บทที่ 5
คุณครูกรีสซี่
สเปิร์มที่ผ่านชั้นเรียนออกมาได้แล้ว ต่างก็เข้าแถวไปรอรับอาหารทางสายที่โรงอาหารของโรงเรียน
ภายในโรงอาหารมีสารอาหารจำนวนมากมายหลายสิบชนิดห้อยระโยงระยางเหมือนเถาวัลย์ลงมาจากเพดานด้านบน สเปิร์มตัวไหนชอบทานอะไรก็ใช้หางเกี่ยวปลายสายที่ยืดได้หดได้เหมือนเส้นหนังสะติ๊กและมีส่วนปลายรูปร่างคล้ายหัวจุกนมลงมางับไว้แล้วดูด สารอาหารที่อยู่ในสายนั้นจะไหลออกมาตามแรงดูด เมื่อดูดจนพอใจแล้วก็ปล่อยให้สายนั้นหดตัวกลับคืนไปยังที่เดิม
สารอาหารชนิดไหนรสชาติอร่อยเป็นที่ถูกอกถูกใจก็จะมีสเปิร์มมายืนเข้าแถวรอคิว เมื่อตัวหนึ่งดูดจนพอใจแล้วก็จะเลื่อนตัวออกเพื่อให้เพื่อนที่ต่อคิวอยู่เลื่อนตัวเข้ามาแทนที่
สเปิร์มปันไม่ใช่นักกิน เขาไม่ปรารถนาที่จะบริโภคอาหารยอดนิยม จึงไม่ต้องต่อคิว ความลำบากใจของเขาเป็นเรื่องของเมนูอาหารที่เขาเห็นว่ามีมากเกินไปจนเลือกไม่ถูก
“นี่อะไรเนี่ย..น้ำตาลฟรักโตส..วิตามินซี..วิตามินเอ..โปรตีน..โกลบูลิน..กรดอะมีโน..ไขมัน..ทำไมไม่รวบยอดทำเป็นรวมมิตรไปเลย” สเปิร์มปันอ่านฉลากที่แปะอยู่ด้านบนของสายแต่ละเส้น ยังเลือกไม่ถูกว่าจะทานอะไรดี
“ของอร่อยทั้งนั้นเลย” ว่าแล้วสเปิร์มพิณก็อ้าปากงับสายอาหารชนิดหนึ่ง ดูดจนพอใจแล้วก็ไปงับอีกชนิดหนึ่งต่อทันที เธอเป็นสเปิร์มช่างกิน กินไม่เลือก แต่เป็นการกินจุบกินจิบ สารอาหารชนิดไหนชอบก็กินจุหน่อย ชนิดไหนไม่ชอบก็กินน้อยหน่อย แต่จะไม่ละเว้นสักอย่างเดียว
“ไม่แปลกใจเลย ทำไมเธอถึงได้อ้วนอย่างนี้” สเปิร์มปันมองด้วยความทึ่งเห็นหน้าท้องของสเปิร์มพิณป่องออกมาอย่างเห็นได้ชัด
สเปิร์มพิณหันมาเรอใส่เขาดัง..เออะ..ทีหนึ่งแล้วก้มหน้าก้มตาดูดต่อไป
“ฉันว่าเธอรีบๆ ดูดดีกว่านะ แน่ะ..เสียงเพลงดังขึ้นอีกแล้ว” สเปิร์มพิณไม่ชอบให้ใครมองเวลาเธอทานอาหาร ขณะที่เสียงเพลง When a child is born ถูกเปิดขึ้นอีกครั้ง เป็นสัญญาณเตือนว่า ใกล้หมดเวลารับประทานอาหารแล้ว
“เพลงเพิ่งเริ่ม ยังมีเวลาอีกตั้งหลายนาที” สเปิร์มปันยังไม่อาทรร้อนใจ
“ฟังจากที่เธอเล่าแล้ว สงสารคุณครูบาลเฮดเหมือนกันนะ คงมีสเปิร์มอีกหลายตัวไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาทำ” สเปิร์มพิณกล่าวหลังจากดูดสารอาหารสีแดงเข้มเข้าไปเต็มกระเพาะจนร่างที่โปร่งแสงของเธอเปล่งประกายเป็นสีแดงวูบวาบๆ
เมื่อเอ่ยถึงคุณครูบาลเฮดก็ทำให้สเปิร์มปันอดคิดไม่ได้ว่า ขณะที่เขากำลังทานอาหารอย่างเอร็ดอร่อยอยู่นี้ คุณครูบาลเฮดคงทานอะไรไม่ลงเป็นแน่แท้
“คุณครูเรียกนายไปคุยเรื่องอะไร” เสียงคุ้นๆ ดังขึ้นมาทางด้านหลังทำให้สเปิร์มปันซึ่งกำลังดูดสารอาหารอยู่ แทบสำลักอาหารออกมาด้วยความคาดไม่ถึง
“ทโมน..!” แม้แต่สเปิร์มพิณพอได้ยินเสียงนั้นก็ยังพลอยสะดุ้งไปด้วย ปกติสเปิร์มทโมนทักใครก็มักจะทำให้ผู้นั้นต้องอกสั่นขวัญแขวนเสมอ โชคดีที่เธอไม่ได้คาบสายอาหารอยู่
“อ้อ..นายเองหรือ คือเขาอยากรู้ว่า พวกเราใช้แผนอะไรกันจึงรอดชีวิตมาได้จำนวนมาก” สเปิร์มปันกล่าวอย่างเฉยชา ทั้งที่คิดจะยิ้มให้แต่ก็ไม่ได้ยิ้ม ท่าทีของสเปิร์มทโมนปิดกั้นรอยยิ้มของเขาเอาไว้
“นายบอกเขาไปงั้นสิ” น้ำเสียงของสเปิร์มทโมนเหมือนตะคอก
“ก็ใช่..คุณครูบาลเฮดต้องทำรายงานแจ้งคุณครูใหญ่ แต่เขาไม่ได้มีเจตนา..” ยังไม่ทันที่สเปิร์มปันจะพูดจบประโยค สเปิร์มทโมนก็แทรกด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน
“นี่คงเป็นวิธีการเอาตัวรอดสินะ..ฮึ” พร้อมสายตาที่มองสเปิร์มปันอย่างหยามเหยียด
“นายหมายความว่ายังไง” สเปิร์มปันงง คิดไม่ถึงว่าจะเจอการแสดงออกอย่างนั้น
แก๊ง..ง..แก๊ง..ง..ง..ง..ง..!
