...ฝันประหลาด...
.
.
.
.
"มีความฝันครั้งหนึ่งที่ผมจำได้ติดตาเมื่อสมัยตอนเป็นเด็ก ในช่วงอายุประมาณสัก 6-7 ขวบเห็นจะได้ ซึ่งผมมีความประสงค์อยากจะนำมาถ่ายทอดให้ทุกท่านได้ทราบมากๆครับ มันเป็นฝันที่สุดแสนจะแปลกประหลาดและพิลึกพิสดารพอสมควรเลยทีเดียว สำหรับเรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น เชิญติดตามเสพย์สัมผัสต่ออรรถรสในบรรทัดถัดไปได้เลยครับผม....
มีอยู่คืนหนึ่งไม่รู้ว่าเป็นเวลาดึกโขนานเท่าใด แต่ผมได้หลับฝันไป แล้วเห็นตัวเองในตอนเด็กกำลังเดินเท้า ทำหน้าตาเหรอหรางุนงงอยู่ในที่ๆหนึ่ง ซึ่งรอบๆกายนั้นก็มีแต่ความมืดมิดและหมอกควันสีขาวหม่นๆที่โชยคละคลุ้งฟุ้งขึ้นมาจนอบอวลไปหมดทั่วทั้งบริเวณ
ตัวผมที่อยู่ในฝันพยายามกวาดสายตามองสังเกตดูทัศนียภาพแวดล้อมอย่างถี่ถ้วนที่สุด แล้วลำดับต่อมาจึงพบว่า สถานที่ที่ผมกำลังก้าวย่างไปอย่างไร้จุดหมายนั้น นอกเหนือจากกลุ่มหมอกควันที่ลอยตัวอยู่ในห้วงอากาศธาตุ ก็ยังมีหมู่แมกไม้และพืชหญ้าน้อยใหญ่ผุดขึ้นรายล้อมเสียแน่นขนัดแลดูทึบหูทึมตาจนน่าหวาดระแวงเป็นอย่างยิ่ง
ในฝันนั้นผมรู้สึกตกใจเสียขวัญจนแทบจะร้องไห้ เพราะไม่ทราบว่าตนมาอยู่ในสถานที่เช่นนี้ได้อย่างไรและด้วยเหตุผลกลใด
และเพียงชั่วเสี้ยววินาทีต่อมานั้นเอง ทั้งๆที่ตัวผมยังไม่สร่างจากอาการพิศวงคลางแคลงใจใดๆทั้งสิ้น ก็ต้องมาประสบกับเหตุการณ์อันน่าตะลึงงันอึ้งกิ้มกี่เข้าอีกครั้ง เพราะจู่ๆก็พลันมีเนินดินซึ่งมีขนาดเล็กใหญ่สูงต่ำแตกต่างกันไป ผุดขึ้นมาอย่างฉับพลันกะทันหันชนิดที่ไม่มีปี่มีขลุ่ย มันมากมายจนระเกะระกะละลานตาไปหมด พร้อมกันนั้น เหนือพื้นผิวของกลุ่มเนินดินดังกล่าวก็ยังมีป้ายไม้ปักเอาไว้เพื่อบอกสื่อถึงสัญลักษณ์อะไรบางอย่างอีกด้วย
ผมเองในตอนนั้นแม้จะอายุยังน้อยอยู่มากแต่ก็พอรู้มาบ้างว่าสิ่งที่ตนกำลังเห็นอยู่ ณ ขณะนี้มันคืออะไร จึงยิ่งทำให้บังเกิดความตกใจจนจิตประหวั่นมากยิ่งขึ้นไปอีกหลายเท่าตัว เพราะสิ่งที่ปรากฏให้พบอยู่เบื้องหน้าอย่างจังๆตานั้นมันก็คือ หลุมฝังศพของเหล่าผู้ซึ่งได้ล่วงลาลับจากโลกนี้ไปสู่ภพภูมิอื่นแล้วนั่นเอง ในตอนนั้นได้แต่อุทานในใจอย่างพรั่นสะพรึงว่า....
"ให้ตายเถอะ!!! นี่ตัวเรากำลังเดินอยู่ในป่าช้าหรอกหรือนี่...!!!???"
