**กว่าจะเป็นพวกเธอในวันนี้ (The sperm's story) บทที่ 12..สโมสรสุขารมณ์**

กระทู้สนทนา
บทที่ 12
สโมสรสุขารมณ์

ระหว่างที่สเปิร์มพิณกำลังพักฟื้นอยู่นั้น คุณครูบาลเฮดกับทีมกู้ชีพก็กำลังวางแผนที่จะเข้าไปช่วยสเปิร์มจิงออกมาเป็นรายต่อไป

“ข้างในมืดตื๋อและเฉอะแฉะ จิงอาจอยู่ลึกลงไปอีกซึ่งฉันเข้าไปไม่ถึงจึงต้องเอาพิณออกมาก่อน”  สเปิร์มปันบอกเล่าเรื่องราวที่ประสบมาในท้องของกัปตันแบ็คให้ทีมกู้ชีพฟัง

ไม่มีใครตำหนิสเปิร์มปันที่ช่วยสเปิร์มพิณออกมาก่อนเพราะเข้าใจในสถานการณ์ดี มันเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะช่วยสเปิร์มทั้งสองตัวออกมาได้ในขณะเดียวกันอยู่แล้ว ดังนั้น ตัวที่มีโอกาสมากกว่าย่อมเป็นทางเลือกลำดับแรก

“แสดงว่าจิงอาจอยู่ในกระบวนการย่อยสลายแล้ว ขณะที่พิณรอเป็นคิวถัดไป”  คุณครูบาลเฮดกล่าวในวงล้อมของทีมกู้ชีพ

“คุณครูหมายความว่า จิงจะไม่รอดหรือคะ”  สเปิร์มไข่มุกถามตรงๆ

คุณครูบาลเฮดไม่ได้ตอบอะไร แต่แววตาของเขามันฟ้องถึงความหวังอันเลือนราง

“ยังไงๆ เราก็จะต้องเอาเธอออกมา”  คุณครูบาลเฮดกล่าวเพียงแค่นั้น

“ฉันจะเข้าไปอีกที”  สเปิร์มปันขันอาสาอีกครั้ง

“อย่าดีกว่า..เธอยังไม่อยู่ในสภาพ..”  คุณครูบาลเฮดทักท้วง

“ให้ผมทำภารกิจนี้ให้จบเถอะครับ มันคาใจผมอยู่ และคงไม่มีใครรู้จักเครื่องในของกัปตันแบ็คดีเท่าผมหรอก”  สเปิร์มปันยืนยัน ในที่ประชุมไม่มีใครคัดค้านความเห็นของเขาอีก

สเปิร์มปันมุดศีรษะเข้าไปในท้องของกัปตันแบ็คอีกครั้งท่ามกลางกองเชียร์ที่ลุ้นเอาใจช่วยเหมือนอย่างเคย แต่ครั้งนี้มีหลายเสียงที่ซาบซึ้งในความพยายามของเขาและอีกหลายเสียงที่ไม่อยากให้เขากลับเข้าไปอีกครั้ง

“เขาต้องทำ..คงมีแต่เขาเท่านั้นที่เข้าไปแล้วมีโอกาสกลับออกมาได้มากกว่าตัวอื่น”  สเปิร์มคำนวณกล่าวกับเพื่อนสเปิร์มหลังจากคำนวณทุกอย่างโดยถี่ถ้วนแล้ว

สปิร์มกู้ชีพทุกตัวประจำในตำแหน่งเดิมทั้งหมดรวมทั้งผู้ที่แหย่หางเข้าไปในปากของกัปตันแบ็คเพื่อรอเกี่ยวหางของสเปิร์มปันก็ยังคงเป็นคุณครูบาลเฮด

การปฏิบัติการครั้งนี้ไม่ได้ใช้เวลานานเหมือนครั้งแรก เมื่อคุณครูบาลเฮดให้สัญญาณดึงก็สามารถดึงร่างของสเปิร์มปันออกมาได้ไม่ยาก ไม่มีสเปิร์มในทีมกู้ชีพสักตัวเดียวที่ต้องกระเด็นตกลงไปนอนก้นจ้ำเบ้าอีก

สเปิร์มปันหลุดออกมาในสภาพที่เปรอะเปื้อนเหมือนเดิมแต่กระฉับกระเฉงกว่าเดิม ที่ปากของเขาคาบออกมาเป็นร่างของสเปิร์มจิงอย่างแน่นอน เพียงแต่ออกมาไม่ครบทั้งตัวเท่านั้น