เสียงระฆังดังขึ้นถี่ๆ เป็นสัญญาณบอกให้รู้ว่า เวลาอาหารได้สิ้นสุดลงไปแล้ว
“นักเรียนที่ได้เรียนต่อในชั้นมัธยมขอให้เข้าห้องเรียนได้แล้ว” เสียงประกาศจากลำโพงรูปปากแตรที่อยู่ด้านนอกห้องอาหารดังขึ้น สเปิร์มทุกตัวขยับตัวลุกจากท่านั่งในทันที
สเปิร์มทโมนจ้องหน้าสเปิร์มปันแน่วนิ่ง แววตาส่อถึงพฤติกรรมอันเลวร้ายบางอย่างที่อยากแสดงออกแต่ไม่ได้แสดง ก่อนจะสะบัดหางเลื้อยจากไปโดยไม่กล่าวอะไร ทิ้งความรู้สึกค้างคาเอาไว้เบื้องหลัง
“เขาเป็นอะไรของเขาน่ะ” สเปิร์มพิณมองร่างที่เลื้อยหายไปในกลุ่มสเปิร์มข้างหน้าอย่างกังขา
“เป็นอะไรไม่รู้ แต่ไม่ใช่เป็นพันธมิตรของฉันแน่นอน” สเปิร์มปันกล่าวอย่างเซ็งอารมณ์ เขารู้สึกไม่สบายใจต่อท่าทีของสเปิร์มทโมนนักและคิดว่าน่าจะมีการเข้าใจอะไรผิดเกี่ยวกับตัวเขา
“เธอไม่ได้บอกคุณครูบาลเฮดไม่ใช่เหรอว่า ทโมนเป็นผู้คิดแผนการนั่น”
“แน่นอน ฉันแน่ใจว่าไม่ได้เอ่ยชื่อเขาให้ฟัง”
“แต่ทโมนอาจคิดว่า เธอฟ้องคุณครูบาลเฮดเพื่อเอาตัวรอดก็ได้ ฉันว่าเธอทั้งสองต้องปรับความเข้าใจกันใหม่แล้วล่ะ” สเปิร์มพิณรู้สึกเป็นห่วงความรู้สึกของสเปิร์มทั้งสอง ไม่อยากให้ทั้งคู่ต้องมาเขม่นกัน แผนการริเริ่มโดยสเปิร์มปันไปขอคำปรึกษาสเปิร์มทโมน ทั้งคู่ออกตระเวนไปทั้งสระด้วยกันเพื่อโน้มน้าวให้สเปิร์มทั้งสองสระยอมรับแผนการนั้น
ถ้าขาดความร่วมมือร่วมใจของสเปิร์มทั้งสองแล้ว แผนการจะดีเลิศเพียงไรก็ไม่มีทางสำเร็จได้
“ไปกันเถอะ ฉันอยากรู้จักห้องเรียนใหม่เต็มทีแล้ว” สเปิร์มปันกล่าวตัดบทโดยเก็บปมของความขัดแย้งเอาไว้ภายในใจ เขาไม่อยากคิดเลยว่า บทเรียนในชั้นมัธยมจะโหดร้ายเพียงใดหากต้องมีสเปิร์มทโมนยืนอยู่ฝั่งตรงข้าม
“ห้องเรียนเหรอ..? เธอพูดได้ไงยะว่าห้องเรียน..น่าจะเป็นห้องเชือดมากกว่า” สเปิร์มดีดี้ที่ผ่านมาได้ยินพอดีจีบปากจีบคอกล่าวก่อนจะเลื้อยผ่านไปด้วยท่วงท่าสะบัดสะบิ้ง
สเปิร์มปันและสเปิร์มพิณหันมามองตากัน อยากหัวเราะใจจะขาดกับคำพูดและลีลาของสเปิร์มดีดี้แต่ก็รู้สึกอยากร้องไห้ไปในขณะเดียวกันด้วย
เมื่อสเปิร์มทุกตัวเคลื่อนผ่านประตูห้องเรียนชั้นมัธยมไปจนครบแล้ว ประตูห้องเรียนก็ถูกปิดลง เสียงประตูที่ปิดดัง..ปัง..ทำเอาบรรดาสเปิร์มพากันใจหายวาบเพราะนั่นหมายถึงจะไม่มีตัวใดสามารถกลับออกไปทางเดิมได้อีกแล้ว
ภายในห้องเรียนใหม่นี้มีลักษณะเหมือนอุโมงค์ส่งน้ำขนาดใหญ่ที่ผนังโดยรอบมีผิวขรุขระเหมือนผิวของผลมะกรูดแต่มีลักษณะอ่อนนุ่มและยืดหยุ่นเหมือนผิวของขนมเยลลี่ แสงสว่างในอุโมงค์เป็นสีเหลืองนวลสลัวๆ พอให้แลเห็นได้ในระยะใกล้เท่านั้น และเนื่องจากผิวผนังที่เป็นมันเลื่อมมีการไหวตัวอยู่ตลอดเวลาทำให้เกิดแสงสะท้อนระยิบระยับเหมือนแสงดาวในยาวราตรี เส้นทางในอุโมงค์เป็นทางลาดลงไปสู่เบื้องล่างที่ไม่สามารถมองเห็นส่วนลึกในอุโมงค์ได้