ในช่วงเวลาดังกล่าวผมมีอาการเหมือนกับคนเป็นอัมพาตไปทั่วทั้งตัว แขนขาตึงเกร็งขยับไม่ได้ ร่างกายสั่นพั่บๆปานเจ้าเข้า ดวงตาเบิกโพลง ปากอ้าค้าง เหงื่อแตกซิกๆราวกับเพิ่งไปวิ่งแข่งสี่คูณร้อยกลับมาหมาดๆ สมองมึนตื้อไปหมดไม่ทราบว่าจะรับมือกับสิ่งที่ตัวเองได้ประสบด้วยวิธีการอย่างไรดี
และแล้วลำดับต่อมาผมก็ต้องได้พบกับความอกสั่นขวัญแขวนเข้าอีกเป็นคำรบที่สอง เมื่ออยู่ดีๆก็มีกลุ่มคนจำนวนนับสิบโผล่มาจากที่ใดไม่ทราบ มีทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ผู้หญิง ผู้ชาย คนแก่ชราและหมู่หนุ่มสาว เดินเข้ามารุมล้อมมุงจ้องดูผมกันเป็นตาเดียว ราวกับผมเป็นตัวประหลาดที่พวกเขาเหล่านั้นต่างพากันฉงนสนเท่ห์
แต่ครั้นได้มาลองลอบพิจารณาดูดีๆแล้วก็ให้จับสังเกตได้ว่า กลุ่มคนที่มามุงดูผมจนยัดเยียดแทบหายใจไม่ออกนั้น พวกเขาล้วนแล้วแต่มีร่างกายซึ่งไม่สมประกอบกันโดยทั้งสิ้น บางคนก็แขนกุดขาขาด เสื้อผ้าเปื่อยยุ่ยกระรุ่งกระริ่ง ผมเผ้ารุงรังกระเซอะกระเซิงไม่เป็นทรง ดวงตาโหลลึก บางคนก็กลวงโบ๋ไม่มีลูกนัยน์ตา หรือบ้างก็ห้อยย้อยถลนร่องแร่งออกมาอยู่นอกเบ้า
มีบางจำพวกที่หัวเด็ดตีนขาด กะโหลกแตกแลเห็นมันสมองไหลเยิ้ม ท้องแหวะ อกแหก ตับไตไส้พุงทะลัก เลือดสดๆสีแดงข้นๆไหลอาบนองอยู่ทั่วกาย และที่ซ้ำร้ายไปกว่านั้นก็คือ คนเหล่านี้มีทั้งกลิ่นสาบอันเน่าเหม็น และกลิ่นคาวของเลือดลอยเข้ามาปะทะจมูกอย่างรุนแรงจนน่าสะอิดสะเอียนชวนอ้วกอย่างถึงที่สุด....!!!
ณ วินาทีนั้นผมปลงใจได้โดยทันทีเลยว่าสิ่งที่ผมเห็นมันไม่ใช่คนอย่างแน่นอน คราวนี้เองก็จึงถึงกาลหวาดผวาด้วยความสยองขวัญขั้นสุดขีด
ผมกรีดร้องออกมาสุดเสียงฟังแทบจะไม่เป็นภาษามนุษย์ ได้แต่ร่ำไห้คร่ำครวญเรียกหาพ่อกับแม่วกไปวนมาอยู่เช่นนั้น จะเร้นกายหลีกหนีไปหนทางใดก็ไม่ได้เพราะสัมภเวสีที่แสนน่าเกลียดน่ากลัวเหล่านี้ มันต่างยืนล้อมหน้าล้อมหลังปิดช่องว่างเอาไว้เสียหมด
ทว่าก็เหมือนกับฟ้ามาโปรดในยามที่เราถึงจุดอันยากลำบากที่สุดของชีวิต เมื่อมีเสียงซึ่งเสมือนคำสั่งแสนประกาศิตจากใครคนหนึ่งดังขึ้น...
"พวกเจ้าอย่าได้ไปยุ่งกับเด็กคนนั้นนะ....!!!!"
