**กว่าจะเป็นพวกเธอในวันนี้ (The sperm's story) บทที่ 7..มนต์รักเพลงชีวิต**

กระทู้สนทนา
บทที่ 7
มนต์รักเพลงชีวิต

การว่ายตามกระแสน้ำที่เชี่ยวกรากเสี่ยงที่จะเป็นอันตรายได้หากไม่ระมัดระวัง สเปิร์มปันจำเป็นต้องเลาะไปตามขอบผนังด้านหนึ่งของอุโมงค์เพื่อป้องกันมิให้ถูกกระแสน้ำพัดลงไปสู่เบื้องล่าง

มีสเปิร์มอีกจำนวนมากยังคงพยายามว่ายสวนขึ้นมาเพื่อเอาชีวิตรอด ขณะที่สเปิร์มปันเป็นเพียงตัวเดียวที่ว่ายสวนทางกับพวกเขา ยิ่งลึกเข้าไปในอุโมงค์เท่าใด จำนวนสเปิร์มก็ยิ่งลดน้อยถอยลงไปเรื่อยๆ  เช่นเดียวกับแสงสว่างที่ต้องอาศัยการคลำทางเท่านั้น

“มีใครเห็นพิณไหม” เสียงร้องถามของสเปิร์มปันดังขึ้นตลอดเวลาที่เขาพบสเปิร์มว่ายสวนขึ้นมา แต่โดยมากจะไม่มีใครยอมหยุดพูดคุยด้วย อย่างดีที่สุดก็เพียงส่ายศีรษะให้เท่านั้น

เมื่อสเปิร์มปันเข้ามาถึงอุโมงค์ส่วนล่าง ทุกอย่างก็เงียบสนิท มีเพียงเสียงน้ำไหลเท่านั้นที่ทำให้รู้ว่า ข้างหน้ายังมีหนทางไป ถึงตรงนี้ก็ยากที่จะเห็นสเปิร์มที่ว่ายสวนขึ้นมาแล้ว เว้นแต่สเปิร์มตัวนั้นจะว่ายเฉียดเข้ามาในระยะใกล้

“ใครน่ะ..? นายใช่ไหมที่ส่งเสียงถามหาพิณตลอดเวลา”  สเปิร์มตัวหนึ่งส่งเสียงทักโดยที่สเปิร์มปันไม่ได้ร้องถาม  เขาได้ยินเสียงร้องเรียกของสเปิร์มปันมาแต่ไกลและได้อาศัยเสียงนั้นนำทางในความมืด

“ใช่..ใช่..ฉันเอง คำนวณ..นั่นคำนวณเหรอ”  ต่างฝ่ายต่างไม่แน่ใจจนกระทั่งว่ายเข้ามาอยู่ในระยะใกล้พอ สเปิร์มปันจึงเห็นหน้าสเปิร์มคำนวณในความสลัวนั้น

“นี่..นะ..นายกลับลงมาหรือ”  สเปิร์มคำนวณแทบไม่อยากเชื่อว่าจะมีใครทำเช่นนั้น

“อือ..ใช่ นายเห็นเธอบ้างไหม”  ด้วยเวลาอันมีค่าที่เหลืออยู่ไม่มากนักทำให้สเปิร์มปันไม่อาจถามไถ่ทุกข์สุขของสเปิร์มคำนวณก่อนได้

“ฉัน..ฉันเห็น..พิณอยู่ข้างล่างนั่น แต่..แต่..นานมากแล้วนะ”  สเปิร์มคำนวณตอบเสียงสั่นขณะที่หอบไปด้วย ทำให้สเปิร์มปันรู้สึกละอายใจที่ละเลยความสำคัญของเขาไป จึงยื่นหางออกไปให้เขาเกาะพัก

“นายต้องอดทนอีกนิด ค่อยๆ เลาะไปตามริมผนังจะปลอดภัยกว่า หากพลาดพลั้งยังยึดเกาะได้ จากนี้ไปประมาณสองนาทีจะเป็นทางแคบ น้ำจะถูกบีบให้ไหลแรงต้องระวัง..หากพ้นจากทางแคบไปแล้ว จะเห็นเส้นทางชัดเจน กระแสน้ำจะชะลอความเชี่ยวลง ให้เร่งความเร็วเต็มที่เลยนะ พอเห็นคุณครูกรีสซี่อยู่บนฝั่งลิบๆ ให้เปลี่ยนมายึดพื้นที่ตรงกลางลำน้ำเอาไว้เพราะริมผนังจะมีพังผืดผลุบขึ้นมาบังเป็นระยะๆ”  สเปิร์มปันตอบแทนความมีน้ำใจของสเปิร์มคำนวณด้วยการแนะนำเส้นทางให้

