บริษัทอายุ 155 ปี ที่ทำแต่ “ไม้ก๊อก” อย่างเดียว จนมีรายได้ปีละ 30,000 ล้าน /โดย ลงทุนแมน

บริษัทอายุ 155 ปี ที่ทำแต่ “ไม้ก๊อก” อย่างเดียว จนมีรายได้ปีละ 30,000 ล้าน /โดย ลงทุนแมน



หลายคนคงไม่รู้มาก่อนว่า บริษัทนี้เป็นส่วนหนึ่งของ
ภารกิจ Apollo 11 ที่ส่งคนไปดวงจันทร์ครั้งแรก

ด้วยการนำไม้ก๊อกไปอยู่บนจรวดฉุกเฉินของ Apollo 11
เพราะมีคุณสมบัติกันความร้อนสูงถึง 200 องศาเซลเซียส

และที่น่าตกใจไปกว่านั้น บริษัทนี้ขายแค่ไม้ก๊อกอย่างเดียวมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 ของไทย หรือกว่า 155 ปีมาแล้ว
และปัจจุบันสามารถทำเงินได้ปีละ 30,000 ล้านบาท

แล้วบริษัทที่ว่านี้คือใคร ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง

บริษัทนี้มีชื่อว่า Corticeira Amorim จากโปรตุเกส
ที่เริ่มต้นโรงงานผลิตจุกไม้ก๊อกเล็ก ๆ ในปี 1870

โดย Corticeira แปลว่า ไม้ก๊อก
ส่วน Amorim มาจาก ชื่อของตระกูลผู้ก่อตั้ง

ในตอนนั้น อุตสาหกรรมไวน์ในยุโรปเริ่มเฟื่องฟูพอดี
ทำให้ชิ้นส่วนสำคัญอย่างจุกไวน์ เป็นที่ต้องการสูงมาก

เมื่อพื้นที่ป่าโอ๊กที่นำมาทำเป็นจุกไวน์ กว่า 34% อยู่ที่โปรตุเกส ผู้ก่อตั้ง Corticeira Amorim จึงไม่รอช้า ที่จะกระโดดเข้ามาทำธุรกิจผลิตจุกไวน์เลยทันที

ก่อนไล่ซื้อกิจการโรงงานของคู่แข่งรายอื่น ๆ จนกลายเป็นบริษัทผลิตจุกไวน์ที่ใหญ่สุดของประเทศ

แต่แม้จะเป็นบริษัทใหญ่สุดของประเทศแล้ว Corticeira Amorim ก็ยังออกไปแข่งนอกประเทศยาก เพราะมีคู่แข่งจากประเทศอื่น ๆ เต็มไปหมด

โดยเฉพาะคู่แข่งหลักจากสเปน ที่มีพื้นที่ป่าโอ๊กจำนวนมาก รองจากโปรตุเกส 

จนกระทั่งทายาทรุ่นที่สามอย่าง Americo Amorim
ที่เป็นหลานชายของผู้ก่อตั้ง พยายามเข้ามาปั้นให้กิจการระดับประเทศไปสู่ระดับโลกมากขึ้น

จากเมื่อก่อนทำแค่จุกไวน์เท่านั้น แต่หลานชายคนนี้เห็นว่าไม้ก๊อก ก็ขายในอุตสาหกรรมอื่นได้ด้วย

ตั้งแต่ปี 1950 เป็นต้นมา เขาออกแบบให้สินค้าไม้ก๊อกของบริษัทถูกพัฒนาให้เหมาะกับอุตสาหกรรมอื่น ๆ ตามความต้องการของลูกค้า 

โดยชูจุดเด่นเรื่องคุณสมบัติกันความร้อนที่สูงถึง 200 องศาเซลเซียส แถมยังมีคุณสมบัติกันเสียงอีกด้วย

พอเป็นแบบนี้ ทำให้สามารถขายสินค้าให้กับบริษัทที่
ไม่น่าจะเป็นลูกค้ามาก่อนได้อีกมากมาย 

ไม่ว่าจะเป็นโรงไฟฟ้า เฟอร์นิเจอร์ สิ่งก่อสร้าง สนามฟุตบอล รถไฟ รถบัส รถประจำทาง เรือ ไปจนถึงเครื่องบิน

และที่น่าสนใจมากสุด คือ ไม้ก๊อกของบริษัทยังถูกนำไปใช้ในโครงการจรวด Apollo 11 ที่ส่ง นีล อาร์มสตรอง ไปดวงจันทร์มาแล้วอีกด้วย

ซึ่งนำไปเป็นส่วนหนึ่งในยานฉุกเฉินของ Apollo 11
เพราะสามารถทนความร้อนได้สูง แถมยังมีน้ำหนักเบา

เมื่อขยายฐานลูกค้าจนมีรายได้ที่มากขึ้นแล้ว บริษัทก็หันไปควบรวม ถือหุ้นครึ่งหนึ่ง หรือซื้อกิจการของคู่แข่งจากสเปน และประเทศอื่น ๆ เข้ามาเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง 

จนปัจจุบัน Corticeira Amorim กลายเป็นผู้ผลิตและแปรรูปไม้ก๊อกที่ใหญ่สุดในโลกไปแล้ว

อย่างไรก็ตาม ก็มีช่วงหนึ่งที่บริษัทเจอวิกฤติหนักมาก
จนเกือบไม่รอดมาถึงทุกวันนี้..

