DEFENDER (4) : CALEB & THE MAN.

ตอนนั้นเองที่แสงไฟอีกดวงหนึ่งส่องสว่างขึ้น

ไฟเล็กๆดวงนั้นเผยให้เห็นริมฝีปากหยักที่กำลังสูบยาสูบ และดวงตาสีเขียวเข้มที่กำลังจ้องมองมานิ่ง  ร่างสูงนั้นค่อยๆก้าวเดินออกมาจากเงามืดของมุมห้อง ปลายเท้าที่ก้าวลงบนไม้กระดานนั้นแผ่วเบาจนแทบไม่เกิดเสียง

ในที่สุดชายแปลกหน้าคนนั้นก็คีบยาสูบออกจากปาก แล้วถามขึ้นมาว่า “จำฉันได้ไหม”

ทว่าเคเลบไม่ตอบอะไรกลับไป เขาทำเพียงสูบยาสูบเข้าเต็มปอด ดวงตาสีดำเข้มที่จ้องมองอีกฝ่ายผ่านควันสีเทาอยู่นั้นดูนิ่งสนิท ปราศจากความรู้สึกนึกคิดใดๆ 

อีกฝ่ายเองก็ไม่ได้มีทีท่าคาดหวังอะไรอยู่แล้วเช่นเดียวกัน  “ในที่สุดนายก็ให้ฉันได้มีโอกาสมาเจอนายเสียที” เขาเอ่ย

ชายร่างสูงค่อยๆขยับตัวเดิน ใบหน้าที่ซ่อนอยู่ในเงามืดสอดส่องไปมารอบตัว พินิจมองไปตามความว่างเปล่าของตัวห้อง กำแพงไม้ที่ผุพัง พื้นไม้ที่เต็มไปด้วยเชื้อรา ไปจนถึงกระจกหน้าต่างที่เป็นรอยแตกร้าว

บ้านหลังนี้ไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าบ้านร้างหลังหนึ่งที่ช่างเก่าแสนเก่า ทรุดโทรม อับชื้น เต็มไปด้วยเชื้อรา และเหม็นเน่าจนแสบจมูก

แต่กระนั้นแล้วชายตรงหน้าคนนี้กลับมีพรมผืนเก่าวางปูไว้บนพื้นไม้อันผุพังไปทั่วทั้งบ้าน และขอบบานหน้าต่างโทรมๆนั่นก็มีผ้าผืนหนาอุดไว้โดยรอบ ราวกับว่าทั้งหมดที่เขาสนใจในบ้าน มีเพียงสองสิ่งนี้เท่านั้น

เขาก้าวเดินมาจนถึงกลางห้อง จ้องมองไปยังแผนที่แผ่นหนึ่งที่วางอยู่บนโต๊ะ มันเป็นแผนที่ที่ยับย่น และเก่าจนสีเกือบจะกลายเป็นสีน้ำตาลเข้ม อีกทั้งยังถูกขีดเขียนตามจุดต่างๆไปทั่วจนอ่านแทบไม่ออก

“นายหยุดเดินทาง” เขาเพ่งมองไปยังเส้นหมึกสีดำที่ถูกลากขนานกันเป็นทางยาว และมีสัญลักษณ์ของแม่น้ำสีน้ำเงิน  ปรากฏเป็นรอยอันเลือนลาง “นายหยุดเดินทาง แล้วขึ้นมาจากแม่น้ำเส้นนี้ --” เสียงทุ้มต่ำเงียบหายไปชั่วขณะ ราวกับพยายามคิดหาคำตอบ “อะไรทำให้นายกลับมาที่แห่งนี้ ในบ้านโทรมๆ ตรงชายแดนป่าของหมู่บ้านเล็กๆนี่กัน เคเลบ”