“ทะ..เท่าไหร่..?”  สเปิร์มคำนวณถามทันที

“อะไรนะ?”  สเปิร์มปันทำหน้างง ไม่แน่ใจว่าเขาได้ยินถูกต้องหรือเปล่า

“ฉัน..ถามว่า โอกาสรอดของฉัน..มี..เท่าไร”  สเปิร์มคำนวณแม้อยู่ในช่วงวิกฤติก็ยังไม่ละที่จะถามถึงโอกาสความน่าจะเป็น

ถ้าเป็นในเวลาปกติ สเปิร์มคงจะหัวเราะงอหงายไปแล้ว แต่ในยามนี้ เขาได้แต่มองสเปิร์มคำนวณอย่างเข้าใจและเห็นใจ สภาพของสเปิร์มคำนวณในเวลานี้ไม่น่าจะมีโอกาสเกินกว่า 50 เปอร์เซ็นต์

“ถ้านายทำตามที่ฉันบอก โอกาสรอดของนายมีมากกว่า 80 เปอร์เซ็นต์แน่นอน”  สเปิร์มปันยอมทรยศความคิดของตนเองเพื่อให้สเปิร์มคำนวณมีกำลังใจเพิ่มขึ้น

“ขะ..ขอบใจนะ..ที่เพิ่มโอกาสให้..ถ้า..ถ้านายบอกว่า 80 แสดงว่าฉันเหลืออยู่ประมาณ 50”  สเปิร์มคำนวณกล่าวอย่างรู้ทัน

สเปิร์มปันยิ้มให้กับความรู้เท่าทันนั้น นักคำนวณย่อมยืนอยู่บนตัวเลขที่มีเหตุผลอธิบาย สเปิร์มคำนวณประเมินสมรรถภาพของตนเองได้อยู่แล้ว การขอความเห็นจากผู้อื่นเป็นองค์ประกอบหนึ่งที่ทำให้ค่าที่คำนวณออกมาของเขาน่าเชื่อถือมากขึ้น

“แล้วนายคิดว่า โอกาสที่ฉันจะพบพิณแล้วพาเธอกลับเข้าฝั่งล่ะ..เท่าไหร่”  สเปิร์มปันลองหยั่งเชิงดูมั่ง

คราวนี้เป็นฝ่ายสเปิร์มคำนวณบ้างที่ฝืนสังขารยิ้มกลับมา

“ถ้า..ฉันบอกตามจริง นายจะ..จะลดความน่าจะเป็นของฉันลงหรือเปล่า”  สเปิร์มคำนวณหยั่งเชิงกลับไป ซึ่งทำให้สเปิร์มปันต้องส่ายศีรษะทั้งที่ยังยิ้มอยู่

“ตอนนี้ฉันตั้งความหวังที่จะเจอพินอยู่ไม่ถึง 20 เปอร์เซ็นต์ นายจะว่าอย่างไร”  สเปิร์มปันบอกตามตรง

“บางที..น่ะ..นั่นอาจสูงเกินไป”  สเปิร์มคำนวณก็ตอบตามตรงเช่นกัน

ทั้งสองตัวต่างหุบยิ้มแล้ววางหน้าขรึมให้กันเมื่อรู้ว่าตัวเลขที่ประเมินออกมานั้นไม่ได้เกินเลยสักเท่าใด

“ข้างล่างยังมีสเปิร์มตกค้างอยู่อีกเยอะ..พิณอาจอยู่รวมกับพวกเขาที่นั่น ขนาดฉันว่ายอย่างกระท่อนกระแท่นก็ยังไม่มีใครขึ้นหน้าฉันได้ ปัน..เชื่อฉันเหอะ ทางที่ดี..”  สเปิร์มคำนวณที่ได้พักหายใจทำให้อาการหอบค่อยลดลง เขาพูดประโยคยาวๆ ได้อย่างคล่องแคล่วแล้วแต่ไม่วายชะงักไปเมื่อเห็นแววตาที่มุ่งมั่นไม่เสื่อมคลายของสเปิร์มปันซึ่งยากที่จะเปลี่ยนแปลงความตั้งใจ แม้ไม่เหลือโอกาสให้เลย..เขาก็คงพร้อมยอมตายไปกับความหวังที่ไม่เหลือนั้น