“นี่ไม่เหมือนห้องเรียนเลย” สเปิร์มพิณส่งเสียงกระซิบเบาๆ ท่ามกลางบรรยากาศเงียบกริบที่ไม่มีใครกล้าส่งเสียงดัง
“สวัสดี..ดี..ดี..ดี นักเรียนทุกตัว..ตัว..ว..ว”
จู่ๆ ก็มีเสียงทักทายที่สะท้อนเป็นห้วงๆ ออกมาจากอุโมงค์ด้านในโดยไม่ปรากฏตัวตนเจ้าของเสียง สร้างความหวาดผวาให้เหล่าสเปิร์มที่กำลังสำรวจสิ่งแวดล้อมรอบๆ ตัวกันเพลินๆ อยู่จนต้องโผเข้ากอดตัวที่อยู่ข้างๆ โดยไม่ตั้งใจ
“ตกลงพวกเราต้องเรียนกับผนังถ้ำหรืออย่างไร” สเปิร์มไข่มุกเป็นตัวแรกที่กล้าส่งเสียงถามออกไป
ทันใดนั้น..ผิวผนังส่วนเล็กๆ ส่วนหนึ่งบนเพดานถ้ำก็มีการสั่นไหว มันค่อยๆ ปรากฏเป็นผิวพุพองสีขาวใสและขยับเขยื้อนไปมาก่อนจะลอกตัวหลุดออกมาอย่างช้าๆ แล้วหล่นเผละลงมากระทบพื้น แต่แทนที่จะแตกกระจายออกเป็นหยดน้ำเล็กๆ มันกลับแค่ยุบตัวลงแล้วดีดขึ้นมาใหม่เป็นก้อนกลมๆ สีขาวขุ่นที่กระเด้งดึ๋งดั๋งได้
สเปิร์มที่กำลังตาค้างอ้าปากหวอยังไม่ทันได้หุบปากก็ต้องตกใจกันต่อไปเมื่อก้อนไขมันที่อยู่ตรงหน้าผุดศีรษะกลมๆ เล็กๆ ที่มีแต่ลูกตาสองลูกขึ้นมาทางด้านบนพร้อมกับเหยียดแขนและขาเล็กๆ สองข้างออกมาจากส่วนท้องที่ป่องเป็นลูกโป่งนั้น
“จ๊ะเอ๋..! กำลังมองหาครูอยู่ใช่ไหม” ก้อนไขมันที่ขณะนี้มีรูปร่างหน้าตาเหมือนตุ๊กตาหิมะส่งเสียงทุ้มๆ ออกมา
นักเรียนหญิงที่อยู่แถวหน้าทุกตัวพอเห็นภาพของคุณครูตัวใหม่ปรากฏขึ้นเต็มตาก็หวีดร้องเสียงดังแล้วถอยร่นไปเบียดตัวที่อยู่แถวหลังจนพากันล้มลงเป็นแถบๆ เหมือนตัวโดมิโนทันที
“ตกใจเหรอ..ฮ่า..ฮ่า..ฮ่า คลาสนี้ยังดีนะ แค่เซๆ ทรุดๆ คลาสที่แล้วมีสเปิร์มขวัญหนีตกใจจนหางอ่อนเป็นลมล้มพับไปสามตัว ต้องหามออกไปห้องเก็บกวาด” คุณครูที่มีลักษณะเหมือนตุ๊กตาหิมะกล่าวพร้อมกับส่งเสียงหัวเราะอย่างชอบใจ เขาสนุกทุกครั้งที่เห็นนักเรียนใหม่แสดงอาการตกตะลึงจากการปรากฏตัวแบบแปลกประหลาดนั้น และคราวนี้ก็ไม่ผิดหวังเช่นเคย
“ครูมีชื่อว่า กรีสซี่ นะจ๊ะ ครูเกาะไปเกาะมาอยู่ในช่องท้องและผนังหลอดเลือดของมนุษย์คนนี้โดยไม่ถูกย่อยสลายไปกับระบบนิเวศของที่นี่ ขณะเดียวกันก็ทำหน้าที่เป็นครูประจำชั้นของพวกเธอด้วย”
“มนุษย์คนนี้จะรู้ไหมเนี่ยว่า มีสัตว์ประหลาดชนิดนี้อยู่ในร่างกายของเขา” สเปิร์มพิณกระซิบเบาๆ เธอเห็นรูปร่างหน้าตาของเขาแล้วรู้สึกพะอืดพะอมขึ้นมาอย่างทันควัน
“ไม่รู้สิ.. ถ้ารู้ เขาอาจช็อกตายไปแล้วก็ได้” สเปิร์มปันกระซิบกลับไป
“อะแอ้ม..ม..!” คุณครูกรีสซี่ได้ยินเสียงนักเรียนนินทากันไปต่างๆ นานาจึงส่งเสียงกระแอมขึ้นดังๆ เพื่อตักเตือน
“พวกกเธออย่าได้แปลกใจไปนะ ถ้าครูจะบอกว่า มีก้อนไขมันลักษณะแบบครูอยู่ดาษดื่นในร่างกายของมนุษย์คนนี้ และหากในเส้นทางที่พวกเธอจะต้องเผชิญต่อไป ไขมันพวกนั้นก็ไม่ได้มีอัธยาศัยใจคอเหมือนกับครูหรอกนะ พวกเขาจะคอยดักจับพวกเธอบางตัวไม่ให้ว่ายผ่านไปโดยง่าย กว่าจะหลุดรอดไปได้พวกเธอบางตัวก็หมดแรงเสียก่อนแล้ว” คุณครูกรีสซี่อบรมเสียงเข้ม
