงสีข้าวรับซื้อข้าวเปลือกในราคากิโลกรัมละ 13-15 บาท ชาวนาถึงจะคุ้มทุน เพราะในปีนี้ชาวนาในพื้นที่ อ.พิมาย ประสบกับปัญหาน้ำท่วมนาข้าว ทำให้ชาวนาได้ผลผลิตข้าวเปลือกน้อยกว่าทุกปีที่ผ่านมา จึงอยากวอนให้ภาครัฐปรับราคารับซื้อข้าวเปลือกของชาวนาสูงขึ้น เพื่อเป็นการช่วยเหลือชาวนาที่ได้รับผลกระทบราคาข้าวเปลือกตกต่ำอยู่ในขณะนี้” นายทองทด กล่าว
จี้รัฐแก้ปม 300 โรงงานชิ้นส่วนยานยนต์ หวั่นจีนกินรวบ
https://www.prachachat.net/local-economy/news-791792
จีรทัศน์ แจ่มไพบูลย์ จี้รัฐแก้ปม 300 โรงงานชิ้นส่วนยานยนต์ หวั่นจีนกินรวบยก “ซัพพลายเชน” มาไทย
ฉะเชิงเทราเป็นจังหวัดหนึ่งในภาคตะวันออกของประเทศไทย มีนิคมอุตสาหกรรม 4 แห่ง ได้แก่
1.นิคมอุตสาหกรรมเวลโกรว์
2.นิคมอุตสาหกรรมฉะเชิงเทรา บลูเทคซิตี้
3.นิคมอุตสาหกรรม 304 ปาร์ก
4.นิคมอุตสาหกรรม ทีเอฟดี 2
และเป็น 1 จังหวัดในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก(EEC) มีโรงงานขนาดเล็ก กลาง ใหญ่ กว่า 2,000 แห่ง
“ประชาชาติธุรกิจ” สัมภาษณ์ “จีรทัศน์ แจ่มไพบูลย์” ประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดฉะเชิงเทรา ถึงภาพรวมอุตสาหกรรมจังหวัดและทิศทางการลงทุนในหลายด้าน
“โควิด” ทำอุตฯชะลอตัว
“จีรทัศน์” เล่าว่า ภาพรวมภาคอุตสาหกรรมจังหวัดฉะเชิงเทราตอนนี้ชะลอตัวเล็กน้อย แต่พอขับเคลื่อนไปได้หลังจากได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19
ปัจจุบันภายในจังหวัดสามารถควบคุมการระบาดได้ระดับหนึ่ง ด้วย 4 มาตรการ ได้แก่
1. ควบคุมโรค
2. ควบคุมการเดินทาง
3. ควบคุมคน
4. มาตรการเผชิญเหตุ ทำให้มีการระบาดน้อยลง
ปัจจุบันจังหวัดฉะเชิงเทรามีโรงงานทั้งหมด 2,000 แห่ง แต่ส่วนใหญ่เป็นโรงงานขนาดเล็ก มีแรงงานทั้งหมดประมาณ 100,000 คน ทางสภาอุตสาหกรรมได้มีการเข้าไปช่วยเหลือผู้ประกอบการ
ด้วยการเป็นหน่วยงานที่เชื่อมโยงข้อมูลต่าง ๆ ระหว่างโรงงานกับภาครัฐ รวมถึงติดตามสถานการณ์และช่วยกันขับเคลื่อนเศรษฐกิจไปในทิศทางเดียวกัน หากผ่านพ้นสถานการณ์ช่วงนี้ไปได้ คาดว่าในอนาคตภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ จะสามารถขับเคลื่อนได้ดี
โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลายอย่าง อาทิ1.เป็นจังหวัดที่อยู่ในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งมีการส่งเสริมการลงทุนหลายด้าน 2.อยู่ใกล้สนามบิน ซึ่งเป็นศูนย์กลางการส่งออก-นำเข้าสินค้า 3.ท่าเรือแหลมฉบัง 4.รถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