“นายคงต้องเร่งหน่อยแล้ว ตอนนี้ผนังมดลูกอาจจะทลายลงมาเมื่อไรก็ได้”  สเปิร์มปันกล่าวส่งท้ายขณะเข้าไปประคองสเปิร์มคำนวณให้ตั้งลำได้แล้วใช้ศรีษะดันให้พุ่งไปข้างหน้า

“โชคดีนะ”  สเปิร์มปันอวยพรให้ เขาเห็นลำตัวที่ส่ายไปส่ายมาเหมือนงูเลื้อยของสเปิร์มคำนวณที่ว่ายจากไปแล้วก็อดเป็นห่วงไม่ได้ สเปิร์มคำนวณคงต้องเจอะเจออะไรที่หนักหนาสาหัสอย่างมากมาก่อนหน้าจึงมีสภาพเป็นเช่นนั้น

‘อะไรทำให้สเปิร์มมีนิสัยแตกต่างกัน ทั้งๆ ที่เกิดมาจากสายเลือดเดียวกันแท้ๆ ทำไมบางตัวห่วงใยกันและกัน ในขณะที่บางตัวหวังแค่เอาตัวรอดโดยไม่สนใจใยดีตัวอื่น’  สเปิร์มปันคิดไปเรื่อยเปื่อยขณะว่ายประคองตัวไปตามผนังอุโมงค์ลึกเข้าไปเรื่อยๆ โดยอาศัยแสงที่สะท้อนออกมาจากผิวที่เป็นมันเลื่อมของผนังด้านข้างและเสียงน้ำไหลเป็นตัวกำหนดเส้นทางข้างหน้า
‘ทำไมคำนวณที่กำลังหมดแรงยอมหยุดช่วยเราในขณะที่ตัวอื่นๆ ที่แข็งแรงกว่าว่ายผ่านไปโดยไม่ใยดี..ทำไมเราจึงยอมเสียสละชีวิตอย่างไม่คิดเสียดายเพื่อช่วยเหลือพิณ ในขณะที่ทโมน..ไอ้..’  สเปิร์มปันขบเหงือกดังกรุบกรับๆ เมื่อนึกถึงคู่รักคู่แค้น
‘ทโมน ผู้ซึ่งยอมเสียสละโอกาสของตนเองเพื่อช่วยเหลือสเปิร์มตัวอื่นๆ เสมอมา แต่กลับตั้งแง่รังเกียจเดียดฉันท์ในตัวเราและพิณอย่างไม่มีเหตุผล’ เมื่อเห็นว่าเป็นการป่วยการเสียเปล่าที่จะคิดหาคำตอบ สเปิร์มปันจึงหยุดความคิดเรื่อยเปื่อยของเขาอยู่ที่เรื่องราวของสเปิร์มทโมนเป็นกรณีสุดท้าย

สเปิร์มปันว่ายอย่างโดดเดี่ยวต่อไปโดยไม่รู้ว่า จุดหมายปลายทางอยู่ที่ใด เส้นทางที่เขากำลังเดินทางไปอยู่นี้ ไม่มีสเปิร์มว่ายสวนทางขึ้นมาอีกแล้ว ที่สเปิร์มคำนวณบอกว่า ข้างล่างยังมีสเปิร์มตกค้างอยู่อีกเยอะ คงหมายถึง สเปิร์มที่ไม่มีวันจะกลับขึ้นมาได้อีกนั่นเอง นึกถึงตรงนี้ก็ยิ่งให้รู้สึกเป็นห่วงสเปิร์มพิณอย่างที่สุด

เสียงน้ำไหลที่สเปิร์มปันใช้เป็นเครื่องนำร่องส่งสัญญาณผิดแผกไปจากเดิม เสียงน้ำตกลงจากที่สูงได้ยินชัดเจนขึ้น ขณะเดียวกันกระแสน้ำก็ไหลเชี่ยวขึ้นทุกที สัญญาณนี้น่าจะหมายถึงการเข้าใกล้จุดหมายปลายทางแล้ว

“พิณ..เธออยู่หนาย..ย..ย..ย..ย..”