เมื่อสเปิร์มในทีมกู้ชีพวางร่างที่เหลือแต่ศีรษะและลำตัวที่บุบสลายจนแทบจำเค้าโครงเดิมไม่ได้ลงบนพื้น สเปิร์มมุงทั้งหลายก็พากันเบือนหน้าหนีไปทางอื่น กว่าครึ่งหนึ่งหันหลังกลับเพื่อไปหาสถานที่สงบอารมณ์ ไม่มีใครอยากมุงดูเหตุการณ์อีกต่อไปแล้ว

............................................................

พิธีไว้อาลัยร่างของสเปิร์มจิงจัดขึ้นอย่างเรียบง่าย โดยคุณครูบาลเฮดเป็นผู้กล่าวนำคำไว้อาลัยและส่งดวงวิญญาณของสเปิร์มจิงไปเกิดใหม่ตามความเชื่อของเหล่าสเปิร์ม หลังจากนั้นก็ใช้สเปิร์ม 4 ตัวยกร่างของเธอขึ้นเหนือศีรษะแล้วโยนลงไปในน้ำทางกราบเรือด้านหนึ่ง

ส่วนศพของกัปตันแบ็คยังคงปล่อยไว้บนเรือแต่ลากไปพิงไว้ข้างห้องกระจกทางตอนท้ายของเรือ เหตุที่ไม่ทิ้งศพลงไปในน้ำเพราะคุณครูบาลเฮดรู้ดีว่า การตายของเจ้าหน้าที่ตัวหนึ่งของโรงเรียนจะต้องมีการสืบสาวราวเรื่องหลังจากนี้ สภาพศพถือเป็นหลักฐานสำคัญในการชี้ผลของคดี การโยนศพทิ้งน้ำถือเป็นการทำลายหลักฐานซึ่งจะกลายเป็นโทษอีกกระทงหนึ่ง

คุณครูบาลเฮดต้องทำหน้าที่กัปตันเรือจำเป็นโดยขอให้สเปิร์มปันทำหน้าที่ผู้ช่วยกัปตันเพื่อให้การลำเลียงสเปิร์มครั้งนี้สำเร็จลุล่วงไปตามกำหนดการ
  
เนื่องจากไม่เคยขับเรือกันมาก่อน การลองผิดลองถูกในห้องบังคับการจึงเกิดขึ้น

“เหวอ..อ..!”

พอกดปุ่มเดินเครื่องก็ทำเอาสเปิร์มอ้าปากหวอและอุทานออกมาอย่างตื่นตระหนกกันทั้งลำเรือเมื่อเรือพุ่งออกไปอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัวและทำท่าจะแหกโค้ง

“เอ่อ..เฮ้อ..อ..”

แต่แล้วสเปิร์มบนเรือก็ถอนหายใจยาวๆ อย่างโล่งอกเมื่อทั้งกัปตันและผู้ช่วยแก้ไขสถานการณ์ที่หัวเรือเกือบหลุดโค้งได้อย่างหวุดหวิด

..การเรียนรู้ภาคปฏิบัติโดยเริ่มต้นด้วยความผิดพลาดนั้นเป็นความเสี่ยงอย่างมหันต์ แต่เมื่อนำความผิดพลาดที่เกิดขึ้นมาปรับปรุงแก้ไขได้แล้ว ก็สามารถนำมาใช้เป็นบทเรียนอันทรงคุณค่าในการปฏิบัติครั้งต่อไปได้..

สเปิร์มทั้งสองได้ค้นพบวิธีการบังคับเรือให้แล่นไปข้างหน้าตามเส้นทางที่คดเคี้ยวได้ในที่สุด แม้ความชำนาญการจะมาทีหลังแต่ความปลอดภัยของผู้โดยสารจะต้องมาก่อนเสมอ ดังนั้น เรือหัวกระสุนจึงแล่นอย่างประคองตัวไม่อาจแล่นอย่างหวือหวาเหมือนกรณีของกัปตันแบ็คได้

พอเรือแล่นผ่านทางโค้งที่ยาวใหญ่เหมือนขับอ้อมขุนเขาออกมาได้แล้วเบื้องหน้าก็เป็นเวิ้งน้ำกว้างใหญ่ที่มองไปทางไหนก็ไม่พบขอบตลิ่งสักแห่ง

