.....เรื่องสั้น........ เรื่อง.......นิรันดร........@@ โดย ลุงแผน

กระทู้สนทนา
                                                                                             .......( นิรันดร ).......
 
 
 
 
 
……..บ้านปลายนา เวลานี้เรื่องที่พูดคุยกันส่วนใหญ่ จะเป็นเรื่องการเตรียมแปลงผัก ซึ่งบางบ้าน สถานที่เหมาะสมอยู่แล้วสำหรับแสงแดดในตอนเช้า และร่มเงาในตอนกลางวัน ก็ไม่ต้องทำอะไรมาก เพียงแค่เตรียมดิน แล้วปักหลักขึงตาข่ายล้อม กันไก่ไปคุ้ยเขี่ยแค่นั้น ส่วนบ้านที่อยู่กลางแจ้งและแดดแรงในตอนสาย ก็หาทางมะพร้าวไว้บังแดดให้ต้นกล้า โดยปักหลักไม้ไผ่หัวท้ายเตี้ยแค่เอว แล้วนำไม้ไผ่วางพาดยาวก่อนจะวางทางมะพร้าวพาดเฉียง ๆ ไว้ ก็ให้ร่มเงาเป็นอย่างดี
 
        ส่วนบ้านที่มีแรงไปตัดไม้ไผ่ในป่า ก็ตัดไม้ไผ่ลากมา ทำเป็นซุ้มโค้งท่วมหัว ต่อเป็นอุโมงค์ยาวประมาณสามเมตร เรียงกันสี่ถึงห้าอุโมงค์ แล้วแต่ว่าเนื้อที่ของใครมีมากเท่าไร แล้วมุงด้วยทางมะพร้าวเหมือนกัน บ้านไหนเก็บฝักบวบแห้งห้อยไว้ข้างฝา ก็ถือโอกาสนำเมล็ดออกมาฝังไว้สองข้างอุโมงค์ตามโคนหลัก เสร็จแล้วก็รดน้ำพอให้ชุ่มดี รอให้โตขึ้นแล้วพันหลักขึ้นไปคลุมอุโมงค์ต่อไป 
 
        หลังจากแจกเมล็ดพันธุ์ผัก รวมทั้งปุ๋ยชีวภาพ และจดรายชื่อไว้ครบหมดทุกหลังคาเรือนแล้ว ก็ยังเหลือเมล็ดพันธุ์และปุ๋ยอีกมาก ซึ่งเจ๊แตงได้บอกกับทุกคนว่า เก็บไว้สำรองเผื่อบ้านไหนไม่ได้ผล จะได้ให้ชุดใหม่ไปโดยไม่มีการคิดเงิน
 
        ตอนบ่ายแก่ ๆ ของวันหนึ่ง  ได้มีรถไถคันเล็กใหม่เอี่ยมขับเข้ามาในหมู่บ้าน ดึงดูดสายตา ลุงมิ่ง และลุงผู้ใหญ่ ซึ่งกำลังนั่งคุยกันอยู่ ให้มองตามรถไถสีส้มสดคันนั้นจนลับตา
 
        ผมกำลังสอนนักเรียนชั่วโมงสุดท้ายอยู่ ได้ยินเสียงเด็กห้องอื่นส่งเสียงตื่นเต้นเมื่อรถคันนั้นได้วิ่งเข้ามาทางป่าด้านข้างของโรงเรียน ส่วนเด็กในห้องก็เริ่มหันซ้ายหันขวา พวกนั่งริมหน้าต่างพากันมองออกไปข้างนอก เมื่อเสียงคำรามของรถไถเริ่มดังขึ้นเหมือนกับกำลังไถป่าบริเวณนั้น ซึ่งมีเพียงวัชพืชต้นเล็ก ๆ และเถาไม้เลื้อยตามพื้นเป็นส่วนใหญ่
 
        ผมชำเลืองมองนาฬิกาเหลือเวลาอีกครึ่งชั่วโมงจะเลิกเรียน จึงบอกให้เด็กทุกคนตั้งใจจดการบ้านบนกระดานดำ แล้วจะปล่อยให้กลับบ้านเลย เสียงรถไถซึ่งดังเร้าใจอยู่ตลอดเวลา  ทำให้นักเรียนในห้องลอกโจทย์ลงสมุด เสร็จในเวลาอันรวดเร็ว ผมจึงปล่อยทุกคนกลับ พลางรวบรวมสมุดหนังสือบนโต๊ะเพื่อเดินกลับบ้านพักครู
 