เมื่อนักเรียนได้ฟังเช่นนั้นต่างก็ใจเสีย ไม่คาดคิดว่าพวกตนอาจต้องเผชิญหน้ากับตัวประหลาดอย่างคุณครูกรีสซี่อีกหลายตัว
“อุ..แหวะ..! มีตัวเดียวก็ว่าแย่แล้วนะ” เสียงอาเจียนออกมาของสเปิร์มตัวหนึ่งดังขึ้นอย่างน่าสงสาร สร้างความฮือฮาขึ้นในทันที ทุกตัวเหลียวมามองหาเจ้าของเสียงนั้นซึ่งคุ้นๆ กันว่าเป็นเสียงของสเปิร์มดีดี้ แต่เจ้าตัวก็พยายามกลบเกลื่อนด้วยการแสร้งทำเป็นเหลียวหาเจ้าของเสียงเช่นกัน
คุณครูกรีสซี่ทำสิ่งที่เหนือความคาดหมายอีกครั้งด้วยการยืดลูกตาทั้งสองข้างออกมาจนเป็นเส้นกลมยาวๆ เหมือนหนวดกุ้ง แล้วเหยียดลูกตาทั้งสองเข้าไปยังกลุ่มสเปิร์มที่อยู่ตรงแถวกลาง
ลูกตาสองดวงที่วาดไปมาในอากาศสร้างความอกสั่นขวัญแขวนให้กับสเปิร์มที่อยู่ในรัศมีการมองเป็นอย่างยิ่ง เมื่อลูกตากวาดไปยังบริเวณไหนก็จะมีเสียงกรีดร้องเปล่งออกมาเป็นทิวแถวพร้อมกับหดศีรษะลงให้ต่ำที่สุด เมื่อลูกตาผ่านเลยไปแล้วก็ยืดศีรษะขึ้นมาใหม่ ดูคล้ายกับการเล่นเวฟของคนดูบนอัฒจรรย์เวลาที่มีการแข่งขันกีฬารายการใหญ่บนโลกมนุษย์
คุณครูกรีสซี่ไม่ได้ตั้งใจจะหาตัวผู้ส่งเสียงแขวะเขาจริงๆ หรอก หากแต่ต้องการเห็นสีหน้าและได้ยินเสียงร้องประหลาดๆ ของนักเรียนเป็นการประเทืองอารมณ์เท่านั้นเอง
“เอ..เมื่อกี้นี้ใครส่งเสียงดังออกมาน้า..ไม่เป็นไร หาไม่เจอก็ขอติดเอาไว้ก่อน ฮี่..ฮี่..ต่อไปใครต่อว่าครูให้ได้ยินอีกจะโดนลงโทษอย่างสยดสยอง” คุณครูกรีสซี่พูดกลั้วหัวเราะก่อนจะดึงลูกตากลับมาติดที่ใบหน้าดังเดิม
“เฮ้อ..โล่งอกไปที” สเปิร์มพิณที่นั่งตัวเกร็งตลอดเวลาขณะลูกตาวาดผ่านไปมาถอนหายใจอย่างโล่งอก
“อย่าเพิ่งวางใจ พวกเรายังไม่เจอบทที่เรียกว่าสยดสยองที่ว่านั่น ฉันสังหรณ์ใจว่า พวกเราจะเจออะไรที่ร้ายแรงกว่าคลาสของคุณครูบาลเฮดเสียอีก” สเปิร์มปันไม่ได้พูดขู่ เขาหมายใจให้สเปิร์มพิณไม่ประมาท แต่ดูเหมือนจะได้ผลเกินคาด เพราะคำพูดนั้นทำให้สเปิร์มพิณกลับมาหน้าซีดอีกครั้ง
**กว่าจะเป็นพวกเธอในวันนี้ (The sperm's story) บทที่ 5..คุณครูกรีสซี่**
คุณครูกรีสซี่
สเปิร์มที่ผ่านชั้นเรียนออกมาได้แล้ว ต่างก็เข้าแถวไปรอรับอาหารทางสายที่โรงอาหารของโรงเรียน
ภายในโรงอาหารมีสารอาหารจำนวนมากมายหลายสิบชนิดห้อยระโยงระยางเหมือนเถาวัลย์ลงมาจากเพดานด้านบน สเปิร์มตัวไหนชอบทานอะไรก็ใช้หางเกี่ยวปลายสายที่ยืดได้หดได้เหมือนเส้นหนังสะติ๊กและมีส่วนปลายรูปร่างคล้ายหัวจุกนมลงมางับไว้แล้วดูด สารอาหารที่อยู่ในสายนั้นจะไหลออกมาตามแรงดูด เมื่อดูดจนพอใจแล้วก็ปล่อยให้สายนั้นหดตัวกลับคืนไปยังที่เดิม
สารอาหารชนิดไหนรสชาติอร่อยเป็นที่ถูกอกถูกใจก็จะมีสเปิร์มมายืนเข้าแถวรอคิว เมื่อตัวหนึ่งดูดจนพอใจแล้วก็จะเลื่อนตัวออกเพื่อให้เพื่อนที่ต่อคิวอยู่เลื่อนตัวเข้ามาแทนที่
