บทที่ 6
อุโมงค์มหัศจรรย์
บรรยากาศอึมครึมปกคลุมห้องเรียนอยู่เป็นเวลานาน นักเรียนสเปิร์มกำลังรอให้คุณครูกรีสซี่ขยับทำอะไรสักอย่าง ซึ่งเขาก็ไม่ได้ทำสักที
“หนังจบแล้วเหรอคะ” จนในที่สุดเสียงของสเปิร์มไข่มุกก็ดังขึ้นท่ามกลางความโล่งอกของเพื่อนสเปิร์มหลังจากรอคอยมานาน
“หนังจบแล้ว แต่บทเรียนยังไม่จบ” คุณครูกรีสซี่ตอบอย่างงัวเงีย หน้าตาของเขาเหมือนเพิ่งตื่นนอนมาอย่างหมาดๆ หรือไม่เขาก็เหนื่อยหน่ายเต็มที หากลุกออกจากห้องไปได้เสียในตอนนี้เขาคงทำไปแล้ว
“จำได้ไหมที่ครูบอกว่า ห้องเรียนแห่งนี้สร้างจำลองแบบมาจากภายในช่องคลอดของมนุษย์เพศหญิงน่ะ” คุณครูกรีสซี่ทวนความจำ มีนักเรียนเพียงบางตัวที่พยักหน้าแต่ส่วนใหญ่นิ่งเฉย
“เราจะเริ่มต้นทดสอบสมรรถภาพเพื่อเตรียมความพร้อมในการออกไปปฏิบัติภารกิจจริงกันที่นี่ ตัวที่สามารถฟันฝ่าอุปสรรคจนมาพบเซลล์ไข่และเจาะไชผ่านเข้าไป ก็จะจบการศึกษาในชั้นมัธยมและได้รับสิทธิ์ในการเดินทางไปสู่ฐานยิงจรวด”
“คุณครูหมายความว่า หากใครผ่านด่านนี้ไปได้ ก็หมายถึงจบการศึกษาแล้วใช่ไหมครับ” สเปิร์มโดโด้ถามเพื่อความแน่ใจ
“แน่นอน..! หากว่า..เธอสามารถผ่านได้” คุณครูกรีสซี่ให้คำยืนยันหนักแน่น แต่ประโยคท้ายกลับทำให้รู้สึก
เคลือบแคลง
“เรียนจบปุ๊บก็ถูกส่งไปตายปั๊บ” สเปิร์มดีดี้ปากเปราะขึ้นมาทันทีที่คุณครูกรีสซี่กล่าวจบ ทำเอาเพื่อนๆ หลายตัวสะอึก คุณครูกรีสซี่ต้องหันมาถลึงตาใส่
“ที่นี่เราไม่ได้สอนให้พวกเธอไปตาย แต่เราสอนวิธีรอดชีวิตให้พวกเธอต่างหาก.. ” คุณครูกรีสซี่ตวาดเสียงเข้ม เล่นเอาสเปิร์มดีดี้หน้าถอดสีไปทันที
สเปิร์มทั้งหลายก็พากันแปลกใจและกังวลกับบทบาทของคุณครูกรีสซี่ที่เปลี่ยนไป
“เอาล่ะนะ..ถ้าพวกเธอพร้อมแล้ว ครูจะนำพวกเธอไปสู่การผจญภัยครั้งยิ่งใหญ่..ใหญ่ที่สุดเท่าที่พวกเธอเคยพานพบมาเลยในชีวิต” กล่าวจบคุณครูกรีสซี่ก็ทำมือเป็นสัญญาณให้ทุกตัวลุกขึ้นยืน
“ฉันสังหรณ์ใจว่า การผจญภัยคราวนี้อาจทำให้เราไม่ได้เห็นหน้าเพื่อนๆ อีกหลายตัว ดังนั้น..ขอให้ทุกตัวโชคดีนะ” สเปิร์มไข่มุกที่เป็นเสมือนหัวหน้าชั้นกล่าวเสียงเครือกับเพื่อนๆ ที่รายรอบอยู่
เมื่อหัวหน้าที่สเปิร์มฝากความหวังให้ทำแทนได้ทุกเรื่องยังหางสั่น มีหรือลูกน้องทั้งหลายจะไม่หวั่นไหว
“เธอล่ะ..พร้อมหรือยัง” สเปิร์มพิณหันไปถามสเปิร์มปันโดยพยายามทำหน้าระรื่นเข้าไว้
สีหน้าของสเปิร์มพิณอาจอำพรางสายตาผู้อื่นได้แต่ไม่ใช่สเปิร์มปัน แววตาที่สะท้อนความกังวลคู่นั้นไม่อาจรอดพ้นการสังเกตของเขาไปได้
“ฉันพร้อมเสมอ..เธอต่างหากล่ะที่ยังไม่พร้อม”
คำทักของสเปิร์มปันทำให้สเปิร์มพิณอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง เธอสู้อุตส่าห์ซ่อนความวิตกกังวลเอาไว้แต่เขายังสังเกตเห็นจนได้
“หวังว่า..เธอคงไม่สูญเสียความมั่นใจในตัวเองไปเพียงเพราะลางสังหรณ์ของตัวอื่นหรอกนะ” สเปิร์มปันกล่าวต่อ