จี้รัฐกระตุ้นการค้า-ลงทุน
“สำหรับสถานการณ์เรื่องการค้าการลงทุน ตอนนี้อยากให้ภาครัฐปลดล็อกมาตรการการควบคุมต่าง ๆ เช่น มาตรการเคอร์ฟิว ซึ่งทำให้การขนส่งสินค้าของผู้ประกอบการไม่สะดวกเท่าที่ควร เพราะต้องทำเรื่องขออนุญาตก่อนทุกครั้งส่งผลให้การขนส่งล่าช้ามากขึ้น หากภาครัฐยกเลิกเคอร์ฟิว หรือลดขั้นตอนต่าง ๆแต่ยังอยู่ในภายใต้การควบคุม จะทำให้สถานการณ์ดีมากขึ้น”
นอกจากนี้ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐที่ออกมาในรูปของโครงการต่าง ๆ ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้นในระดับหนึ่งแต่อยากให้ภาครัฐมีการผลักดันมาตรการที่ช่วยเหลือภาคอุตสาหกรรมโดยตรงมากกว่า
โดยเฉพาะการกระตุ้นการค้าและการลงทุน อยากให้มีการสนับสนุนผู้ประกอบการคล้ายกับการสนับสนุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) และสุดท้ายคือ
ภาครัฐต้องประกาศทิศทางในการพัฒนาจังหวัดฉะเชิงเทราให้ชัดเจน เช่น หากจะผลักดันด้านอุตสาหกรรมยานยนต์ การผลิตรถยนต์ ก็ต้องซัพพอร์ตให้เต็มที่ ซึ่งจะช่วยให้อุตสาหกรรมก้าวต่อไปได้
“จีรทัศน์” บอกว่า อยากผลักดันให้จังหวัดฉะเชิงเทราเป็นอุตสาหกรรมพลังงานสะอาด อุตสาหกรรมพลังงานไฟฟ้า หรืออุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ ตอนนี้การลงทุนในฉะเชิงเทราค่อนข้างจะคึกคัก
โดยเฉพาะ
1. อุตสาหกรรมโลจิสติกส์ การขนส่งสินค้า การขอพื้นที่ตั้งศูนย์กระจายสินค้า อาทิ Shopee Lazada
2. อุตสาหกรรมพลังงานสะอาด มีนักธุรกิจในประเทศลงทุนตั้งโรงงานผลิต
อาทิ แบตเตอรี่ รถยนต์ไฟฟ้า ยานยนต์ไฟฟ้า เป็นต้น และที่นิคมอุตสาหกรรมบลูเทค ซิตี้ มีกลุ่มบริษัทพลังงานลงทุนตั้งโรงงานขนาดใหญ่ใช้พื้นที่กว่า 2,000 ไร่ ในการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า นอกจากนี้ ยังมีการสร้างโรงงานผลิตโซลาร์เซลล์ มีการขอจดทะเบียนกว่า 10 โรงงาน
“ตอนนี้ที่นิคมอุตสาหกรรม BP กำลังผลิตรถยนต์ไฟฟ้าให้กรุงเทพฯ มีการขับเคลื่อนไปในระดับหนึ่ง และที่นิคมอุตสาหกรรมบลูเทคฯกำลังสร้างโรงงานอยู่ซึ่งเป็นโครงการที่ใหญ่ นอกจากนี้ยังมีโรงงานผลิตโซลาร์เซลล์ ซึ่งเรามองว่าเป็นอนาคตของประเทศไทยเลย ถ้ามีโซลาร์เซลล์มากเท่าไหร่จะสามารถประหยัดค่าใช้จ่าย ประหยัดพลังงานไปได้เยอะ และเมื่อผ่านพ้นโรคโควิด-19ไปได้ ควรจะมีการผลักดันให้เป็นอุตสาหกรรมดาวรุ่งของจังหวัดฉะเชิงเทราอีกด้วย”
โรงงานชิ้นส่วนหวั่นทุนจีนกินรวบ
ปัจจุบันผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมของไทยมีความกังวลว่า ในอนาคตที่มีการเชิญชวนนักธุรกิจจีนเข้ามาลงทุนในประเทศไทย เพราะถ้านักลงทุนจีนเข้ามาลงทุนทั้งซัพพลายเชน