สิ้นประโยคอันก้องกังวานเด็ดขาดและเต็มเปี่ยมไปด้วยอำนาจนั้น เหล่าร่างอสุภะทั้งหลายที่รุมจับตาทำหน้าถทึงใส่ผมอยู่ ก็ต่างได้พลันหันหน้าไปมองยังทางต้นเสียงกันอย่างพร้อมเพรียงดั่งต้องมนต์สะกด ทั้งยังเริ่มเคลื่อนกายแปรขบวนแยกเป็นแถวสองฝั่งซ้ายขวาเพื่อเปิดช่องว่างออกให้อีกต่างหาก
กระทั่งหมู่ทุกขวิญญาณพวกนั้นได้ไปยืนเรียงแถวตามแนวฝั่งของแต่ละตนกันจนเป็นที่กระจ่างตาเรียบร้อยแล้ว ผมก็ได้เห็นว่า ณ จุดศูนย์กลาง อันเป็นเนินดินหลุมศพที่นูนขึ้นมา ซึ่งห่างจากตัวผมออกไปสักราวๆ 5-6 เมตรนั้น มีร่างของชายชราคนหนึ่งปรากฏเด่นชัดดั่งประมุขผู้น่าเกรงขามอยู่ที่นั่น อายุของแกหากจะให้กะเกณฑ์แล้วก็คงจะอยู่ในวัยประมาณ 70 ปลายๆเห็นจะได้
รูปลักษณ์โดยรวมของพ่อเฒ่าผู้นี้จะเป็นคนรูปร่างสูงใหญ่บึกบึนกว่ามนุษย์ปกติอยู่มาก แต่งกายในชุดเครื่องแบบราชประแตนสีขาวในสมัยรัชกาลที่ 5 นุ่งโจงกระเบนสีแดงเลือดหมูหม่นๆ สวมถุงเท้ายาวจนมิดหน้าแข้ง สวมรองเท้าหนังสีดำมันขลับระยับยามล้อต้องกับแสงเดือนบนฟากฟ้าที่สาดส่องลงมา กระทบ บนศีรษะสวมหมวกข้าราชการทรงโบราณสีเดียวกันกับสีเสื้อ แลดูเป็นระเบียบเรียบร้อยและมิดชิดไปทุกสัดส่วน โครงหน้าเหลี่ยม ดวงตามีแววของความคมกริบและดุดันอย่างเห็นได้ชัด ทั้งผม คิ้ว และ หนวดอันเป็นทรงเขี้ยวเรียวงอนงามนั้นก็หงอกโพลนราวกับสีของดอกหญ้า
แกนั่งชันเข่าอยู่บนหลุมฝังศพตรงนั้นด้วยท่าทีอันองอาจสง่าผ่าเผย มีพิณหัวพญานาคที่แกะสลักอย่างหยาบๆขนาดพอดีมือตัวหนึ่งสะพายเอาไว้ข้างหลัง มือซ้ายถือตะพดค้ำพื้นเนินหลุมไว้แน่นิ่ง ส่วนมือขวาก็คีบมวนยาสูบอยู่คาปาก พลางสูดอัดควันลึกเข้าปอดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงค่อยๆพ่นออกมาให้ละอองของมันล่องลอยจางหายไปกับอากาศธาตุ
ผมหยุดอาการร้องไห้ตื่นตระหนกไปโดยบัดดล อยู่ในสภาวะจังงังและงุนงงจับต้นชนปลายอะไรไม่ถูก จ้องมองแกด้วยความสงสัยอย่างเหลือคณา ฝ่ายตัวแกเองก็ส่งสายตาอันแสนราบเรียบยากที่จะคาดเดาความรู้สึกภายในที่แท้จริงมายังผมด้วยเช่นกัน ให้ตายเถอะ....มันช่างเป็นสถานการณ์อันชวนสับสนอะไรถึงเพียงนี้....!!!
"ไอ้หนู....เอ็งมาจากที่ใดกันรึ...?แล้วมาที่นี่ได้ยังไง?" ในที่สุดแกก็เอ่ยปากถามผมขึ้น น้ำเสียงห้าวต่ำกังวานทุ้มลึก
"ผะ...ผะ...ผม...ผม...ผมก็ไม่รู้ว่าผมมาที่นี่ได้ยังไงครับ...." ผมรวบรวมความกล้าหาญทั้งหมดที่มีตอบแกกลับไปอย่างระล่ำระลัก น้ำเสียงแผ่วเบา
"ที่นี่ยังไม่ถึงเวลาที่จะต้อนรับตัวเจ้า จงกลับไปซะ...!"