สเปิร์มปันไม่ใช่นักกิน เขาไม่ปรารถนาที่จะบริโภคอาหารยอดนิยม จึงไม่ต้องต่อคิว ความลำบากใจของเขาเป็นเรื่องของเมนูอาหารที่เขาเห็นว่ามีมากเกินไปจนเลือกไม่ถูก
“นี่อะไรเนี่ย..น้ำตาลฟรักโตส..วิตามินซี..วิตามินเอ..โปรตีน..โกลบูลิน..กรดอะมีโน..ไขมัน..ทำไมไม่รวบยอดทำเป็นรวมมิตรไปเลย” สเปิร์มปันอ่านฉลากที่แปะอยู่ด้านบนของสายแต่ละเส้น ยังเลือกไม่ถูกว่าจะทานอะไรดี
“ของอร่อยทั้งนั้นเลย” ว่าแล้วสเปิร์มพิณก็อ้าปากงับสายอาหารชนิดหนึ่ง ดูดจนพอใจแล้วก็ไปงับอีกชนิดหนึ่งต่อทันที เธอเป็นสเปิร์มช่างกิน กินไม่เลือก แต่เป็นการกินจุบกินจิบ สารอาหารชนิดไหนชอบก็กินจุหน่อย ชนิดไหนไม่ชอบก็กินน้อยหน่อย แต่จะไม่ละเว้นสักอย่างเดียว
“ไม่แปลกใจเลย ทำไมเธอถึงได้อ้วนอย่างนี้” สเปิร์มปันมองด้วยความทึ่งเห็นหน้าท้องของสเปิร์มพิณป่องออกมาอย่างเห็นได้ชัด
สเปิร์มพิณหันมาเรอใส่เขาดัง..เออะ..ทีหนึ่งแล้วก้มหน้าก้มตาดูดต่อไป
“ฉันว่าเธอรีบๆ ดูดดีกว่านะ แน่ะ..เสียงเพลงดังขึ้นอีกแล้ว” สเปิร์มพิณไม่ชอบให้ใครมองเวลาเธอทานอาหาร ขณะที่เสียงเพลง When a child is born ถูกเปิดขึ้นอีกครั้ง เป็นสัญญาณเตือนว่า ใกล้หมดเวลารับประทานอาหารแล้ว
“เพลงเพิ่งเริ่ม ยังมีเวลาอีกตั้งหลายนาที” สเปิร์มปันยังไม่อาทรร้อนใจ
“ฟังจากที่เธอเล่าแล้ว สงสารคุณครูบาลเฮดเหมือนกันนะ คงมีสเปิร์มอีกหลายตัวไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาทำ” สเปิร์มพิณกล่าวหลังจากดูดสารอาหารสีแดงเข้มเข้าไปเต็มกระเพาะจนร่างที่โปร่งแสงของเธอเปล่งประกายเป็นสีแดงวูบวาบๆ
เมื่อเอ่ยถึงคุณครูบาลเฮดก็ทำให้สเปิร์มปันอดคิดไม่ได้ว่า ขณะที่เขากำลังทานอาหารอย่างเอร็ดอร่อยอยู่นี้ คุณครูบาลเฮดคงทานอะไรไม่ลงเป็นแน่แท้
“คุณครูเรียกนายไปคุยเรื่องอะไร” เสียงคุ้นๆ ดังขึ้นมาทางด้านหลังทำให้สเปิร์มปันซึ่งกำลังดูดสารอาหารอยู่ แทบสำลักอาหารออกมาด้วยความคาดไม่ถึง
“ทโมน..!” แม้แต่สเปิร์มพิณพอได้ยินเสียงนั้นก็ยังพลอยสะดุ้งไปด้วย ปกติสเปิร์มทโมนทักใครก็มักจะทำให้ผู้นั้นต้องอกสั่นขวัญแขวนเสมอ โชคดีที่เธอไม่ได้คาบสายอาหารอยู่
“อ้อ..นายเองหรือ คือเขาอยากรู้ว่า พวกเราใช้แผนอะไรกันจึงรอดชีวิตมาได้จำนวนมาก” สเปิร์มปันกล่าวอย่างเฉยชา ทั้งที่คิดจะยิ้มให้แต่ก็ไม่ได้ยิ้ม ท่าทีของสเปิร์มทโมนปิดกั้นรอยยิ้มของเขาเอาไว้
“นายบอกเขาไปงั้นสิ” น้ำเสียงของสเปิร์มทโมนเหมือนตะคอก
“ก็ใช่..คุณครูบาลเฮดต้องทำรายงานแจ้งคุณครูใหญ่ แต่เขาไม่ได้มีเจตนา..” ยังไม่ทันที่สเปิร์มปันจะพูดจบประโยค สเปิร์มทโมนก็แทรกด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน
“นี่คงเป็นวิธีการเอาตัวรอดสินะ..ฮึ” พร้อมสายตาที่มองสเปิร์มปันอย่างหยามเหยียด
“นายหมายความว่ายังไง” สเปิร์มปันงง คิดไม่ถึงว่าจะเจอการแสดงออกอย่างนั้น
แก๊ง..ง..แก๊ง..ง..ง..ง..ง..!