เขาวางมือลงบนกองกระดาษบนโต๊ะ ไล่สายตาไปตามตัวอักษรที่พาดหัวข่าวอย่างเงียบๆ

“นายรู้อยู่แล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้น หากกลับมาที่นี่ -- จะเกิดอะไรขึ้นหากใครสักคนในหมู่บ้านรู้การกลับมาของนาย หลังจากที่เกิดเรื่องราวนั้น --” อีกฝ่ายยังพูดต่อไป อย่างพินิจพิเคราะห์ “หลังจากเกิดเหตุฆาตกรรมครั้งนั้น --”

ร่างสูงหมุนตัวกลับมา จ้องมองข้ามห้องไปยังเคเลบที่ยังคงนั่งนิ่งอยู่เช่นเดิม

“นายรู้อยู่แก่ใจ แต่ก็ยังกลับมา --” เขาบอก “เป็นเพราะแมรี่โกลด์ใช่ไหม --”

เคเลบพ่นควันสีเทาออกมา ใบหน้าคมสันนิ่งเฉย ปราศจากซึ่งท่าทีของความหวาดกลัว หรือความประหลาดใจใดๆ มือหนาข้างหนึ่งยังคงยังคงกำชับกระบอกปืนไว้แน่น

ชายร่างสูงก้าวเดินเข้ามาใกล้มากขึ้น -- มากจนเงาจากร่างเขาส่องกระทบบนร่างของเคเลบเป็นทางยาว ใบหน้าที่ซ่อนอยู่ในความมืดเอนไปทางข้างหนึ่งราวกับกำลังใช้ความคิด มือหนายกขึ้นมาเบื้องหน้า แสงสว่างจากปลายยาสูบส่องกระทบฝ่ามือคู่นั้น จนมองเห็นผิวสีแดง เต็มไปด้วยแผลถลอก และร่องรอยตะปุ่มตะป่ำอย่างน่ากลัว

“นายไม่กล้ายิงปืนหรอก หลังจากเกิดเรื่องขึ้นเมื่อหกเดือนก่อน --” เขาเอ่ยออกมา “จริงไหม”

เคเลบสบตามองชายตรงหน้าที่อยู่ห่างออกไปไม่กี่คืบ และแม้ว่าเขาจะไม่ได้พูดอะไรออกมา หากแต่คำตอบก็ปรากฏในแววตาคู่นั้นอย่างชัดเจน
เคเลบจดจำเรื่องราวนั้นได้

และนั่นก็ทำให้เกิดเงามืดฉายวูบขึ้นมาในดวงตาสีเขียวเข้มของชายผู้มาเยือน ก่อนที่จะหายวับไปอย่างรวดเร็ว

“นายดูเปลี่ยนไปกว่าที่ฉันจำได้” เขากระซิบ “นายดู -- ทุกข์ทรมานอย่างน่าเหลือเชื่อ”

คำพูดนั้นทำให้เคเลบหวนนึกถึงอดีตของตนขึ้นมา  มันทำให้เขานึกถึงตนเองเมื่อหกเดือนก่อนที่ยังคงแข็งแรง และเต็มไปด้วยพลังอันมากมาย --

มันเป็นหกเดือนที่เกิดอะไรขึ้นมากกว่าที่เขาคาดฝันไว้

เคเลบหลับตาลงแน่น ริมฝีปากหยักพ่นควันสีเทาออกมาอย่างช้าๆ ราวกับว่าความทรงจำทั้งหมดนั้นกำลังไหลผ่านเข้ามาในห้วงความคิดของตนเอง

“ฉันเสียใจ” เขาเอ่ยออกมาอย่างช้าๆ และชัดเจน “ฉันเสียใจต่อสิ่งที่ฉันทำเอาไว้เมื่อหกเดือนก่อน”

คำพูดนั้นทำให้ชายร่างสูงนิ่งไปอึดใจหนึ่ง

ทว่าดวงตาสีเขียวคู่นั้นกลับเป็นประกายเจิดจ้ายิ่งขึ้นกว่าเดิม “นายพูดว่าเสียใจงั้นหรือ” เสียงทุ้มต่ำของชายร่างสูงดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ “หลังจากที่นายทำลงไป นายพูดได้แค่คำว่าเสียใจเท่านั้นหรือ”