เมื่อได้ฟังดังนั้นผมก็นิ่งไปครู่ใหญ่ เพราะนึกไม่ออกว่าตัวเองเดินมาโผล่อยู่สถานที่แห่งนี้ได้อย่างไร? และจะกลับไปโดยใช้หนทางไหน? ก่อนหน้านั้นตนจำได้แต่เพียงว่านอนหลับอยู่บนเตียงภายในห้องและพอเข้าภวังค์ไปได้สักพักก็ดันมาเดินอยู่ที่นี่แบบงงๆไปเสียแล้ว ด้วยเหตุนี้ผมจึงทำได้เพียงเงียบงำมิอาจปริปากตอบรับหรือพูดคำใดออกไปได้ และชายชราคนนั้นแกคงเห็นว่าผมกำลังสับสนอยู่ จึงได้กล่าวต่อมาเป็นการชี้แนะว่า....
"เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน... หากยังไม่รู้ซึ่งหนทางข้าก็จะบอกให้ เจ้าจงหันกลับไปยังเบื้องหลัง แล้วเดินไปตามแสงสว่างนั่น หลังจากนั้นเจ้าก็จะได้หวนกลับคืนสู่ภพภูมิที่เจ้าจากมาเอง จงกลับไปซะ ทำตามคำที่ข้าบอกอย่างเคร่งครัด อย่าได้เหลียวกลับมามองที่นี่อีกเป็นอันขาดรีบกลับไปเดี๋ยวนี้เลยเร็วเข้า...ไป...!!!"
ครั้นสิ้นสุดถ้อยคำดังกล่าวของชายชรา ผมก็ปฏิบัติตามที่แกบัญชาอย่างว่าง่าย รีบหันหลังกลับไปโดยทันควัน ปรากฏว่ามีแสงสว่างเป็นลูกไฟสีขาวดวงใหญ่ลอยเคว้งอยู่ด้านหน้าดังที่แกว่าจริงๆ
ผมเร่งวิ่งตามลูกไฟนั้นไปอย่างไม่ลดละ จนกระทั่งได้เท่าทันกันในระยะประชิด หลังจากนั้นผมก็สะดุ้งตัวตื่นลืมตาขึ้นมาภายในห้องนอนของตนด้วยอาการที่ยังงุนงงอยู่ไม่สร่าง เหงื่อท่วมตัวจนเสื้อผ้าที่สวมอยู่เปียกชุ่ม ระหว่างนั้นก็มานั่งพิจารณาได้ว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันเป็นเพียงแค่ความฝันเท่านั้น จึงค่อยโล่งอกเบาใจลงไปอย่างไร้ข้อกังขา ผ่อนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ แล้วล้มตัวลงนอนจนหลับไปอีกครั้งก็ไม่ฝันถึงสิ่งใดอีกทั้งสิ้น ไปตื่นเอาอีกทีก็เช้าตรู่ของวันใหม่ รู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้ผ่านพ้นความฝันอันแสนพิสดารเช่นนั้นมาได้...
นี่แหละครับทุกท่านหนึ่งในความฝันที่ยังตราตรึงมิอาจลืมเลือนได้ของผม มันผ่านมาได้เป็นเวลานานหลายปีแล้วล่ะครับ ยังรู้สึกอยากขอบคุณพ่อเฒ่าลึกลับคนนั้นอยู่ไม่หายเลย แต่ก็แอบคิดเหมือนกันนะครับว่า ถ้าหากในวันนั้นไม่ได้พ่อเฒ่าท่านนี้มาช่วยเอาไว้ ทุกวันนี้ผมจะเป็นอย่างไร? และจะได้มานั่งเขียนบทความเพื่อถ่ายทอดเรื่องราวอันน่าพิศวงนี้ให้กับทุกท่านได้รับทราบอยู่หรือเปล่า? ก็มิอาจสามารถล่วงรู้ได้เหมือนกันนะครับ....😁"
.
.
.
.
.
ปล.ขอขอบพระคุณทุกท่านที่ได้ให้เกียรติเข้ามาอ่านบทความนี้จนจบครบถ้วนกระบวนความทุกบรรทัดเป็นอย่างสูงครับ...🙏❤️😊
ธีร์ วรรณกร ผู้ถ่ายทอดเรื่องราว
#สยองขวัญวันหยุด
ความฝันที่ทำให้ผมแทบจะถึงแก่ชีวิต
.