“ไปไหนต่อล่ะทีนี้”  สเปิร์มปันเปรยขึ้นมา การเดินเรือที่ไม่มีขอบตลิ่งสองข้างทางคอยกำกับอาจทำให้หลงทางอยู่ในเวิ้งน้ำที่มีแต่ความมืดมิดแห่งนี้ได้

“เห็นดวงไฟสีแดงที่กระพริบเหนือขอบน้ำข้างหน้าไหม เราจะมุ่งไปทางนั้น”  คุณครูบาลเฮดชี้ให้ดูแสงไฟสีแดงที่ลอยอยู่บนขอบน้ำด้านหน้า อันเป็นสัญญาณเดียวที่ใช้เป็นเครื่องนำทางได้

เมื่อเห็นว่าเส้นทางข้างหน้าสะดวกและราบรื่น อีกทั้งจุดหมายยังอยู่ห่างไกลนัก คุณครูบาลเฮดจึงเร่งความเร็วขึ้นไปอีกจนเต็มสปีด เพียงพริบตาเดียวก็เห็นดวงไฟสีแดงใกล้เข้ามาอย่างเด่นชัด นอกจากนี้ยังมีไฟดวงเล็กๆ ที่ส่องแสงสีเหลืองเรียงตัวกันเป็นพรืดโผล่ขึ้นมาจากขอบน้ำข้างหน้าด้วย

“ไชโย..ไชโย..! เรามาถึงฐานทัพแล้ว”  สเปิร์มที่อยู่ทางหัวเรือได้เห็นและตะโกนขึ้นก่อน ตามด้วยเสียงเฮจากสเปิร์มกลุ่มถัดๆ มา
แต่ยังมีสเปิร์มอีกจำนวนไม่น้อยเลือกที่จะถอนหายใจอย่างโล่งอกมากกว่า

“ทางนี้..ทางนี้ เรือที่กำลังแล่นเข้ามาให้ชิดซ้ายขนาบกับชายฝั่งด้วย”

เสียงประกาศจากเจ้าหน้าที่การท่าผ่านลำโพงขยายเสียงดังขึ้นมาเมื่อเห็นเรือหัวกระสุนส่ายหัวเรือไปมาเหมือนไม่รู้ทิศทาง

“ฉันพอจะขับเรือให้มันแล่นได้ แต่ไม่รู้ว่าจะทำให้มันหยุดได้อย่างไร”  คุณครูบาลเฮดสารภาพพร้อมส่ายศีรษะไปมา เมื่อถอนคันเร่งแล้วเรือหัวกระสุนก็ลดความเร็วลงเป็นลำดับแต่ไม่สามารถหยุดในทันทีได้ แม้เขาจะพยายามไล่ปุ่มต่างๆ บนแผงควบคุมที่อยู่ตรงหน้าแล้วก็ตาม แต่ก็ไม่พบว่ามีปุ่มไหนสามารถหยุดเรือลงได้

“คุณครูครับ ระวัง..เรือกำลังจะชน”  สเปิร์มปันที่นั่งอยู่เคียงข้างส่งเสียงเตือนเมื่อเห็นหัวเรือส่ายไปมาและกำลังแล่นเข้าหาท่าเทียบเรือโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุดได้

“ฉันรู้..ฉันรู้ แต่..ทำอย่างไรล่ะ มันไม่มีปุ่มเบรค”  คุณครูบาลเฮดเสียงกระเส่า ส่ายศีรษะอย่างจนปัญญา

“ใครก็ได้ช่วยตะโกนต่อที..หาเบรคไม่เจอ ไม่รู้เบรคอยู่ตรงไหน”  สเปิร์มปันตัดสินใจเปิดประตูห้องกระจกออกแล้วตะโกนออกไป หวังให้เพื่อนๆ ช่วยกันส่งเสียงถามไปยังหอบังคับการที่อยู่อีกไม่ไกลจากนี้แล้ว

“ซวยล่ะสิ..หยุดเรือไม่ได้”  สเปิร์มบนเรือพอได้ยินเสียงตะโกนก็ถึงกับนั่งไม่ติด พากันลุกขึ้นยืนแล้วตะโกนต่อทันที

“ช่วยด้วย..!” “หาเบรคไม่เจอ”  “หยุดเรือไม่ได้”