        เสียงเด็กในห้องวิ่งออกไปด้วยความดีใจ ผสมกับเสียงเด็กจากห้องอื่น ๆ ร่วมครึ่งร้อย เฮโลกันไปยังป่าด้านข้างโรงเรียนที่รถไถกำลังทำงานอยู่  ซึ่งถือเป็นความแปลกใหม่ของเด็กเล็ก เพราะส่วนใหญ่จะเห็นรถไถคันใหญ่เก่าวิ่งอยู่กลางนา ส่วนคันเล็กกะทัดรัดแบบนี้นานทีจะได้เจอ
 
        ผมเคยสงสัยอยู่เหมือนกันว่าที่ดินประมาณหนึ่งไร่ด้านข้างโรงเรียนนี้เป็นของใคร เพราะดูลักษณะแล้วเหมือนถูกปรับให้เรียบมาก่อน มีต้นมะม่วงปลูกห่าง ๆ รอบพื้นที่ คล้ายกับเป็นเขตรั้วไปในตัว ก่อนจะทิ้งไว้โดยไม่มีใครมาดูแลสักระยะหนึ่งจนถึงวันนี้
 
        บนบ้านพัก ขณะผมกำลังมองกองหนังสือเพื่อหาวิชาของวันพรุ่งนี้เตรียมไว้ ก็มีเสียงรถมอเตอร์ไซค์แล่นเข้ามาทางหน้าโรงเรียน แต่ไม่ใช่เสียงรถลุงน้อยอย่างแน่นอน เพราะเสียงเบากว่าและนุ่มนวลกว่า ผมจึงคิดว่า คงเป็นใครมาหาครูคนอื่น จึงไม่สนใจอะไร กระทั่งมีเสียงเรียกดังมาจากหน้าบ้าน ซึ่งเป็นชื่อของผมเอง
 
        “คุณครู คุณครูมานะอยู่มั้ยคะ”
 
        ผมคลับคล้ายคลับคลาเสียงนี้แต่ยังไม่มั่นใจ จึงขานรับแล้วผละจากกองหนังสือเดินออกประตูไปยืนเกาะราวลูกกรงแล้วมองลงไป
 
        “คุณว่าน”
 
         เสียงผมเบาหวิว ใบหน้าชาไปทั้งหน้าและแข้งขาหมดแรงทันที เมื่อเห็นร่างกะทัดรัดได้สัดส่วน ยืนอมยิ้มจ้องตากลมโตขึ้นมาพร้อมกับพูดกลั้วหัวเราะเมื่อเห็นอาการของผม
 
        “ไม่ต้องเรียกคุณก็ได้ค่ะครู เรียกหนูว่าว่านเฉย ๆ ก็ได้ คุณครูทำอะไรอยู่คะ”
  
        “เอ่อ เอ่อ….”
 
        ผมนึกคำตอบไม่ออกขณะมองเด็ก ๆ ที่พากันวิ่งลัดสนามมา พร้อมกับเสียงหัวเราะคิกคัก หยอกล้อกันตลอดทาง รถไถคงทำงานเสร็จแล้ว เพราะมีเสียงแล่นผ่านหน้าโรงเรียน และนักเรียนทั้งกลุ่ม พากันวิ่งไปรอหน้าประตู เพื่อดูรถไถคันเล็กให้เต็มตาอีกครั้ง
 
        “พ่อให้รถมาไถที่ค่ะ ทิ้งไว้นานแล้วรกน่าดู”
 
        เธอเอ่ยพร้อมกับยิ้มเห็นฟันขาวสะอาดเรียงราย ทำผมต้องค่อย ๆ เกาะราวบันไดเดินลงมาทีละขั้นอย่างใจลอย  และลงถึงพื้นเมื่อไหร่ไม่รู้ตัว
 
        “หนูมาดูแล้วครั้งหนึ่ง วันที่เจอลุงคนนั้นน่ะ แล้วก็เจอคุณครู”
 
        ผมนึกช้า ๆ ถึงวันที่เธอขี่รถมาแล้วจ๊ะเอ๋กับเจ้าตั้ม จึงเข้าใจเหตุผลที่เธอเข้ามาในวันนั้น แต่ตอนนี้ก็ได้แต่จ้องหน้านิ่งไม่รู้จะพูดอะไรต่อไป
 