.
.
.
"มีความฝันครั้งหนึ่งที่ผมจำได้ติดตาเมื่อสมัยตอนเป็นเด็ก ในช่วงอายุประมาณสัก 6-7 ขวบเห็นจะได้ ซึ่งผมมีความประสงค์อยากจะนำมาถ่ายทอดให้ทุกท่านได้ทราบมากๆครับ มันเป็นฝันที่สุดแสนจะแปลกประหลาดและพิลึกพิสดารพอสมควรเลยทีเดียว สำหรับเรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น เชิญติดตามเสพย์สัมผัสต่ออรรถรสในบรรทัดถัดไปได้เลยครับผม....
มีอยู่คืนหนึ่งไม่รู้ว่าเป็นเวลาดึกโขนานเท่าใด แต่ผมได้หลับฝันไป แล้วเห็นตัวเองในตอนเด็กกำลังเดินเท้า ทำหน้าตาเหรอหรางุนงงอยู่ในที่ๆหนึ่ง ซึ่งรอบๆกายนั้นก็มีแต่ความมืดมิดและหมอกควันสีขาวหม่นๆที่โชยคละคลุ้งฟุ้งขึ้นมาจนอบอวลไปหมดทั่วทั้งบริเวณ
ตัวผมที่อยู่ในฝันพยายามกวาดสายตามองสังเกตดูทัศนียภาพแวดล้อมอย่างถี่ถ้วนที่สุด แล้วลำดับต่อมาจึงพบว่า สถานที่ที่ผมกำลังก้าวย่างไปอย่างไร้จุดหมายนั้น นอกเหนือจากกลุ่มหมอกควันที่ลอยตัวอยู่ในห้วงอากาศธาตุ ก็ยังมีหมู่แมกไม้และพืชหญ้าน้อยใหญ่ผุดขึ้นรายล้อมเสียแน่นขนัดแลดูทึบหูทึมตาจนน่าหวาดระแวงเป็นอย่างยิ่ง
ในฝันนั้นผมรู้สึกตกใจเสียขวัญจนแทบจะร้องไห้ เพราะไม่ทราบว่าตนมาอยู่ในสถานที่เช่นนี้ได้อย่างไรและด้วยเหตุผลกลใด
และเพียงชั่วเสี้ยววินาทีต่อมานั้นเอง ทั้งๆที่ตัวผมยังไม่สร่างจากอาการพิศวงคลางแคลงใจใดๆทั้งสิ้น ก็ต้องมาประสบกับเหตุการณ์อันน่าตะลึงงันอึ้งกิ้มกี่เข้าอีกครั้ง เพราะจู่ๆก็พลันมีเนินดินซึ่งมีขนาดเล็กใหญ่สูงต่ำแตกต่างกันไป ผุดขึ้นมาอย่างฉับพลันกะทันหันชนิดที่ไม่มีปี่มีขลุ่ย มันมากมายจนระเกะระกะละลานตาไปหมด พร้อมกันนั้น เหนือพื้นผิวของกลุ่มเนินดินดังกล่าวก็ยังมีป้ายไม้ปักเอาไว้เพื่อบอกสื่อถึงสัญลักษณ์อะไรบางอย่างอีกด้วย
ผมเองในตอนนั้นแม้จะอายุยังน้อยอยู่มากแต่ก็พอรู้มาบ้างว่าสิ่งที่ตนกำลังเห็นอยู่ ณ ขณะนี้มันคืออะไร จึงยิ่งทำให้บังเกิดความตกใจจนจิตประหวั่นมากยิ่งขึ้นไปอีกหลายเท่าตัว เพราะสิ่งที่ปรากฏให้พบอยู่เบื้องหน้าอย่างจังๆตานั้นมันก็คือ หลุมฝังศพของเหล่าผู้ซึ่งได้ล่วงลาลับจากโลกนี้ไปสู่ภพภูมิอื่นแล้วนั่นเอง ในตอนนั้นได้แต่อุทานในใจอย่างพรั่นสะพรึงว่า....
"ให้ตายเถอะ!!! นี่ตัวเรากำลังเดินอยู่ในป่าช้าหรอกหรือนี่...!!!???"