เสียงระฆังดังขึ้นถี่ๆ เป็นสัญญาณบอกให้รู้ว่า เวลาอาหารได้สิ้นสุดลงไปแล้ว
“นักเรียนที่ได้เรียนต่อในชั้นมัธยมขอให้เข้าห้องเรียนได้แล้ว” เสียงประกาศจากลำโพงรูปปากแตรที่อยู่ด้านนอกห้องอาหารดังขึ้น สเปิร์มทุกตัวขยับตัวลุกจากท่านั่งในทันที
สเปิร์มทโมนจ้องหน้าสเปิร์มปันแน่วนิ่ง แววตาส่อถึงพฤติกรรมอันเลวร้ายบางอย่างที่อยากแสดงออกแต่ไม่ได้แสดง ก่อนจะสะบัดหางเลื้อยจากไปโดยไม่กล่าวอะไร ทิ้งความรู้สึกค้างคาเอาไว้เบื้องหลัง
“เขาเป็นอะไรของเขาน่ะ” สเปิร์มพิณมองร่างที่เลื้อยหายไปในกลุ่มสเปิร์มข้างหน้าอย่างกังขา
“เป็นอะไรไม่รู้ แต่ไม่ใช่เป็นพันธมิตรของฉันแน่นอน” สเปิร์มปันกล่าวอย่างเซ็งอารมณ์ เขารู้สึกไม่สบายใจต่อท่าทีของสเปิร์มทโมนนักและคิดว่าน่าจะมีการเข้าใจอะไรผิดเกี่ยวกับตัวเขา
“เธอไม่ได้บอกคุณครูบาลเฮดไม่ใช่เหรอว่า ทโมนเป็นผู้คิดแผนการนั่น”
“แน่นอน ฉันแน่ใจว่าไม่ได้เอ่ยชื่อเขาให้ฟัง”
“แต่ทโมนอาจคิดว่า เธอฟ้องคุณครูบาลเฮดเพื่อเอาตัวรอดก็ได้ ฉันว่าเธอทั้งสองต้องปรับความเข้าใจกันใหม่แล้วล่ะ” สเปิร์มพิณรู้สึกเป็นห่วงความรู้สึกของสเปิร์มทั้งสอง ไม่อยากให้ทั้งคู่ต้องมาเขม่นกัน แผนการริเริ่มโดยสเปิร์มปันไปขอคำปรึกษาสเปิร์มทโมน ทั้งคู่ออกตระเวนไปทั้งสระด้วยกันเพื่อโน้มน้าวให้สเปิร์มทั้งสองสระยอมรับแผนการนั้น
ถ้าขาดความร่วมมือร่วมใจของสเปิร์มทั้งสองแล้ว แผนการจะดีเลิศเพียงไรก็ไม่มีทางสำเร็จได้
“ไปกันเถอะ ฉันอยากรู้จักห้องเรียนใหม่เต็มทีแล้ว” สเปิร์มปันกล่าวตัดบทโดยเก็บปมของความขัดแย้งเอาไว้ภายในใจ เขาไม่อยากคิดเลยว่า บทเรียนในชั้นมัธยมจะโหดร้ายเพียงใดหากต้องมีสเปิร์มทโมนยืนอยู่ฝั่งตรงข้าม
“ห้องเรียนเหรอ..? เธอพูดได้ไงยะว่าห้องเรียน..น่าจะเป็นห้องเชือดมากกว่า” สเปิร์มดีดี้ที่ผ่านมาได้ยินพอดีจีบปากจีบคอกล่าวก่อนจะเลื้อยผ่านไปด้วยท่วงท่าสะบัดสะบิ้ง
สเปิร์มปันและสเปิร์มพิณหันมามองตากัน อยากหัวเราะใจจะขาดกับคำพูดและลีลาของสเปิร์มดีดี้แต่ก็รู้สึกอยากร้องไห้ไปในขณะเดียวกันด้วย
เมื่อสเปิร์มทุกตัวเคลื่อนผ่านประตูห้องเรียนชั้นมัธยมไปจนครบแล้ว ประตูห้องเรียนก็ถูกปิดลง เสียงประตูที่ปิดดัง..ปัง..ทำเอาบรรดาสเปิร์มพากันใจหายวาบเพราะนั่นหมายถึงจะไม่มีตัวใดสามารถกลับออกไปทางเดิมได้อีกแล้ว
ภายในห้องเรียนใหม่นี้มีลักษณะเหมือนอุโมงค์ส่งน้ำขนาดใหญ่ที่ผนังโดยรอบมีผิวขรุขระเหมือนผิวของผลมะกรูดแต่มีลักษณะอ่อนนุ่มและยืดหยุ่นเหมือนผิวของขนมเยลลี่ แสงสว่างในอุโมงค์เป็นสีเหลืองนวลสลัวๆ พอให้แลเห็นได้ในระยะใกล้เท่านั้น และเนื่องจากผิวผนังที่เป็นมันเลื่อมมีการไหวตัวอยู่ตลอดเวลาทำให้เกิดแสงสะท้อนระยิบระยับเหมือนแสงดาวในยาวราตรี เส้นทางในอุโมงค์เป็นทางลาดลงไปสู่เบื้องล่างที่ไม่สามารถมองเห็นส่วนลึกในอุโมงค์ได้