อารามตกใจทำให้สเปิร์มตะโกนกันไปตัวละทีสองที กลายเป็นเสียงโหวกเหวกที่จับใจความได้ยาก เจ้าหน้าที่บนท่าเทียบเรือเห็นแต่ศีรษะของสเปิร์มผลุบๆ โผล่ๆ กับเสียงร้องลั่นก็พอจะรู้ว่าเกิดปัญหาขึ้นแต่ไม่รู้ว่าปัญหาอะไร

“อะไรนะ..! ทางเราไม่ได้ยิน..! มีไมโครโฟนแขวนอยู่ใต้เก้าอี้กัปตันทำไมไม่ใช้ล่ะ”

เสียงประกาศผ่านลำโพงของเจ้าหน้าที่ที่อยู่บนหอสังเกตการณ์ดังขึ้นมาอีกครั้ง เตือนสติให้กัปตันจำเป็นและผู้ช่วยระลึกได้ว่า เคยได้ยินกัปตันแบ็คใช้พูดผ่านลำโพงก่อนหน้านี้ สเปิร์มปันจึงรีบก้มลงไปดูที่ใต้เก้าอี้ที่คุณครูบาลเฮดนั่งอยู่ เห็นไมโครโฟนเป็นรูปหัวจุกกลมๆ มีด้ามจับ ที่ก้นของมันมีสายยืดได้หดได้เป็นขดสปริงแขวนอยู่ที่ขอเกี่ยวใต้เบาะรองนั่ง จึงรีบหยิบออกมาทันที  

“เจอมั้ย..เจอมั้ย..!”  

คุณครูบาลเฮดถามโดยที่หางยังกำพวงมาลัยไว้แน่น สายตามิได้ละไปจากภาพเบื้องหน้าเลย ขณะที่สเปิร์มปันก็กำไมโครโฟนไว้ด้วยปลายหางที่สั่นเทา ยังนึกไม่ออกว่าต้องทำอย่างไรมันจึงจะพูดกระจายเสียงได้ เมื่อมองไปที่ใต้หัวจุกกลมๆ ก็เห็นมีปุ่มเล็กๆ อยู่สองปุ่ม สีดำกับสีแดง ในเสี้ยววินาทีนั้น สเปิร์มปันรู้อยู่แก่ใจว่า เขาไม่เหลือเวลาให้ตอบคำถามของกัปตันหรือศึกษาวิธีการใช้งานเจ้าวัตถุรูปร่างประหลาดตัวนี้อีกแล้ว จึงตัดสินใจกดปุ่มสีดำแล้วหันไปทางท่าเรือ

“เราหยุดไม่ได้..เราไม่รู้ว่าเบรกอยู่ไหน..เอ..เสียงออกหรือเปล่าหว่า?”

แม้เจ้าตัวจะยังไม่แน่ใจแต่ทุกคำพูดของสเปิร์มปันดังกระหึ่มออกมาทางลำโพงที่เสากระโดงเรือ เมื่อเห็นสเปิร์มทั้งหลายกระโดดโลดเต้นและปรบหางลงกับพื้น สเปิร์มปันจึงเป่าลมออกจากปากอย่างโล่งใจ

“อ้าว..แล้วกัน เบรคก็อยู่บนศีรษะของกัปตันไง มีห่วงกลมๆ อยู่ ไม่เห็นรึ..ให้ดึงลงมา....เบาๆ นะ”

น้ำเสียงเจ้าหน้าที่บนหอสังเกตการณ์การท่าแสดงความแปลกใจไม่น้อยที่กัปตันเรือไม่รู้ว่าจะดึงเบรคได้จากตรงไหน เรือยังคงแล่นเข้าหาท่าเทียบโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงเมื่อใด ทำเอาเจ้าหน้าที่หลายนายที่ยืนรออยู่บนท่าเทียบเห็นท่าไม่ดีต่างวิ่งหนีกันอลหม่าน

คุณครูบาลเฮดละสายตาจากแผงควบคุมที่อยู่ตรงหน้าแล้วแหงนหน้าขึ้นไปมองด้านบน เห็นห่วงกลมๆ ห้อยลงมาจากเพดานจึงรีบตวัดหางรัดเอาไว้แล้วดึงลงมาอย่างแรง

“เหวอ..อ..อ..อ..!”