ในช่วงเวลาดังกล่าวผมมีอาการเหมือนกับคนเป็นอัมพาตไปทั่วทั้งตัว แขนขาตึงเกร็งขยับไม่ได้ ร่างกายสั่นพั่บๆปานเจ้าเข้า ดวงตาเบิกโพลง ปากอ้าค้าง เหงื่อแตกซิกๆราวกับเพิ่งไปวิ่งแข่งสี่คูณร้อยกลับมาหมาดๆ สมองมึนตื้อไปหมดไม่ทราบว่าจะรับมือกับสิ่งที่ตัวเองได้ประสบด้วยวิธีการอย่างไรดี
และแล้วลำดับต่อมาผมก็ต้องได้พบกับความอกสั่นขวัญแขวนเข้าอีกเป็นคำรบที่สอง เมื่ออยู่ดีๆก็มีกลุ่มคนจำนวนนับสิบโผล่มาจากที่ใดไม่ทราบ มีทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ผู้หญิง ผู้ชาย คนแก่ชราและหมู่หนุ่มสาว เดินเข้ามารุมล้อมมุงจ้องดูผมกันเป็นตาเดียว ราวกับผมเป็นตัวประหลาดที่พวกเขาเหล่านั้นต่างพากันฉงนสนเท่ห์
แต่ครั้นได้มาลองลอบพิจารณาดูดีๆแล้วก็ให้จับสังเกตได้ว่า กลุ่มคนที่มามุงดูผมจนยัดเยียดแทบหายใจไม่ออกนั้น พวกเขาล้วนแล้วแต่มีร่างกายซึ่งไม่สมประกอบกันโดยทั้งสิ้น บางคนก็แขนกุดขาขาด เสื้อผ้าเปื่อยยุ่ยกระรุ่งกระริ่ง ผมเผ้ารุงรังกระเซอะกระเซิงไม่เป็นทรง ดวงตาโหลลึก บางคนก็กลวงโบ๋ไม่มีลูกนัยน์ตา หรือบ้างก็ห้อยย้อยถลนร่องแร่งออกมาอยู่นอกเบ้า
มีบางจำพวกที่หัวเด็ดตีนขาด กะโหลกแตกแลเห็นมันสมองไหลเยิ้ม ท้องแหวะ อกแหก ตับไตไส้พุงทะลัก เลือดสดๆสีแดงข้นๆไหลอาบนองอยู่ทั่วกาย และที่ซ้ำร้ายไปกว่านั้นก็คือ คนเหล่านี้มีทั้งกลิ่นสาบอันเน่าเหม็น และกลิ่นคาวของเลือดลอยเข้ามาปะทะจมูกอย่างรุนแรงจนน่าสะอิดสะเอียนชวนอ้วกอย่างถึงที่สุด....!!!
ณ วินาทีนั้นผมปลงใจได้โดยทันทีเลยว่าสิ่งที่ผมเห็นมันไม่ใช่คนอย่างแน่นอน คราวนี้เองก็จึงถึงกาลหวาดผวาด้วยความสยองขวัญขั้นสุดขีด
ผมกรีดร้องออกมาสุดเสียงฟังแทบจะไม่เป็นภาษามนุษย์ ได้แต่ร่ำไห้คร่ำครวญเรียกหาพ่อกับแม่วกไปวนมาอยู่เช่นนั้น จะเร้นกายหลีกหนีไปหนทางใดก็ไม่ได้เพราะสัมภเวสีที่แสนน่าเกลียดน่ากลัวเหล่านี้ มันต่างยืนล้อมหน้าล้อมหลังปิดช่องว่างเอาไว้เสียหมด
ทว่าก็เหมือนกับฟ้ามาโปรดในยามที่เราถึงจุดอันยากลำบากที่สุดของชีวิต เมื่อมีเสียงซึ่งเสมือนคำสั่งแสนประกาศิตจากใครคนหนึ่งดังขึ้น...
"พวกเจ้าอย่าได้ไปยุ่งกับเด็กคนนั้นนะ....!!!!"