ในปี 2001 มีการค้นพบว่า จุกไม้ก๊อกทำให้เกิดสาร TCA ในไวน์ที่อาจทำให้มีกลิ่นเหม็นสาบและเกิดเชื้อรา จนบริษัทไวน์หลายแห่ง เลือกผลิตจุกไวน์จากวัสดุอื่นแทน 

ซึ่ง Corticeira Amorim ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ แต่กลับทุ่มเงินปีละ 3,500 ล้านบาท เพื่อวิจัยและพัฒนาจุกไวน์ที่เกิดสาร TCA ให้เหลือน้อยที่สุดหรือไม่มีเลย

สุดท้ายก็สำเร็จในปี 2015 โดยสามารถผลิตจุกไวน์ที่ทำให้เกิดสารนี้น้อยกว่า 1% ของสินค้าทั้งหมด จนบริษัทไวน์กลับมามั่นใจที่จะใช้จุกไวน์จากไม้ก๊อกกันอีกครั้งหนึ่ง

จากบทเรียนเรื่องนี้ ทำให้บริษัทลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
ตั้งแต่การปลูกต้นโอ๊ก เก็บเกี่ยว ไปจนถึงกระบวนการผลิตสินค้าให้มีคุณภาพสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

เมื่อรวมกับการผูกขาดโดยธรรมชาติของธุรกิจอยู่แล้ว 
ที่ต้องรอเวลาต้นโอ๊ก หลังปลูกครั้งแรกนาน 24 ปี ถึงจะเก็บเกี่ยวเปลือกต้นโอ๊ก มาผลิตและแปรรูปต่อได้

แถมหลังจากเก็บเกี่ยวครั้งแรกแล้ว ก็ต้องรอประมาณ 9 ปี
ถึงจะสามารถเก็บเกี่ยวเปลือกต้นโอ๊กแต่ละต้นได้อีกรอบ

ทำให้ไม่มีคู่แข่งรายไหนกล้าลงทุน เพราะกว่าจะให้ผลตอบแทนกลับมา ต้องรอนานนับทศวรรษ..

นอกจากนี้ ต้นโอ๊กคุณภาพสูงก็ปลูกได้แค่ในพื้นที่หลัก ๆ ทางตอนใต้ของยุโรปกับแอฟริกาเหนือเท่านั้น ทำให้คู่แข่งนอกประเทศเหล่านี้ ยิ่งสู้ได้ยากมากขึ้น

สุดท้าย ด้วยการกีดกันคู่แข่งอย่างตั้งใจและไม่ตั้งใจ 
ทำให้ Corticeira Amorim ครองเจ้าตลาดเบอร์ 1 ในอุตสาหกรรมมาถึงทุกวันนี้ได้อย่างยาวนาน

แล้วที่ผ่านมา ผลประกอบการของบริษัทเป็นอย่างไรบ้าง ?

ปี 2021
รายได้ 29,300 ล้านบาท
กำไร 2,500 ล้านบาท

ปี 2022
รายได้ 35,800 ล้านบาท
กำไร 3,400 ล้านบาท

ปี 2023
รายได้ 34,500 ล้านบาท
กำไร 3,089 ล้านบาท

โดยปัจจุบัน รายได้หลักกว่า 79% มาจากอุตสาหกรรมจุกไวน์ ส่วนที่เหลือมาจากอุตสาหกรรมอื่น ๆ เช่น แผ่นไม้ก๊อกและฉนวนกันความร้อน

ก็ไม่น่าเชื่อว่า บริษัทที่ขายแค่ไม้ก๊อกอย่างเดียว จะทำรายได้จากตรงนี้ได้มากถึงปีละ 30,000 ล้านบาท

แม้จะดูเป็นธุรกิจที่เรียบง่าย แต่คู่แข่งก็เลียนแบบได้ยาก เพราะถูกผูกขาดโดยธรรมชาติจากการเก็บเกี่ยวผลผลิต ที่ลงทุนแล้ว ต้องรอผลตอบแทนนานถึง 24 ปี

แต่สิ่งที่บริษัทนี้ทำ ไม่ได้นอนรอให้เงินหมื่นล้านบาทเข้ามาหาตัวเองแค่อย่างเดียว แต่ยังพัฒนาคุณภาพของไม้ก๊อกตัวเองให้มีคุณภาพสูงอย่างต่อเนื่อง

ซึ่งบริษัทยึดหลักว่า คุณภาพไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่คือผลลัพธ์ของความพยายามที่ชาญฉลาด..

https://www.facebook.com/share/p/15ExdgYy3x/

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่