สเปิร์มปันเคลื่อนตัวไประยะหนึ่งก็ร้องตะโกนออกไป หวังให้เสียงของเขาดังก้องอยู่ภายในอุโมงค์ตลอดเวลา  และเมื่อทำซ้ำแล้วซ้ำอีกก็ทำให้เขาเรียนรู้ได้ว่า ในปล่องอุโมงค์ที่มีสภาวะมืดมิดเช่นนี้ เสียงเป็นสื่อนำทางได้ดีกว่าสายตาเสียอีก ทุกครั้งที่ตะโกนออกไป สเปิร์มปันจะคอยสังเกตปฏิกิริยาสะท้อนกลับของเสียง ที่บางครั้งก็จมหายไปในความมืด บางครั้งก็สะท้อนกลับมาอย่างรวดเร็ว และบางครั้งก็ต้องรอสักครู่หนึ่งมันจึงจะสะท้อนกลับออกมา

แรงสะท้อนกลับของเสียงไม่ได้บอกว่า มีอะไรรอเขาอยู่เบื้องหน้า แต่บอกเขาให้ใช้ความระมัดระวังมากขึ้นหรือน้อยลงแค่นั้นเอง

จากความหวังอันน้อยนิดที่สเปิร์มปันยังพยายามยึดโยงเอาไว้ไม่ให้หลุดลอยไปนั้น ในเวลาต่อมา เขาก็ได้รับผลตอบแทนเป็นเสียงตอบรับแผ่วๆ แว่วออกมาจากก้นอุโมงค์ แม้ยังจับใจความได้ไม่ถนัดว่าเป็นเสียงอะไรกันแน่แต่ก็เหมือนเป็นแสงริบหรี่ที่สุดปลายถ้ำของผู้เดินทางแล้ว

สเปิร์มปันติดตามที่มาของเสียงนั้นไปอย่างระมัดระวัง ยิ่งใกล้แหล่งกำเนิดของเสียงเข้าไปเท่าใด ก็ยิ่งทำให้แน่ใจได้ว่า เป็นเสียงตอบรับของสเปิร์มเพศหญิงจริงๆ และไม่ใช่ตัวเดียวด้วย

“พิณ..นั่นเธอใช่ไหม..ไหม..ไหม”  สเปิร์มปันตะโกนก้อง

“อย่า..! อย่าเข้ามาใกล้ๆ นะ..น้า..น้า..น้า..”

ยังไม่ทันที่เสียงสะท้อนของสเปิร์มปันจะจางหายไปก็มีเสียงตะโกนสวนกลับมาให้ได้ยินอย่างชัดเจน มันคือเสียงเตือนภัยที่ทำให้สเปิร์มปันรีบยั้งหางไว้ได้อย่างทันท่วงที เบื้องหน้าของเขากระแสน้ำเทลงสู่เบื้องล่างอย่างรวดเร็วจนได้ยินเสียง ซู่ซ่า  
สเปิร์มปันรีบโผเข้าไปยึดผนังด้านข้างไว้ทันที

“นี่ฉันเอง..ปัน..”  สเปิร์มปันลดเสียงลง เขาแน่ใจว่าต้นกำเนิดของเสียงเตือนภัยอยู่ไม่ไกลจากที่เขาประคองตัวอยู่นัก เพียงแต่เขามองไม่เห็นตัวผู้ส่งสัญญาณต่างหาก

“ฉันรู้แล้วว่าเป็นเธอ..แต่..ให้ระวัง”  เสียงตอบกลับก็ลดความดังลงเช่นกัน เธอเองก็รู้ว่าสเปิร์มปันอยู่ห่างไปไม่กี่ช่วงตัวเช่นกัน

“เธออยู่ไหน”  สเปิร์มปันพยายามใช้หางแหวกน้ำทางด้านหน้าของเขาไปอย่างช้าๆ

“ระวังตกเหว..ว..ว..ว..ว”

เสียงแหวกน้ำทำให้สเปิร์มที่อยู่ต่ำลงไปต้องส่งเสียงตะโกนเตือนออกมาอีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่ทันการเสียแล้วเพราะแรงดูดของน้ำได้ฉุดร่างของสเปิร์มปันให้ตกลงไปสู่หุบลึกเบื้องล่างอย่างรวดเร็ว..

“ว๊าย..ย..ย..ย..!”