สเปิร์มทั้งลำเรือตาลุกโพลงพร้อมกับอ้าปากค้างเหมือนกันหมดเมื่อเรือที่แล่นมาอยู่ดีๆ ก็หยุดกึกเหมือนสะดุดเข้ากับตอไม้ขนาดใหญ่ ทำให้สเปิร์มหัวคะมำไปข้างหน้าและไหลไปกองทับกันเป็นภูเขาอยู่ทางหัวเรือหมด

“ก็บอกแล้วไง..ให้ดึงเบาๆ”

“อุ๊บ..! ขอโทษที ฉันดึงแรงไปหน่อย”  คุณครูบาลเฮดตกใจไม่น้อยกับผลงานที่เห็นเป็นกองภูเขาอยู่ตรงหน้า
“แต่..ในที่สุด เรือก็หยุดสนิทดีไม่ใช่หรือ”  แต่ก็ยังปลอบใจตัวเองด้วยรอยยิ้ม

เรือหัวกระสุนจอดเทียบอยู่บริเวณตอนกลางของท่าเทียบซึ่งคะเนด้วยสายตาว่าสามารถใช้จอดเรือขนาดเดียวกันได้นับสิบลำอย่างสบาย
เมื่อเห็นว่าเรือนิ่งสนิทดีแล้ว เจ้าหน้าที่การท่าที่มีลำตัวแบนเหมือนสายริบบิ้นที่ม้วนจนเป็นเกลียว ที่ตรงเส้นแบ่งระหว่างใบหน้ากับลำตัวมีสายเนคไทสีฟ้าห้อยลงมาโดยไม่ปรากฏว่ามีลำคอนายหนึ่งกระโดดขึ้นมาบนกราบเรือพร้อมเชือกเกลียวเส้นเขื่องเพื่อคล้องเรือเอาไว้กับหลักริมท่าน้ำ หลังจากนั้นจึงเคลื่อนตัวไปยังห้องควบคุมที่ท้ายเรือด้วยการขดและยืดลำตัวออกหลายครั้งท่ามกลางสายตาของสเปิร์มที่หยุดมองอย่างสนเท่ห์

“คุณมาช้าไปสิบห้านาที เกิดอะไรขึ้น..อ้าว เอ๊ะ..!”  นายท่าผู้นั้นแสดงความประหลาดใจที่เห็นสเปิร์มสองตัวอยู่ในห้องควบคุมแทนที่จะเป็นกัปตันแบ็คเหมือนเช่นเคย

“พวกเรามีปัญหากับกัปตันแบ็คนิดหน่อย”  คุณครูบาลเฮดตอบพลางยักไหล่ราวกับเป็นเรื่องเล็กน้อย

“อ้าว..นี่คุณครูบาลเฮดนี่นา..แล้วกัปตันตัวจริงไปไหนล่ะ”  นายท่านายนั้นชะโงกศีรษะมองข้ามคุณครูบาลเฮดเข้าไปในห้องกระจกก็ไม่พบอะไรผิดปกติ

“กัปตันแบ็คป่วยนิดหน่อย”  คุณครูบาลเฮดพยายามยิ้มกลบเกลื่อน

“นี่คงไม่นิดล่ะมั้ง..อาการปางตายเลยเชียวล่ะ”  เจ้าหน้าที่อีกนายหนึ่งที่ตามขึ้นเรือมาไล่ๆ กันส่งเสียงมาจากบริเวณที่ร่างของกัปตันแบ็คนอนอยู่

“เรือเสียหายเยอะพอสมควรเลยครับ เราพบรูรั่วที่พื้นเรือแล้วยังมีรอยถลอกที่หัวเรืออีกหลายแห่ง”  เจ้าหน้าที่การท่าที่เป็นนายช่างเดินสำรวจรอบลำเรือแล้วกลับมารายงานให้นายท่าที่เป็นหัวหน้าทราบ

“ดีเท่าไหร่แล้วที่เสียหายแค่นั้นน่ะ..โธ่..นี่เพิ่งขับครั้งแรกนะ ไม่ใช่กัปตันอาชีพนี่หว่า”  คุณครูบาลเฮดกล่าวอย่างไม่สะทกสะท้าน ทำตัวให้เหมือนกับว่า สิ่งที่เกิดขึ้นมิได้เป็นความผิดใหญ่หลวงอะไร
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่