“ไม่..ไม่เลย” สเปิร์มพิณตอบอย่างแผ่วเบา สเปิร์มปันรู้ว่าเธอกังวลใจอยู่ก็จริงแต่เขาเดาผิดที่คิดว่าเธอนำลางสังหรณ์ของสเปิร์มไข่มุกมาคำนึง แท้จริงแล้วเธอกังวลว่าจะไม่ได้พบหน้าเขาอีกต่อไปต่างหากแต่ก็ไม่คิดจะบอกความนัยนี้ให้เขาทราบ
“งั้นเธออาจกังวลที่จะไม่ผ่านด่านนี้ แต่เชื่อฉันเถอะ เธอจะผ่านมันไปได้ตราบใดที่เธอยังคงมีความตั้งใจจะไปเกิดเป็นมนุษย์อยู่ ฉันเชื่อมั่นในตัวเธอเช่นนั้น” สเปิร์มปันยังเดาสุ่มต่อไป เขาหวังให้สเปิร์มพิณคลายกังวล
สเปิร์มทิณยิ้มให้อย่างเสียมิได้ ถึงสเปิร์มปันจะเชื่อมั่นในตัวเธออย่างไรก็ไม่มีวันเทียบเท่ากับที่เธอเชื่อมั่นในตัวเขา
“แล้วเธอล่ะ..ความตั้งใจของเธอยังคงอยู่ไหม” สเปิร์มพิณย้อนถามบ้าง
“ฉะ..ฉันน่ะหรือ..” สเปิร์มปันไม่คาดว่าจะต้องเป็นฝ่ายตอบคำถามนี้ เขาอ้ำอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนตัดสินใจตอบออกไป
“ฉันน่ะ ไม่เคยคิดอยากไปเกิดเป็นมนุษย์มาแต่แรกแล้ว แต่ยังไม่อยากตายตอนนี้ เพราะฉันหวังที่จะได้เห็นวินาทีที่เธอทำความตั้งใจของเธอให้สำเร็จ” ความตั้งใจของสเปิร์มปันเป็นเช่นนั้นจริงๆ เขา และสเปิร์มพิณก็เชื่อโดยสนิทใจว่าเขาพูดออกมาจากใจจริง
“ทำไม..ความฝันสูงสุดของสเปิร์มมิใช่การไปเกิดเป็นมนุษย์หรอกหรือ” สเปิร์มพิณยังอยากรู้ต่อไปอีก
“ก็อาจใช่..แต่ไม่ใช่ความใฝ่ฝันของฉันนี่นา” สเปิร์มปันไม่บอกเหตุผลแน่ชัดและไม่อยากให้สเปิร์มพิณเซ้าซี้ด้วย
ทั้งสองตัวต่างปกปิดความในใจของตนเองเอาไว้ ตัวหนึ่งเป็นกังวลเกรงว่าจะไม่ได้พบหน้ากันอีก ส่วนอีกตัวยอมทำลายความฝันของตัวเองเพราะไม่ต้องการเป็นคู่แข่งของเพื่อน
“ปัน..” สเปิร์มพิณเอ่ยขึ้น เธอต้องเม้มริมฝีปากเอาไว้แน่นเพื่อไม่ให้เสียงที่จะลอดออกมาสั่นกระพือ
“การได้ไปเกิดเป็นมนุษย์เป็นความหวังสูงสุดของฉันก็จริง แต่หากได้มาโดยการยินยอมยกให้ของเธอ มันก็ไม่มีความหมายอะไรต่อฉันเช่นกัน ในเมื่อการไปเกิดไม่มีความหมายต่อเราทั้งสอง การออกไปตายในด่านต่อไปก็ไม่ใช่เรื่องน่าวิตกแล้ว” ดูเหมือนว่าสเปิร์มพิณจะอ่านความในใจของสเปิร์มปันได้อย่างกระจ่างแจ้ง
“ไม่..ไม่ได้..! เธอยังต้องยึดมั่นในความหวังสูงสุดของเธอต่อไป จะละทิ้งเพราะฉันเป็นต้นเหตุไม่ได้เด็ดขาด” สเปิร์มปันละล่ำละลักออกมา เขารู้สึกกลัวขึ้นมาในทันที ด้วยคำพูดที่เคยหวังจะคลายกังวลให้สเปิร์มพิณได้ย้อนกลับมาสร้างความกังวลให้กับตัวเองบ้างแล้ว
“ถ้างั้น..” สเปิร์มพิณตั้งเงื่อนไขขึ้นมา
“สัญญากับฉันนะว่า เราจะทำหน้าที่ของสเปิร์มให้ดีที่สุด แม้จะต้องแข่งขันกันเองในวาระสุดท้ายก็ตาม เราจะไม่อ่อนข้อให้กันและกัน ตัวที่เก่งกว่า แข็งแรงกว่าจะได้ไปเกิดเป็นมนุษย์ตามปณิธานของโรงเรียน และหากว่า..” สเปิร์มพิณเว้นวรรคเพื่อต้องการมองหน้าสเปิร์มปันให้เต็มตาสักครั้งก่อนคำกล่าวต่อไป
“หากว่า..มีตัวใดตัวหนึ่งตายไปก่อน อีกตัวจะต้องเดินหน้าต่อไปจนถึงที่สุดเพื่อนำความหวังของอีกตัวไปสานต่อเป็นความสำเร็จ” สเปิร์มพิณกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง
สเปิร์มปันได้ฟังกึถึงกับหางอ่อนระทวย หากเกิดสถานการณ์ที่จะต้องแข่งขันกับสเปิร์มพิณเพื่อหาผู้ชนะ เขาจะแข่งไปเพื่ออะไรในเมื่อไม่อาจทนเห็นเธอเป็นผู้พ่ายแพ้ได้ และเขาจะรู้ได้อย่างไรว่า สเปิร์มพิณจะไม่เป็นฝ่ายอ่อนข้อเพื่อให้เขาเป็นฝ่ายชนะ
“ว่ายังไงปัน. สัญญาได้มั้ย” สเปิร์มพิณเร่งเร้าเมื่อเห็นท่าทีอึกอักของอีกฝ่าย
“ได้..ตกลง” สเปิร์มปันจำต้องตอบรับออกไป เป็นคำตอบรับที่เขาไม่มีทางเลือกเป็นอย่างอื่นเลย โดยหวังว่าการตอบรับครั้งนี้จะทำให้สเปิร์มพิณคลายกังวลได้ แต่ความทุกข์แสนสาหัสจะมาตกอยู่ที่เขาแทน
“ดี..ปัน ฉันรู้ว่าเธอทำได้ ฉันเองก็เชื่อมั่นในตัวเธอเสมอ” สเปิร์มพิณโผเข้ากอดสเปิร์มปันโดยไม่ให้เขาได้ตั้งตัว เธอรู้อยู่แก่ใจว่า สเปิร์มปันมีศักยภาพดีกว่าที่จะไปเกิดเป็นมนุษย์ ขอเพียงเขารับปากว่าจะทำให้เป็นจริงขึ้นมาเท่านั้น
แม้จะรู้สึกยินดีแต่สเปิร์มพิณกลับมีน้ำตาเอ่อคลอออกมาเต็มสองเบ้า และเธอก็ไม่ปรารถนาจะให้เขาได้เห็นมันจึงใช้วิธีซบหน้าในอ้อมกอดอยู่เนิ่นนาน
“มีสเปิร์มตายทุกชั่วโมงที่นี่ ขณะเดียวกันก็มีสเปิร์มเกิดขึ้นมาทดแทนด้วยเช่นกัน ฉันได้แต่ภาวนาขอให้เธออยู่รอดปลอดภัยไปจนถึงด่านสุดท้ายได้ แต่ถ้าเราต้องตายจากกันไป ฉันก็อยากจะเกิดมาเป็นเพื่อนของเธออีก..จริงๆ นะ” คำกล่าวของสเปิร์มปันหาได้เป็นคำปลอบใจแต่เป็นความจริงใจที่เขามอบให้
สเปิร์มพิณไม่กล้าเอ่ยคำพูดใดๆ ออกจากริมฝีปากที่สั่นระริก เธอพรั่งพรูความรู้สึกที่มีต่อคำกล่าวของเขาออกมาเป็นหยดน้ำที่ไหลเป็นทาง ผ่านร่องแก้มทั้งสองลงสู่เนินบ่าของสเปิร์มปัน
บรรยากาศในห้องเรียนดูเศร้าสลดไปถนัดใจเมื่อสเปิร์มนับล้านๆ ตัวโผเข้าหากันเพื่อกล่าวคำอำลาแก่เพื่อนสนิทของตน
คุณครูกรีสซี่มองภาพตรงหน้าด้วยความรู้สึกชาชิน สิ่งที่เห็นนี้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่รู้จักจบจักสิ้น ความรู้สึกอาวรณ์เกิดขึ้นกับเขาแค่ชั่ววูบ พอขึ้นชั้นเรียนใหม่ เห็นหน้าเด็กใหม่ๆ เข้ามา ความรู้สึกนั้นก็หายไป
“เอาล่ะนักเรียนทุกตัว สั่งเสียกันพอแล้ว ต่อจากนี้ ให้ทุกตัวเลื้อยเรียงแถวเข้าไปอยู่ในอุโมงค์มหัศจรรย์ที่จำลองมาจากผนังช่องคลอดของมนุษย์ได้แล้ว” พูดจบคุณครูกรีสซี่ก็โผนตัวขึ้นไปเกาะบนเพดานด้านบน ห้อยศีรษะลงมาโบกมือต้อนให้สเปิร์มจัดแถวหน้ากระดานซ้อนกันเป็นชั้นๆ เหมือนกำลังจะเดินสวนสนาม
“นักเรียนทั้งหมด..แถวตรง..!”
คุณครูกรีสซี่ที่ห้อยหัวอยู่ตรงหน้าขบวนตะโกนสั่งให้ยืนตรง นักเรียนสเปิร์มสะบัดหางแล้วเหยียดตัวขึ้นในแนวตั้งอย่างพร้อมเพรียงราวกับฝักถั่วงอกในแปลงเพาะ
“ดีมาก..! ต่อไป เมื่อครูนับหนึ่งถึงสาม ให้นักเรียนเลื้อยเรียงหน้าเข้าไปในอุโมงค์ด้านใน เมื่อพ้นปากอุโมงค์ไปแล้ว การจัดระเบียบถือว่าสิ้นสุด ให้ทุกตัวยึดพื้นที่กันตามสบาย”
ตอนที่ยังไม่ทันนับนักเรียนทุกตัวก็ดูท่าเชื่อฟังดีอยู่..
“หนึ่ง..สอง....”