อาทิ นำบริษัทผลิตเครื่องจักร บริษัทผลิตชิ้นส่วนต่าง ๆ กลุ่มผู้ให้บริการ รวมถึงกลุ่มพันธมิตรต่าง ๆ ของจีนเข้ามาด้วย จะส่งผลให้ผู้ประกอบการไทยขายสินค้าได้น้อยลง
ประเด็นนี้ทางสภาอุตสาหกรรมจังหวัดฉะเชิงเทรามีการพูดคุยกันอยู่ว่า ถ้าเกิดเหตุการณ์อย่างนี้ขึ้นจะทำอย่างไร โดยเฉพาะอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ที่เป็นสันดาปของจังหวัด
ที่มีโรงงานผลิตชิ้นส่วนยานยนต์อยู่ในฉะเชิงเทรากว่า 300 แห่ง อาจจะเกิดการปิดตัวลงจำนวนมาก ขณะที่ผู้ประกอบการบางส่วนกำลังปรับตัวไปผลิตเครื่องมือทางการแพทย์มากขึ้น
ทั้งนี้ อยากให้ภาครัฐจับตามองนักธุรกิจจีนด้วย ไม่ใช่มอบสิทธิพิเศษทางภาษีให้เข้ามาลงทุนโดยไม่มองถึงข้อเสีย และหากไม่มีการช่วยเหลือผลักดันผู้ประกอบการภายในประเทศเลยก็คงสู้ต่างชาติไม่ไหว ซึ่งประเด็นดังกล่าวได้มีการพูดกับทางภาครัฐมาโดยตลอด แต่ยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจน
“อยากให้รัฐบาลคิดถึงผู้ประกอบการคนไทย ช่วยกันระดมความคิดทำอย่างไรถึงจะผลักดันให้อุตสาหกรรมไทยแข็งแรง อย่ามองแต่เพียงการลงทุนจากต่างประเทศ คิดถึงคนไทยให้เหมือนกับคิดถึงคนต่างประเทศที่จะมาลงทุนด้วย รัฐบาลไทยมอบสิทธิประโยชน์ในการส่งเสริมการลงทุนให้นักลงทุนต่างประเทศไม่ต้องเสียภาษี 5-7 ปี แต่ผู้ประกอบการไทยจ่ายเต็มก็ไม่ไหว สถานประกอบการเราจะไปไม่รอด ขอให้คิดว่าจะทำอย่างไรให้คนไทยอยู่รอด และปรับตัวขึ้นสู่อุตสาหกรรมใหม่ได้ ภาครัฐมีคนทำงานที่เก่งจำนวนมาก ต้องผลักดันช่วยเหลือผู้ประกอบการคนไทยให้จริงจังอย่างเป็นรูปธรรม”
แฉเด็กหลุดระบบศึกษา 4.3 หมื่น 'อนุบาล-ม.ปลาย' เข้าข่ายเสี่ยงอีก 7 แสนราย
https://www.matichon.co.th/education/news_3019144
แฉเด็กหลุดระบบศึกษา 4.3 หมื่น ‘อนุบาล-ม.ปลาย’ เข้าข่ายเสี่ยงอีก 7 แสนราย จี้ ศธ.ช่วยด่วน-หวั่นตกหล่นเพิ่ม 5.6 หมื่น ปี’65
ศ.ดร.สมพงษ์ จิตระดับ นักวิชาการด้านการศึกษา เปิดเผยว่า กรณีกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ให้สถานศึกษาเปิดภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 ถือเป็นเรื่องดี แต่อย่าลืมปัญหาที่สะสมมาตั้งแต่การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 มาเป็นเวลานานกว่า 1 ปี เช่น ปัญหาเรื่องเด็กหลุดจากระบบการศึกษา จะจัดการปัญหาความถดถอยของคุณภาพการศึกษาอย่างไร จะจัดระบบช่วยเหลือเด็กอย่างไร เป็นต้น