สิ้นประโยคอันก้องกังวานเด็ดขาดและเต็มเปี่ยมไปด้วยอำนาจนั้น เหล่าร่างอสุภะทั้งหลายที่รุมจับตาทำหน้าถทึงใส่ผมอยู่ ก็ต่างได้พลันหันหน้าไปมองยังทางต้นเสียงกันอย่างพร้อมเพรียงดั่งต้องมนต์สะกด ทั้งยังเริ่มเคลื่อนกายแปรขบวนแยกเป็นแถวสองฝั่งซ้ายขวาเพื่อเปิดช่องว่างออกให้อีกต่างหาก
กระทั่งหมู่ทุกขวิญญาณพวกนั้นได้ไปยืนเรียงแถวตามแนวฝั่งของแต่ละตนกันจนเป็นที่กระจ่างตาเรียบร้อยแล้ว ผมก็ได้เห็นว่า ณ จุดศูนย์กลาง อันเป็นเนินดินหลุมศพที่นูนขึ้นมา ซึ่งห่างจากตัวผมออกไปสักราวๆ 5-6 เมตรนั้น มีร่างของชายชราคนหนึ่งปรากฏเด่นชัดดั่งประมุขผู้น่าเกรงขามอยู่ที่นั่น อายุของแกหากจะให้กะเกณฑ์แล้วก็คงจะอยู่ในวัยประมาณ 70 ปลายๆเห็นจะได้
รูปลักษณ์โดยรวมของพ่อเฒ่าผู้นี้จะเป็นคนรูปร่างสูงใหญ่บึกบึนกว่ามนุษย์ปกติอยู่มาก แต่งกายในชุดเครื่องแบบราชประแตนสีขาวในสมัยรัชกาลที่ 5 นุ่งโจงกระเบนสีแดงเลือดหมูหม่นๆ สวมถุงเท้ายาวจนมิดหน้าแข้ง สวมรองเท้าหนังสีดำมันขลับระยับยามล้อต้องกับแสงเดือนบนฟากฟ้าที่สาดส่องลงมา กระทบ บนศีรษะสวมหมวกข้าราชการทรงโบราณสีเดียวกันกับสีเสื้อ แลดูเป็นระเบียบเรียบร้อยและมิดชิดไปทุกสัดส่วน โครงหน้าเหลี่ยม ดวงตามีแววของความคมกริบและดุดันอย่างเห็นได้ชัด ทั้งผม คิ้ว และ หนวดอันเป็นทรงเขี้ยวเรียวงอนงามนั้นก็หงอกโพลนราวกับสีของดอกหญ้า
แกนั่งชันเข่าอยู่บนหลุมฝังศพตรงนั้นด้วยท่าทีอันองอาจสง่าผ่าเผย มีพิณหัวพญานาคที่แกะสลักอย่างหยาบๆขนาดพอดีมือตัวหนึ่งสะพายเอาไว้ข้างหลัง มือซ้ายถือตะพดค้ำพื้นเนินหลุมไว้แน่นิ่ง ส่วนมือขวาก็คีบมวนยาสูบอยู่คาปาก พลางสูดอัดควันลึกเข้าปอดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงค่อยๆพ่นออกมาให้ละอองของมันล่องลอยจางหายไปกับอากาศธาตุ
ผมหยุดอาการร้องไห้ตื่นตระหนกไปโดยบัดดล อยู่ในสภาวะจังงังและงุนงงจับต้นชนปลายอะไรไม่ถูก จ้องมองแกด้วยความสงสัยอย่างเหลือคณา ฝ่ายตัวแกเองก็ส่งสายตาอันแสนราบเรียบยากที่จะคาดเดาความรู้สึกภายในที่แท้จริงมายังผมด้วยเช่นกัน ให้ตายเถอะ....มันช่างเป็นสถานการณ์อันชวนสับสนอะไรถึงเพียงนี้....!!!
"ไอ้หนู....เอ็งมาจากที่ใดกันรึ...?แล้วมาที่นี่ได้ยังไง?" ในที่สุดแกก็เอ่ยปากถามผมขึ้น น้ำเสียงห้าวต่ำกังวานทุ้มลึก
"ผะ...ผะ...ผม...ผม...ผมก็ไม่รู้ว่าผมมาที่นี่ได้ยังไงครับ...." ผมรวบรวมความกล้าหาญทั้งหมดที่มีตอบแกกลับไปอย่างระล่ำระลัก น้ำเสียงแผ่วเบา
"ที่นี่ยังไม่ถึงเวลาที่จะต้อนรับตัวเจ้า จงกลับไปซะ...!"