แต่พอนับถึงสองและเว้นช่วงการนับให้ยาวขึ้นเท่านั้นเอง สเปิร์มก็เริ่มแตกแถวกันแล้ว นำโดยบรรดาตัวที่อยู่แถวหน้าขยับตัวก่อน ทำให้แถวถัดๆ มาฮือตามขึ้นมา แล้วความชุลมุนก็เกิดขึ้นเมื่อสเปิร์มที่ไร้ระเบียบเฮโลแย่งกันกระโดดเข้าไปในปากอุโมงค์ที่มีลักษณะเป็นหูรูดมีรูตรงกลางขนาดใหญ่กว่าประตูทางเข้าออกเล็กน้อยทำให้เกิดคิวแออัดที่หน้าปากทางเข้าจนมีการทับถมกันขึ้นเป็นชั้นๆ
“..สะ..สาม” กว่าที่คำว่า ‘สาม’ จะหลุดออกมาก็ไม่มีความจำเป็นแล้ว เพราะนักเรียนแทบจะเหยียบกันตายอยู่ที่ปากทางเข้าอุโมงค์ในเวลานี้
เมื่อผ่านเข้าไปได้แล้ว สเปิร์มก็กระจายตัวกันออกไปอย่างรวดเร็ว ภายในอุโมงค์ซึ่งมีลักษณะเหมือนท่อส่งน้ำขนาดใหญ่ที่ลาดลึกลงไปสู่เบื้องล่างทำให้สเปิร์มที่เข้าไปได้ก่อนเลื่อนตัวตามๆ กันไปอย่างฉลุย พวกเขาคาดหมายว่า เส้นชัยอยู่ในหุบลึกข้างหน้า การชิงเข้าไปก่อนย่อมได้เปรียบ
ผนังอุโมงค์แม้จะมีผิวเป็นตะปุ่มตะป่ำเหมือนหนังคางคกแต่ก็นุ่มนิ่มเหมือนกับผ้าบุนวมแถมยังชุ่มชื้นตลอดเวลาเพราะมีน้ำเมือกสีขาวใสเคลือบผิวอยู่ นั่นทำให้การเคลื่อนตัวของสเปิร์มที่อยู่ด้านในทำได้ง่ายขึ้น หลายตัวใช้วิธีกลิ้งตัวไปตามพื้นที่ลาดลงไปแทนการเลื้อยด้วยหางเพราะไปได้รวดเร็วกว่า
ยิ่งลึกเข้าไปเท่าใดแสงสว่างภายในอุโมงค์ก็ยิ่งลดน้อยถอยลงไปเป็นลำดับ สเปิร์มที่อยู่ด้านในสุดจึงเคลื่อนที่ได้ช้าลงเพราะต้องใช้หางคลำทางไปตลอด
“เราจะมองเห็นทางออกได้อย่างไรในเมื่อทางข้างหน้ามันมืดอย่างนี้” สเปิร์มจิงเป็นสเปิร์มตัวเล็กที่มักจะขึ้นมายืนอยู่แถวหน้าสุดเสมอส่งเสียงดังกังวานออกมาจากด้านใน
“ก็นั่นมันทางออกที่ไหนกันล่ะ!..ทางออกอยู่ด้านนี้ต่างหาก” คุณครูกรีสซี่ตะโกนสวนมาจากปากอุโมงค์ด้านนอก
เสียงของคุณครูกรีสซี่สะท้อนเป็นห้วงๆ กลับไปกลับมาภายในอุโมงค์แล้วค่อยๆ จางหายไปในก้นอุโมงค์ สเปิร์มที่อยู่ปลายอุโมงค์พอได้ยินดังนั้นก็พากันกลับตัวเป็นการใหญ่เพราะมันหมายถึงว่า พวกเขาไม่ได้อยู่ด้านหน้าอีกต่อไปแล้ว
“ซวยล่ะสิ..! พวกเราหลงกลแล้ว”
ความโกลาหลอุบัติขึ้นทันทีที่ด้านในของอุโมงค์เมื่อสเปิร์มจำนวนมากพยายามยื้อแย่งจะกลับออกมาแต่ติดที่ตัวข้างหน้าขยับได้ช้า ประกอบกับทางกลับกลายเป็นทางขึ้นที่ลาดทำให้ต้องออกแรงมากกว่าตอนขาลงทำให้ไม่สามารถกลับออกมาได้เร็วอย่างที่คิดไว้
ขณะที่ตรงปากทางเข้า ซึ่งได้กลายเป็นปากทางรอดไปแล้วนั้น คุณครูกรีสซี่ได้ยืดตัวออกกลายเป็นจอหนังขนาดใหญ่ขึงปิดปากทางออกเอาไว้จนเกือบมิดแล้วฉายภาพผนังมดลูกสีแดงอมชมพูขนาดใหญ่กำลังเต้นตุ้บๆ บนจอหนังของตนเอง
“เห็นไหม..! นี่คือ เยื่อบุผนังบริเวณปากมดลูกที่กำลังพองตัวขึ้นมาจนอวบอิ่มรอพวกเธอและเซลล์ไข่มานอนฮันนีมูนกันที่นี่ ว่ายเข้ามาเลย..เร็วๆ ด้วย ใครที่ว่ายมาแตะจอหนังนี้ได้จะพบทางออกไปสู่ภายนอก แต่พวกเธอจะต้องว่ายทวนกระแสน้ำเข้ามาให้ทันก่อนที่เยื่อบุนี้จะแห้งเหี่ยวลงและหลุดลอกตัวออก หาไม่แล้ว..หึ หึ หึ..ก็จะต้องเป็นผีเฝ้าอุโมงค์แห่งนี้”