        หญิงสาวสังเกตอาการของผมแล้วหัวเราะออกมาเบา ๆ ขณะรอยยิ้มยังคงเต็มใบหน้าอย่างเดิม  และเอียงคอมองผม ซึ่งค่อย ๆ พูดตะกุกตะกักออกไป
 
        “เอ่อ คุณว่านจะมาปลูกบ้านอยู่เหรอครับ”
 
        หญิงสาวหัวเราะกิ๊กขึ้นมาทันที ก่อนพูดกลั้วหัวเราะออกมา
 
        “หนูจะมาอยู่กับใครล่ะคะครู แล้วคุณครูน่ะ เรียกหนูว่าว่านเฉย ๆ ก็ได้ค่ะ”
 
        เธอพูดจบยืนอมยิ้มมองหน้าผม ขณะผมได้ยินเสียงเด็กหลายคน วิ่งเล่นกันอยู่กลางลานดินไถใหม่อย่างสนุกสนาน แล้วนึกถึงเด็กเหล่านั้นขึ้นมา จึงสูดลมหายใจเข้าลึก ตั้งสตินิดหนึ่งก่อนเอ่ยถามออกไป
 
        “ถ้าที่ตรงนี้ลุงกำนันไม่ได้ทำอะไร ผมขอเช่าต่อได้มั้ย”
 
        ผมหายใจเข้าลึกอีกครั้งเพื่อเรียกความมั่นใจกลับคืน และมองเธอซึ่งมีสีหน้าแปลกใจขณะเอ่ยถามออกมา
 
        “คุณครูจะเช่าไปทำอะไรหรือคะ บ้านพักครูก็มี”
 
        เธอถามจบมองหน้าผมนิ่ง ตากลมโตคู่นั้นทำเอาผมเกือบลืมว่าจะพูดอะไร
 
        “ผมจะให้นักเรียนฝึกทำการเกษตร หัดเรียนรู้ด้วย จะได้มีรายได้เล็ก ๆ น้อย ๆ เก็บไว้ซื้อขนมกินด้วย”
 
        เธอร้องอ๋อ แบบไม่มีเสียงออกมาพร้อมกับพยักหน้าช้า ๆ พลางยิ้มแล้วเอ่ยออกมาอย่างร่าเริง
 
        “ไม่ต้องบอกพ่อหรอกค่ะ ที่เป็นของหนูเอง คุณครูทำได้เลยไม่ต้องเช่า แต่มีข้อแม้อย่างเดียว”
 
        เธอจ้องหน้าผมนิ่งขณะผมสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วปล่อยออกมาช้า ๆ พร้อมกับตั้งใจฟังกติกาของเธอ
 
        “หนูขอมาทำด้วยคน ตอนนี้หนูว่างอยู่ กว่าจะได้เรียนก็เทอมหน้า”
 
        หญิงสาวพูดจบอมยิ้มแล้วมองหน้าผม ซึ่งเริ่มกลับมาชาทั้งตัวอีกครั้ง เมื่อรู้ว่าจะได้เจอเธอทุกวัน ก่อนเอ่ยออกไปอย่างยากเย็น
 
        “เอ่อ เอ่อ ได้ ได้ครับ ไม่เป็นไร..” 
 
        “แล้วคุณครูจะให้เด็กเริ่มวันไหนคะ”
 
        เธอถามออกมาอีกครั้งพลางเอียงคอยิ้ม รอคำตอบเหมือนกับแกล้งล้อเลียน
 
        “วันศุกร์ ช่วงบ่ายครับ”
 
        ผมตอบออกไปขณะลมหายใจเริ่มติดขัด คิดว่าถ้าเธออยู่นานกว่านี้ ผมคงพูดอะไรไม่ออกอย่างแน่นอน 
 
        “ขอบคุณค่ะ”
 
        เธอพูดจบแล้วยิ้มให้ผมอีกครั้ง ก่อนเดินกลับไปที่รถสตาร์ทเครื่องขี่ออกไปจากโรงเรียน ปล่อยผมยืนตัวชามองจนเธอลับไป  ไม่รู้นานแค่ไหน ผมจึงเริ่มรู้สึกตัว……

 
        ( มีต่อครับ )
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่