“นี่ไม่เหมือนห้องเรียนเลย” สเปิร์มพิณส่งเสียงกระซิบเบาๆ ท่ามกลางบรรยากาศเงียบกริบที่ไม่มีใครกล้าส่งเสียงดัง
“สวัสดี..ดี..ดี..ดี นักเรียนทุกตัว..ตัว..ว..ว”
จู่ๆ ก็มีเสียงทักทายที่สะท้อนเป็นห้วงๆ ออกมาจากอุโมงค์ด้านในโดยไม่ปรากฏตัวตนเจ้าของเสียง สร้างความหวาดผวาให้เหล่าสเปิร์มที่กำลังสำรวจสิ่งแวดล้อมรอบๆ ตัวกันเพลินๆ อยู่จนต้องโผเข้ากอดตัวที่อยู่ข้างๆ โดยไม่ตั้งใจ
“ตกลงพวกเราต้องเรียนกับผนังถ้ำหรืออย่างไร” สเปิร์มไข่มุกเป็นตัวแรกที่กล้าส่งเสียงถามออกไป
ทันใดนั้น..ผิวผนังส่วนเล็กๆ ส่วนหนึ่งบนเพดานถ้ำก็มีการสั่นไหว มันค่อยๆ ปรากฏเป็นผิวพุพองสีขาวใสและขยับเขยื้อนไปมาก่อนจะลอกตัวหลุดออกมาอย่างช้าๆ แล้วหล่นเผละลงมากระทบพื้น แต่แทนที่จะแตกกระจายออกเป็นหยดน้ำเล็กๆ มันกลับแค่ยุบตัวลงแล้วดีดขึ้นมาใหม่เป็นก้อนกลมๆ สีขาวขุ่นที่กระเด้งดึ๋งดั๋งได้
สเปิร์มที่กำลังตาค้างอ้าปากหวอยังไม่ทันได้หุบปากก็ต้องตกใจกันต่อไปเมื่อก้อนไขมันที่อยู่ตรงหน้าผุดศีรษะกลมๆ เล็กๆ ที่มีแต่ลูกตาสองลูกขึ้นมาทางด้านบนพร้อมกับเหยียดแขนและขาเล็กๆ สองข้างออกมาจากส่วนท้องที่ป่องเป็นลูกโป่งนั้น
“จ๊ะเอ๋..! กำลังมองหาครูอยู่ใช่ไหม” ก้อนไขมันที่ขณะนี้มีรูปร่างหน้าตาเหมือนตุ๊กตาหิมะส่งเสียงทุ้มๆ ออกมา
นักเรียนหญิงที่อยู่แถวหน้าทุกตัวพอเห็นภาพของคุณครูตัวใหม่ปรากฏขึ้นเต็มตาก็หวีดร้องเสียงดังแล้วถอยร่นไปเบียดตัวที่อยู่แถวหลังจนพากันล้มลงเป็นแถบๆ เหมือนตัวโดมิโนทันที
“ตกใจเหรอ..ฮ่า..ฮ่า..ฮ่า คลาสนี้ยังดีนะ แค่เซๆ ทรุดๆ คลาสที่แล้วมีสเปิร์มขวัญหนีตกใจจนหางอ่อนเป็นลมล้มพับไปสามตัว ต้องหามออกไปห้องเก็บกวาด” คุณครูที่มีลักษณะเหมือนตุ๊กตาหิมะกล่าวพร้อมกับส่งเสียงหัวเราะอย่างชอบใจ เขาสนุกทุกครั้งที่เห็นนักเรียนใหม่แสดงอาการตกตะลึงจากการปรากฏตัวแบบแปลกประหลาดนั้น และคราวนี้ก็ไม่ผิดหวังเช่นเคย
“ครูมีชื่อว่า กรีสซี่ นะจ๊ะ ครูเกาะไปเกาะมาอยู่ในช่องท้องและผนังหลอดเลือดของมนุษย์คนนี้โดยไม่ถูกย่อยสลายไปกับระบบนิเวศของที่นี่ ขณะเดียวกันก็ทำหน้าที่เป็นครูประจำชั้นของพวกเธอด้วย”
“มนุษย์คนนี้จะรู้ไหมเนี่ยว่า มีสัตว์ประหลาดชนิดนี้อยู่ในร่างกายของเขา” สเปิร์มพิณกระซิบเบาๆ เธอเห็นรูปร่างหน้าตาของเขาแล้วรู้สึกพะอืดพะอมขึ้นมาอย่างทันควัน