**กว่าจะเป็นพวกเธอในวันนี้ (The sperm's story) บทที่ 6..อุโมงค์มหัศจรรย์**
อุโมงค์มหัศจรรย์
บรรยากาศอึมครึมปกคลุมห้องเรียนอยู่เป็นเวลานาน นักเรียนสเปิร์มกำลังรอให้คุณครูกรีสซี่ขยับทำอะไรสักอย่าง ซึ่งเขาก็ไม่ได้ทำสักที
“หนังจบแล้วเหรอคะ” จนในที่สุดเสียงของสเปิร์มไข่มุกก็ดังขึ้นท่ามกลางความโล่งอกของเพื่อนสเปิร์มหลังจากรอคอยมานาน
“หนังจบแล้ว แต่บทเรียนยังไม่จบ” คุณครูกรีสซี่ตอบอย่างงัวเงีย หน้าตาของเขาเหมือนเพิ่งตื่นนอนมาอย่างหมาดๆ หรือไม่เขาก็เหนื่อยหน่ายเต็มที หากลุกออกจากห้องไปได้เสียในตอนนี้เขาคงทำไปแล้ว
“จำได้ไหมที่ครูบอกว่า ห้องเรียนแห่งนี้สร้างจำลองแบบมาจากภายในช่องคลอดของมนุษย์เพศหญิงน่ะ” คุณครูกรีสซี่ทวนความจำ มีนักเรียนเพียงบางตัวที่พยักหน้าแต่ส่วนใหญ่นิ่งเฉย
“เราจะเริ่มต้นทดสอบสมรรถภาพเพื่อเตรียมความพร้อมในการออกไปปฏิบัติภารกิจจริงกันที่นี่ ตัวที่สามารถฟันฝ่าอุปสรรคจนมาพบเซลล์ไข่และเจาะไชผ่านเข้าไป ก็จะจบการศึกษาในชั้นมัธยมและได้รับสิทธิ์ในการเดินทางไปสู่ฐานยิงจรวด”
“คุณครูหมายความว่า หากใครผ่านด่านนี้ไปได้ ก็หมายถึงจบการศึกษาแล้วใช่ไหมครับ” สเปิร์มโดโด้ถามเพื่อความแน่ใจ
“แน่นอน..! หากว่า..เธอสามารถผ่านได้” คุณครูกรีสซี่ให้คำยืนยันหนักแน่น แต่ประโยคท้ายกลับทำให้รู้สึก
เคลือบแคลง
“เรียนจบปุ๊บก็ถูกส่งไปตายปั๊บ” สเปิร์มดีดี้ปากเปราะขึ้นมาทันทีที่คุณครูกรีสซี่กล่าวจบ ทำเอาเพื่อนๆ หลายตัวสะอึก คุณครูกรีสซี่ต้องหันมาถลึงตาใส่
“ที่นี่เราไม่ได้สอนให้พวกเธอไปตาย แต่เราสอนวิธีรอดชีวิตให้พวกเธอต่างหาก.. ” คุณครูกรีสซี่ตวาดเสียงเข้ม เล่นเอาสเปิร์มดีดี้หน้าถอดสีไปทันที
สเปิร์มทั้งหลายก็พากันแปลกใจและกังวลกับบทบาทของคุณครูกรีสซี่ที่เปลี่ยนไป
“เอาล่ะนะ..ถ้าพวกเธอพร้อมแล้ว ครูจะนำพวกเธอไปสู่การผจญภัยครั้งยิ่งใหญ่..ใหญ่ที่สุดเท่าที่พวกเธอเคยพานพบมาเลยในชีวิต” กล่าวจบคุณครูกรีสซี่ก็ทำมือเป็นสัญญาณให้ทุกตัวลุกขึ้นยืน
“ฉันสังหรณ์ใจว่า การผจญภัยคราวนี้อาจทำให้เราไม่ได้เห็นหน้าเพื่อนๆ อีกหลายตัว ดังนั้น..ขอให้ทุกตัวโชคดีนะ” สเปิร์มไข่มุกที่เป็นเสมือนหัวหน้าชั้นกล่าวเสียงเครือกับเพื่อนๆ ที่รายรอบอยู่
เมื่อหัวหน้าที่สเปิร์มฝากความหวังให้ทำแทนได้ทุกเรื่องยังหางสั่น มีหรือลูกน้องทั้งหลายจะไม่หวั่นไหว
“เธอล่ะ..พร้อมหรือยัง” สเปิร์มพิณหันไปถามสเปิร์มปันโดยพยายามทำหน้าระรื่นเข้าไว้
สีหน้าของสเปิร์มพิณอาจอำพรางสายตาผู้อื่นได้แต่ไม่ใช่สเปิร์มปัน แววตาที่สะท้อนความกังวลคู่นั้นไม่อาจรอดพ้นการสังเกตของเขาไปได้
“ฉันพร้อมเสมอ..เธอต่างหากล่ะที่ยังไม่พร้อม”
คำทักของสเปิร์มปันทำให้สเปิร์มพิณอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง เธอสู้อุตส่าห์ซ่อนความวิตกกังวลเอาไว้แต่เขายังสังเกตเห็นจนได้
“หวังว่า..เธอคงไม่สูญเสียความมั่นใจในตัวเองไปเพียงเพราะลางสังหรณ์ของตัวอื่นหรอกนะ” สเปิร์มปันกล่าวต่อ