โดยเฉพาะปัญหาเด็กออกจากระบบการศึกษา ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ และซับซ้อน ขณะนี้จำนวนเด็กหลุดจากระบบการศึกษามากขึ้นผิดปกติ จากที่ได้ทำงานร่วมกับกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) พบว่า อัตราการเคลื่อนตัวของเด็กในประเทศเกือบ 1.8 ล้านคน จากเด็กทั้งหมด 5 ล้านคน มีโอกาสเสี่ยงที่จะหลุดออกจากระบบการศึกษา เมื่อดูจากเส้นแบ่งความยากจนที่ตัดในระดับรายได้ 2,700 บาท/คน/เดือน มีจำนวนเด็กเพิ่มมากขึ้นอย่างน่าตกใจ ทำให้เห็นว่ามีคนจนเฉียบพลันเพิ่มมากขึ้นถึง 11%
“จากข้อมูลเด็ก 1.8 ล้านคน ที่เสี่ยงหลุดจากระบบการศึกษา ได้รับความช่วยเหลือเยียวยาประมาณ 1.1 ล้านคนแล้ว เพราะได้รับความช่วยเหลือจากรัฐบาล เหลืออีกประมาณ 7 แสนคน ยังไม่ได้รับการช่วยเหลือ ซึ่งเด็กเหล่านี้เด็กยากจน มีรายได้ประมาณ 1,000 บาท/คน/เดือน และยังไม่มีหน่วยงานใดช่วยเหลือ” ศ.ดร.สมพงษ์ กล่าว
ศ.ดร.สมพงษ์กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ จากการสำรวจโดย กสศ.และสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) พบว่า ขณะนี้มีเด็กหลุดออกจากระบบการศึกษาประมาณ 57,000 คน ยังดีที่มีการสำรวจ และการช่วยเหลืออย่างจริงจังจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทำให้ตามเด็กกลับมาได้บางส่วน เหลือเด็กที่หลุดออกจากระบบการศึกษาจริงๆ อยู่ 43,060 คน ในจำนวนนี้พบว่าเด็กที่หลุดจากระบบการศึกษาในช่วงรอยต่อ มีรายละเอียดดังนี้ จากระดับอนุบาลขึ้นชั้น ป.1 เด็กหลุดจากระบบ 4% ส่วนระดับชั้น ป.6 ขึ้น ม.1 หลุดจากระบบ 19% ส่วนชั้น ม.3 ขึ้น ม.4 หลุดจากระบบ 48%
ศ.ดร.สมพงษ์กล่าวว่า ส่วนระดับมหาวิทยาลัยจะเกิดปรากฎการณ์คือ จากเด็ก 650,000 คนทั่วประเทศ เข้ามหาวิทยาลัยได้ประมาณ 300,000 คนเท่านั้น และเมื่อคิดเป็นภาพรวมทั้งประเทศ พบเด็กหลุดจากระบบการศึกษา 14% จะเห็นว่ายิ่งระดับสูงขึ้นเท่าใด เด็กจะหลุดออกจากระบบการศึกษามากขึ้นเท่านั้น
“ตัวเลขเหล่านี้เป็นข้อเท็จจริง เพราะผ่านการรวบรวมข้อมูล และวิจัยมาแล้ว ดังนั้น ถ้าไม่ทำอะไรเลย ภายในสิ้นปี 2565 จะมีเด็กหลุดจากระบบการศึกษา จาก 43,000 คน เพิ่มเป็น 56,000 คน ถ้าเปิดเทอม ศธ.และโรงเรียนไม่ช่วยกันไปตาม เด็กจะหลุดจากระบบการศึกษาเพิ่มมากขึ้น ดังนั้น เมื่อเปิดเทอม 2/2564 อย่าเพิ่งเร่งจัดการเรียนการสอน ขอให้ดูความพร้อม เยียวยาด้านจิตใจของเด็กก่อน ถ้าครู ชุมชน ท้องถิ่น ช่วยตามเด็กอย่างจริงจัง จำนวนเด็กที่หลุดจากระบบการศึกษาจะลดเหลือไม่ถึง 20,000 คน” ศ.ดร.สมพงษ์ กล่าว