“ไม่รู้สิ.. ถ้ารู้ เขาอาจช็อกตายไปแล้วก็ได้” สเปิร์มปันกระซิบกลับไป
“อะแอ้ม..ม..!” คุณครูกรีสซี่ได้ยินเสียงนักเรียนนินทากันไปต่างๆ นานาจึงส่งเสียงกระแอมขึ้นดังๆ เพื่อตักเตือน
“พวกกเธออย่าได้แปลกใจไปนะ ถ้าครูจะบอกว่า มีก้อนไขมันลักษณะแบบครูอยู่ดาษดื่นในร่างกายของมนุษย์คนนี้ และหากในเส้นทางที่พวกเธอจะต้องเผชิญต่อไป ไขมันพวกนั้นก็ไม่ได้มีอัธยาศัยใจคอเหมือนกับครูหรอกนะ พวกเขาจะคอยดักจับพวกเธอบางตัวไม่ให้ว่ายผ่านไปโดยง่าย กว่าจะหลุดรอดไปได้พวกเธอบางตัวก็หมดแรงเสียก่อนแล้ว” คุณครูกรีสซี่อบรมเสียงเข้ม
เมื่อนักเรียนได้ฟังเช่นนั้นต่างก็ใจเสีย ไม่คาดคิดว่าพวกตนอาจต้องเผชิญหน้ากับตัวประหลาดอย่างคุณครูกรีสซี่อีกหลายตัว
“อุ..แหวะ..! มีตัวเดียวก็ว่าแย่แล้วนะ” เสียงอาเจียนออกมาของสเปิร์มตัวหนึ่งดังขึ้นอย่างน่าสงสาร สร้างความฮือฮาขึ้นในทันที ทุกตัวเหลียวมามองหาเจ้าของเสียงนั้นซึ่งคุ้นๆ กันว่าเป็นเสียงของสเปิร์มดีดี้ แต่เจ้าตัวก็พยายามกลบเกลื่อนด้วยการแสร้งทำเป็นเหลียวหาเจ้าของเสียงเช่นกัน
คุณครูกรีสซี่ทำสิ่งที่เหนือความคาดหมายอีกครั้งด้วยการยืดลูกตาทั้งสองข้างออกมาจนเป็นเส้นกลมยาวๆ เหมือนหนวดกุ้ง แล้วเหยียดลูกตาทั้งสองเข้าไปยังกลุ่มสเปิร์มที่อยู่ตรงแถวกลาง
ลูกตาสองดวงที่วาดไปมาในอากาศสร้างความอกสั่นขวัญแขวนให้กับสเปิร์มที่อยู่ในรัศมีการมองเป็นอย่างยิ่ง เมื่อลูกตากวาดไปยังบริเวณไหนก็จะมีเสียงกรีดร้องเปล่งออกมาเป็นทิวแถวพร้อมกับหดศีรษะลงให้ต่ำที่สุด เมื่อลูกตาผ่านเลยไปแล้วก็ยืดศีรษะขึ้นมาใหม่ ดูคล้ายกับการเล่นเวฟของคนดูบนอัฒจรรย์เวลาที่มีการแข่งขันกีฬารายการใหญ่บนโลกมนุษย์
คุณครูกรีสซี่ไม่ได้ตั้งใจจะหาตัวผู้ส่งเสียงแขวะเขาจริงๆ หรอก หากแต่ต้องการเห็นสีหน้าและได้ยินเสียงร้องประหลาดๆ ของนักเรียนเป็นการประเทืองอารมณ์เท่านั้นเอง
“เอ..เมื่อกี้นี้ใครส่งเสียงดังออกมาน้า..ไม่เป็นไร หาไม่เจอก็ขอติดเอาไว้ก่อน ฮี่..ฮี่..ต่อไปใครต่อว่าครูให้ได้ยินอีกจะโดนลงโทษอย่างสยดสยอง” คุณครูกรีสซี่พูดกลั้วหัวเราะก่อนจะดึงลูกตากลับมาติดที่ใบหน้าดังเดิม
“เฮ้อ..โล่งอกไปที” สเปิร์มพิณที่นั่งตัวเกร็งตลอดเวลาขณะลูกตาวาดผ่านไปมาถอนหายใจอย่างโล่งอก
“อย่าเพิ่งวางใจ พวกเรายังไม่เจอบทที่เรียกว่าสยดสยองที่ว่านั่น ฉันสังหรณ์ใจว่า พวกเราจะเจออะไรที่ร้ายแรงกว่าคลาสของคุณครูบาลเฮดเสียอีก” สเปิร์มปันไม่ได้พูดขู่ เขาหมายใจให้สเปิร์มพิณไม่ประมาท แต่ดูเหมือนจะได้ผลเกินคาด เพราะคำพูดนั้นทำให้สเปิร์มพิณกลับมาหน้าซีดอีกครั้ง