“ไม่..ไม่เลย” สเปิร์มพิณตอบอย่างแผ่วเบา สเปิร์มปันรู้ว่าเธอกังวลใจอยู่ก็จริงแต่เขาเดาผิดที่คิดว่าเธอนำลางสังหรณ์ของสเปิร์มไข่มุกมาคำนึง แท้จริงแล้วเธอกังวลว่าจะไม่ได้พบหน้าเขาอีกต่อไปต่างหากแต่ก็ไม่คิดจะบอกความนัยนี้ให้เขาทราบ
“งั้นเธออาจกังวลที่จะไม่ผ่านด่านนี้ แต่เชื่อฉันเถอะ เธอจะผ่านมันไปได้ตราบใดที่เธอยังคงมีความตั้งใจจะไปเกิดเป็นมนุษย์อยู่ ฉันเชื่อมั่นในตัวเธอเช่นนั้น” สเปิร์มปันยังเดาสุ่มต่อไป เขาหวังให้สเปิร์มพิณคลายกังวล
สเปิร์มทิณยิ้มให้อย่างเสียมิได้ ถึงสเปิร์มปันจะเชื่อมั่นในตัวเธออย่างไรก็ไม่มีวันเทียบเท่ากับที่เธอเชื่อมั่นในตัวเขา
“แล้วเธอล่ะ..ความตั้งใจของเธอยังคงอยู่ไหม” สเปิร์มพิณย้อนถามบ้าง
“ฉะ..ฉันน่ะหรือ..” สเปิร์มปันไม่คาดว่าจะต้องเป็นฝ่ายตอบคำถามนี้ เขาอ้ำอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนตัดสินใจตอบออกไป
“ฉันน่ะ ไม่เคยคิดอยากไปเกิดเป็นมนุษย์มาแต่แรกแล้ว แต่ยังไม่อยากตายตอนนี้ เพราะฉันหวังที่จะได้เห็นวินาทีที่เธอทำความตั้งใจของเธอให้สำเร็จ” ความตั้งใจของสเปิร์มปันเป็นเช่นนั้นจริงๆ เขา และสเปิร์มพิณก็เชื่อโดยสนิทใจว่าเขาพูดออกมาจากใจจริง
“ทำไม..ความฝันสูงสุดของสเปิร์มมิใช่การไปเกิดเป็นมนุษย์หรอกหรือ” สเปิร์มพิณยังอยากรู้ต่อไปอีก
“ก็อาจใช่..แต่ไม่ใช่ความใฝ่ฝันของฉันนี่นา” สเปิร์มปันไม่บอกเหตุผลแน่ชัดและไม่อยากให้สเปิร์มพิณเซ้าซี้ด้วย
ทั้งสองตัวต่างปกปิดความในใจของตนเองเอาไว้ ตัวหนึ่งเป็นกังวลเกรงว่าจะไม่ได้พบหน้ากันอีก ส่วนอีกตัวยอมทำลายความฝันของตัวเองเพราะไม่ต้องการเป็นคู่แข่งของเพื่อน
“ปัน..” สเปิร์มพิณเอ่ยขึ้น เธอต้องเม้มริมฝีปากเอาไว้แน่นเพื่อไม่ให้เสียงที่จะลอดออกมาสั่นกระพือ
“การได้ไปเกิดเป็นมนุษย์เป็นความหวังสูงสุดของฉันก็จริง แต่หากได้มาโดยการยินยอมยกให้ของเธอ มันก็ไม่มีความหมายอะไรต่อฉันเช่นกัน ในเมื่อการไปเกิดไม่มีความหมายต่อเราทั้งสอง การออกไปตายในด่านต่อไปก็ไม่ใช่เรื่องน่าวิตกแล้ว” ดูเหมือนว่าสเปิร์มพิณจะอ่านความในใจของสเปิร์มปันได้อย่างกระจ่างแจ้ง
“ไม่..ไม่ได้..! เธอยังต้องยึดมั่นในความหวังสูงสุดของเธอต่อไป จะละทิ้งเพราะฉันเป็นต้นเหตุไม่ได้เด็ดขาด” สเปิร์มปันละล่ำละลักออกมา เขารู้สึกกลัวขึ้นมาในทันที ด้วยคำพูดที่เคยหวังจะคลายกังวลให้สเปิร์มพิณได้ย้อนกลับมาสร้างความกังวลให้กับตัวเองบ้างแล้ว
“ถ้างั้น..” สเปิร์มพิณตั้งเงื่อนไขขึ้นมา
“สัญญากับฉันนะว่า เราจะทำหน้าที่ของสเปิร์มให้ดีที่สุด แม้จะต้องแข่งขันกันเองในวาระสุดท้ายก็ตาม เราจะไม่อ่อนข้อให้กันและกัน ตัวที่เก่งกว่า แข็งแรงกว่าจะได้ไปเกิดเป็นมนุษย์ตามปณิธานของโรงเรียน และหากว่า..” สเปิร์มพิณเว้นวรรคเพื่อต้องการมองหน้าสเปิร์มปันให้เต็มตาสักครั้งก่อนคำกล่าวต่อไป
“หากว่า..มีตัวใดตัวหนึ่งตายไปก่อน อีกตัวจะต้องเดินหน้าต่อไปจนถึงที่สุดเพื่อนำความหวังของอีกตัวไปสานต่อเป็นความสำเร็จ” สเปิร์มพิณกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง
สเปิร์มปันได้ฟังกึถึงกับหางอ่อนระทวย หากเกิดสถานการณ์ที่จะต้องแข่งขันกับสเปิร์มพิณเพื่อหาผู้ชนะ เขาจะแข่งไปเพื่ออะไรในเมื่อไม่อาจทนเห็นเธอเป็นผู้พ่ายแพ้ได้ และเขาจะรู้ได้อย่างไรว่า สเปิร์มพิณจะไม่เป็นฝ่ายอ่อนข้อเพื่อให้เขาเป็นฝ่ายชนะ
“ว่ายังไงปัน. สัญญาได้มั้ย” สเปิร์มพิณเร่งเร้าเมื่อเห็นท่าทีอึกอักของอีกฝ่าย
“ได้..ตกลง” สเปิร์มปันจำต้องตอบรับออกไป เป็นคำตอบรับที่เขาไม่มีทางเลือกเป็นอย่างอื่นเลย โดยหวังว่าการตอบรับครั้งนี้จะทำให้สเปิร์มพิณคลายกังวลได้ แต่ความทุกข์แสนสาหัสจะมาตกอยู่ที่เขาแทน
“ดี..ปัน ฉันรู้ว่าเธอทำได้ ฉันเองก็เชื่อมั่นในตัวเธอเสมอ” สเปิร์มพิณโผเข้ากอดสเปิร์มปันโดยไม่ให้เขาได้ตั้งตัว เธอรู้อยู่แก่ใจว่า สเปิร์มปันมีศักยภาพดีกว่าที่จะไปเกิดเป็นมนุษย์ ขอเพียงเขารับปากว่าจะทำให้เป็นจริงขึ้นมาเท่านั้น
แม้จะรู้สึกยินดีแต่สเปิร์มพิณกลับมีน้ำตาเอ่อคลอออกมาเต็มสองเบ้า และเธอก็ไม่ปรารถนาจะให้เขาได้เห็นมันจึงใช้วิธีซบหน้าในอ้อมกอดอยู่เนิ่นนาน
“มีสเปิร์มตายทุกชั่วโมงที่นี่ ขณะเดียวกันก็มีสเปิร์มเกิดขึ้นมาทดแทนด้วยเช่นกัน ฉันได้แต่ภาวนาขอให้เธออยู่รอดปลอดภัยไปจนถึงด่านสุดท้ายได้ แต่ถ้าเราต้องตายจากกันไป ฉันก็อยากจะเกิดมาเป็นเพื่อนของเธออีก..จริงๆ นะ” คำกล่าวของสเปิร์มปันหาได้เป็นคำปลอบใจแต่เป็นความจริงใจที่เขามอบให้
สเปิร์มพิณไม่กล้าเอ่ยคำพูดใดๆ ออกจากริมฝีปากที่สั่นระริก เธอพรั่งพรูความรู้สึกที่มีต่อคำกล่าวของเขาออกมาเป็นหยดน้ำที่ไหลเป็นทาง ผ่านร่องแก้มทั้งสองลงสู่เนินบ่าของสเปิร์มปัน
บรรยากาศในห้องเรียนดูเศร้าสลดไปถนัดใจเมื่อสเปิร์มนับล้านๆ ตัวโผเข้าหากันเพื่อกล่าวคำอำลาแก่เพื่อนสนิทของตน
คุณครูกรีสซี่มองภาพตรงหน้าด้วยความรู้สึกชาชิน สิ่งที่เห็นนี้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่รู้จักจบจักสิ้น ความรู้สึกอาวรณ์เกิดขึ้นกับเขาแค่ชั่ววูบ พอขึ้นชั้นเรียนใหม่ เห็นหน้าเด็กใหม่ๆ เข้ามา ความรู้สึกนั้นก็หายไป
“เอาล่ะนักเรียนทุกตัว สั่งเสียกันพอแล้ว ต่อจากนี้ ให้ทุกตัวเลื้อยเรียงแถวเข้าไปอยู่ในอุโมงค์มหัศจรรย์ที่จำลองมาจากผนังช่องคลอดของมนุษย์ได้แล้ว” พูดจบคุณครูกรีสซี่ก็โผนตัวขึ้นไปเกาะบนเพดานด้านบน ห้อยศีรษะลงมาโบกมือต้อนให้สเปิร์มจัดแถวหน้ากระดานซ้อนกันเป็นชั้นๆ เหมือนกำลังจะเดินสวนสนาม
“นักเรียนทั้งหมด..แถวตรง..!”
คุณครูกรีสซี่ที่ห้อยหัวอยู่ตรงหน้าขบวนตะโกนสั่งให้ยืนตรง นักเรียนสเปิร์มสะบัดหางแล้วเหยียดตัวขึ้นในแนวตั้งอย่างพร้อมเพรียงราวกับฝักถั่วงอกในแปลงเพาะ
“ดีมาก..! ต่อไป เมื่อครูนับหนึ่งถึงสาม ให้นักเรียนเลื้อยเรียงหน้าเข้าไปในอุโมงค์ด้านใน เมื่อพ้นปากอุโมงค์ไปแล้ว การจัดระเบียบถือว่าสิ้นสุด ให้ทุกตัวยึดพื้นที่กันตามสบาย”
ตอนที่ยังไม่ทันนับนักเรียนทุกตัวก็ดูท่าเชื่อฟังดีอยู่..
“หนึ่ง..สอง....”