เมื่อได้ฟังดังนั้นผมก็นิ่งไปครู่ใหญ่ เพราะนึกไม่ออกว่าตัวเองเดินมาโผล่อยู่สถานที่แห่งนี้ได้อย่างไร? และจะกลับไปโดยใช้หนทางไหน? ก่อนหน้านั้นตนจำได้แต่เพียงว่านอนหลับอยู่บนเตียงภายในห้องและพอเข้าภวังค์ไปได้สักพักก็ดันมาเดินอยู่ที่นี่แบบงงๆไปเสียแล้ว ด้วยเหตุนี้ผมจึงทำได้เพียงเงียบงำมิอาจปริปากตอบรับหรือพูดคำใดออกไปได้ และชายชราคนนั้นแกคงเห็นว่าผมกำลังสับสนอยู่ จึงได้กล่าวต่อมาเป็นการชี้แนะว่า....
"เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน... หากยังไม่รู้ซึ่งหนทางข้าก็จะบอกให้ เจ้าจงหันกลับไปยังเบื้องหลัง แล้วเดินไปตามแสงสว่างนั่น หลังจากนั้นเจ้าก็จะได้หวนกลับคืนสู่ภพภูมิที่เจ้าจากมาเอง จงกลับไปซะ ทำตามคำที่ข้าบอกอย่างเคร่งครัด อย่าได้เหลียวกลับมามองที่นี่อีกเป็นอันขาดรีบกลับไปเดี๋ยวนี้เลยเร็วเข้า...ไป...!!!"
ครั้นสิ้นสุดถ้อยคำดังกล่าวของชายชรา ผมก็ปฏิบัติตามที่แกบัญชาอย่างว่าง่าย รีบหันหลังกลับไปโดยทันควัน ปรากฏว่ามีแสงสว่างเป็นลูกไฟสีขาวดวงใหญ่ลอยเคว้งอยู่ด้านหน้าดังที่แกว่าจริงๆ
ผมเร่งวิ่งตามลูกไฟนั้นไปอย่างไม่ลดละ จนกระทั่งได้เท่าทันกันในระยะประชิด หลังจากนั้นผมก็สะดุ้งตัวตื่นลืมตาขึ้นมาภายในห้องนอนของตนด้วยอาการที่ยังงุนงงอยู่ไม่สร่าง เหงื่อท่วมตัวจนเสื้อผ้าที่สวมอยู่เปียกชุ่ม ระหว่างนั้นก็มานั่งพิจารณาได้ว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันเป็นเพียงแค่ความฝันเท่านั้น จึงค่อยโล่งอกเบาใจลงไปอย่างไร้ข้อกังขา ผ่อนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ แล้วล้มตัวลงนอนจนหลับไปอีกครั้งก็ไม่ฝันถึงสิ่งใดอีกทั้งสิ้น ไปตื่นเอาอีกทีก็เช้าตรู่ของวันใหม่ รู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้ผ่านพ้นความฝันอันแสนพิสดารเช่นนั้นมาได้...
นี่แหละครับทุกท่านหนึ่งในความฝันที่ยังตราตรึงมิอาจลืมเลือนได้ของผม มันผ่านมาได้เป็นเวลานานหลายปีแล้วล่ะครับ ยังรู้สึกอยากขอบคุณพ่อเฒ่าลึกลับคนนั้นอยู่ไม่หายเลย แต่ก็แอบคิดเหมือนกันนะครับว่า ถ้าหากในวันนั้นไม่ได้พ่อเฒ่าท่านนี้มาช่วยเอาไว้ ทุกวันนี้ผมจะเป็นอย่างไร? และจะได้มานั่งเขียนบทความเพื่อถ่ายทอดเรื่องราวอันน่าพิศวงนี้ให้กับทุกท่านได้รับทราบอยู่หรือเปล่า? ก็มิอาจสามารถล่วงรู้ได้เหมือนกันนะครับ....😁"
.
.
.
.
.
ปล.ขอขอบพระคุณทุกท่านที่ได้ให้เกียรติเข้ามาอ่านบทความนี้จนจบครบถ้วนกระบวนความทุกบรรทัดเป็นอย่างสูงครับ...🙏❤️😊
ธีร์ วรรณกร ผู้ถ่ายทอดเรื่องราว
#สยองขวัญวันหยุด