น้ำที่ตกซู่ลงมาทำให้สเปิร์มที่อยู่ด้านล่างต่างส่งเสียงร้องด้วยความตกใจ นึกว่าร่างของสเปิร์มปันร่วงลงมาพร้อมกับสายน้ำแล้ว
แต่..ยังดีที่สเปิร์มปันเลาะตัวอยู่ตามริมผนัง ทำให้ร่างของเขาปะทะกับแนวผนังที่มีผิวเป็นลูกคลื่นเหมือนลูกระนาด ไม่หล่นไปตามแรงดึงดูดของสายน้ำในทันที สเปิร์มปันใช้ทั้งปากและหางยึดและยันทุกชะง่อนทุกหลืบเอาไว้จนสุดฤทธิ์

“..อึบ..บ”

“ปัน..เธอยังอยู่ไหม..เป็นอะไรรึเปล่า”  

เสียงที่คุ้นหูดังอยู่ไม่ไกลจากจุดที่สเปิร์มปันซุกตัวอยู่ เขาค่อยๆ ดึงตัวออกมาจากที่หลบภัยแล้วก้าวหางอย่างช้าๆ ไปทีละเล็กทีละน้อย เสียงน้ำที่สาดลงสู่เบื้องล่างกระทบกับชะง่อนผาที่ทอดตัวอยู่ระเกะระกะแล้วจางหายไปทำให้รู้ว่าเบื้องหน้าของเขาเป็นจุดสิ้นสุดของการขยับตัวต่อไปแล้ว สเปิร์มปันซุกหางไว้ในหลืบแล้วชะโงกศีรษะออกไปเท่าที่จะทำได้ เขามองเห็นเบื้องล่างเป็นหุบเหวลึกลงไปจนสุดสายตาและไม่ได้มืดมิดอย่างที่คิดแต่กลับมีลำแสงเล็กๆ สาดออกมาจากส่วนปลายสุดของหุบเหวซึ่งเป็นช่องเปิดให้น้ำไหลออกไป รอบๆ แอ่งน้ำในหุบเหวมีสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กจำนวนมหาศาลกำลังไต่ตัวกันอย่างยั้วเยี้ยเพื่อไม่ให้ตัวเองหลุดไหลไปตามกระแสน้ำ  ต่ำลงไปจากจุดที่เขายึดโยงอยู่ประมาณสองช่วงตัวมีสเปิร์มที่มิได้หล่นลงไปสู่ก้นเหวแต่ยึดตัวเองอยู่บนแง่งหรือชะง่อนที่ยื่นออกมาจากผนังเป็นจุดๆ กระจัดกระจายไปจนถึงก้นเหว สเปิร์มเหล่านี้กลับขึ้นมาไม่ได้ขณะเดียวกันก็อยู่พ้นกระแสน้ำที่ซัดให้ลงไปสู่เบื้องล่าง

“พิณ..ฉันอยู่นี่..ข้างบนศีรษะเธอนี่ไง”  สเปิร์มปันตอบกลับไป รู้สึกยินดีอย่างที่สุดอย่างน้อยเพื่อนรักของเขาก็ยังมีชีวิตอยู่แม้ว่าจะยังไม่รู้ชะตากรรมในอนาคตข้างหน้า

“ปัน..เธอมาที่นี่ได้ยังไง ฉันคิดว่าเธอรอดออกไปแล้วซะอีก”  แม้จะดีใจเช่นกัน แต่การปรากฏตัวของเขาก็สร้างความวิตกให้กับสเปิร์มพิณไม่น้อยเลยทีเดียว

“ฉันรอเธออยู่ที่ผนังมดลูกด้านนอกตั้งนาน ไม่เห็นเธอขึ้นมาซักที ก็คิดว่าต้องมีปัญหาเกิดขึ้นแน่ เลยกลับลงมาตามหาเธอ”  น้ำเสียงของสเปิร์มปันเต็มไปด้วยความสุขใจที่ได้ตัดสินใจทำเช่นนั้น

“ปัน..”  สเปิร์มพิณได้แต่ร้องเรียกออกไปเบาๆ อยากจะพรั่งพรูอีกสักหมื่นสักแสนถ้อยคำที่ล้วนแต่เป็นคำต่อว่าต่อขานที่เขาคิดอะไรตื้นๆ เช่นนั้น แต่ทุกถ้อยคำได้ถูกกลืนหายไปในลำคอจนหมดสิ้นด้วยความตื้นตัน

“แหม..ซาบซึ้งตรึงใจจริงๆ ทำไมเราถึงไม่มีใครห่วงหาอาลัยอย่างนี้บ้างน้อ”  อีกเสียงหนึ่งดังขึ้นมาในความมืด สเปิร์มปันก้มศีรษะลงไปมอง เห็นแต่หัวกลมๆ ที่อยู่ลึกลงไปจากจุดที่สเปิร์มพิณยืนอยู่

“นั่นใครน่ะ”
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่