แต่พอนับถึงสองและเว้นช่วงการนับให้ยาวขึ้นเท่านั้นเอง สเปิร์มก็เริ่มแตกแถวกันแล้ว นำโดยบรรดาตัวที่อยู่แถวหน้าขยับตัวก่อน ทำให้แถวถัดๆ มาฮือตามขึ้นมา แล้วความชุลมุนก็เกิดขึ้นเมื่อสเปิร์มที่ไร้ระเบียบเฮโลแย่งกันกระโดดเข้าไปในปากอุโมงค์ที่มีลักษณะเป็นหูรูดมีรูตรงกลางขนาดใหญ่กว่าประตูทางเข้าออกเล็กน้อยทำให้เกิดคิวแออัดที่หน้าปากทางเข้าจนมีการทับถมกันขึ้นเป็นชั้นๆ
“..สะ..สาม” กว่าที่คำว่า ‘สาม’ จะหลุดออกมาก็ไม่มีความจำเป็นแล้ว เพราะนักเรียนแทบจะเหยียบกันตายอยู่ที่ปากทางเข้าอุโมงค์ในเวลานี้
เมื่อผ่านเข้าไปได้แล้ว สเปิร์มก็กระจายตัวกันออกไปอย่างรวดเร็ว ภายในอุโมงค์ซึ่งมีลักษณะเหมือนท่อส่งน้ำขนาดใหญ่ที่ลาดลึกลงไปสู่เบื้องล่างทำให้สเปิร์มที่เข้าไปได้ก่อนเลื่อนตัวตามๆ กันไปอย่างฉลุย พวกเขาคาดหมายว่า เส้นชัยอยู่ในหุบลึกข้างหน้า การชิงเข้าไปก่อนย่อมได้เปรียบ
ผนังอุโมงค์แม้จะมีผิวเป็นตะปุ่มตะป่ำเหมือนหนังคางคกแต่ก็นุ่มนิ่มเหมือนกับผ้าบุนวมแถมยังชุ่มชื้นตลอดเวลาเพราะมีน้ำเมือกสีขาวใสเคลือบผิวอยู่ นั่นทำให้การเคลื่อนตัวของสเปิร์มที่อยู่ด้านในทำได้ง่ายขึ้น หลายตัวใช้วิธีกลิ้งตัวไปตามพื้นที่ลาดลงไปแทนการเลื้อยด้วยหางเพราะไปได้รวดเร็วกว่า
ยิ่งลึกเข้าไปเท่าใดแสงสว่างภายในอุโมงค์ก็ยิ่งลดน้อยถอยลงไปเป็นลำดับ สเปิร์มที่อยู่ด้านในสุดจึงเคลื่อนที่ได้ช้าลงเพราะต้องใช้หางคลำทางไปตลอด
“เราจะมองเห็นทางออกได้อย่างไรในเมื่อทางข้างหน้ามันมืดอย่างนี้” สเปิร์มจิงเป็นสเปิร์มตัวเล็กที่มักจะขึ้นมายืนอยู่แถวหน้าสุดเสมอส่งเสียงดังกังวานออกมาจากด้านใน
“ก็นั่นมันทางออกที่ไหนกันล่ะ!..ทางออกอยู่ด้านนี้ต่างหาก” คุณครูกรีสซี่ตะโกนสวนมาจากปากอุโมงค์ด้านนอก
เสียงของคุณครูกรีสซี่สะท้อนเป็นห้วงๆ กลับไปกลับมาภายในอุโมงค์แล้วค่อยๆ จางหายไปในก้นอุโมงค์ สเปิร์มที่อยู่ปลายอุโมงค์พอได้ยินดังนั้นก็พากันกลับตัวเป็นการใหญ่เพราะมันหมายถึงว่า พวกเขาไม่ได้อยู่ด้านหน้าอีกต่อไปแล้ว
“ซวยล่ะสิ..! พวกเราหลงกลแล้ว”
ความโกลาหลอุบัติขึ้นทันทีที่ด้านในของอุโมงค์เมื่อสเปิร์มจำนวนมากพยายามยื้อแย่งจะกลับออกมาแต่ติดที่ตัวข้างหน้าขยับได้ช้า ประกอบกับทางกลับกลายเป็นทางขึ้นที่ลาดทำให้ต้องออกแรงมากกว่าตอนขาลงทำให้ไม่สามารถกลับออกมาได้เร็วอย่างที่คิดไว้
ขณะที่ตรงปากทางเข้า ซึ่งได้กลายเป็นปากทางรอดไปแล้วนั้น คุณครูกรีสซี่ได้ยืดตัวออกกลายเป็นจอหนังขนาดใหญ่ขึงปิดปากทางออกเอาไว้จนเกือบมิดแล้วฉายภาพผนังมดลูกสีแดงอมชมพูขนาดใหญ่กำลังเต้นตุ้บๆ บนจอหนังของตนเอง
“เห็นไหม..! นี่คือ เยื่อบุผนังบริเวณปากมดลูกที่กำลังพองตัวขึ้นมาจนอวบอิ่มรอพวกเธอและเซลล์ไข่มานอนฮันนีมูนกันที่นี่ ว่ายเข้ามาเลย..เร็วๆ ด้วย ใครที่ว่ายมาแตะจอหนังนี้ได้จะพบทางออกไปสู่ภายนอก แต่พวกเธอจะต้องว่ายทวนกระแสน้ำเข้ามาให้ทันก่อนที่เยื่อบุนี้จะแห้งเหี่ยวลงและหลุดลอกตัวออก หาไม่แล้ว..หึ หึ หึ..ก็จะต้องเป็นผีเฝ้าอุโมงค์แห่งนี้”