“ฉันขอโทษ” เคเลบเอ่ยย้ำออกมาอีกครั้ง น้ำเสียงที่เปล่งออกมานั้นราบเรียบและสงบนิ่ง หากแต่ใบหน้าคมสันที่แสงจันทร์ส่องกระทบมานั้น กลับฉายชัดถึงความรู้สึกสำนึกผิดบางอย่างอย่างลึกซึ้ง “ถ้ากลับไปในคืนวันนั้นได้ ฉันจะไม่ทำแบบนั้น”

ทำแบบนั้นน่ะหรือ” อีกฝ่ายทวนคำพูด “ที่ริมแม่น้ำในคืนวันนั้น นายทำมากกว่านั้นมากนัก เคเลบ นายไม่ได้แค่ทอดทิ้งคนที่กำลังต้องการนายไว้ในความมืด และความเหน็บหนาว แต่นายลงมือฆ่าเขา นายออกแรงเขาทุบด้วยท่อนไม้ นายฟาดเขาลงไปไม่ยั้งมือ นายหวดเขาเสียเต็มแรง! --”

ชายร่างสูงสูดลมหายใจเข้าลึก ใบหน้าที่เอนไปทางข้างหนึ่งส่องกระทบเข้ากับแสงจันทร์มากขึ้นกว่าเดิม เผยให้เห็นกะโหลกที่ยุบผิดสัดส่วน และใบหน้าที่เละไปเกือบครึ่ง ราวกับถูกทุบจนกระดูกแหลก

“นายตั้งใจที่จะทำให้อีกฝ่ายตายคาที่ เคเลบ! นายไม่ได้เหลือโอกาสให้อีกฝ่ายมีชีวิตรอดในคืนนั้นเลย!”

เสียงทุ้มต่ำของชายร่างสูงก้องกังวานไปทั่วทั้งห้อง กระทั่งแผ่วหายไป จนเกิดเป็นความเงียบขึ้นระหว่างพวกเขาทั้งสอง

เคเลบยังคงนั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้บุนวมตัวนั้นด้วยท่าทีสงบนิ่ง ใบหน้าคมสันยังคงแหงนเงยขึ้น จ้องมองอีกฝ่ายด้วยดวงตาอันนิ่งเฉย หากแต่รอบนี้เขาไม่สูบยาสูบอีกต่อไป นอกจากทำเพียงถือมันไว้ในมือเท่านั้น

“ฉันรู้” เคเลบเอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบา มองไปตามใบหน้าที่ผิดสัดส่วน และบิดเบี้ยวนั้น “และนายพูดถูกทุกอย่าง  คืนนั้นฉันตั้งใจลงมือฆ่า -- อย่างเจตนา และอย่างไม่ลังเล --  ไม่มีคืนไหนที่ฉันลืมว่าฉันได้ทำอะไรลงไป” เคเลบพูดต่อไป โดยไม่หลบสายตาอีกฝ่าย “และเราต่างรู้ดี ว่ามันทำให้แมรี่โกลด์มองฉันไม่เหมือนเดิมอีกเลย”

เกิดความเงียบขึ้นภายในห้อง ชายทั้งสองต่างนิ่งสนิท ไม่ขยับตัวแม้สักนิด

ใบหน้าอันอัปลักษณ์ของชายตรงหน้าราวกับจะบิดเบี้ยวผิดรูปมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม ชื่อของแมรี่โกลด์ที่ถูกเอ่ยถึงขึ้นมานั้น ราวกับจะทำให้เขาเจ็บปวดรวดร้าวทรมานมากขึ้นกว่าเดิม

วินาทีนั้น ดวงตาของเคเลบเป็นประกายเจิดจ้าขึ้นมา ก่อนจะหายวับไปอย่างรวดเร็ว

แล้วเขาก็ขยับตัว หลังจากที่นิ่งเงียบไปนาน

เคเลบปล่อยยาสูบลงบนพื้นพรม บดขยี้มันด้วยปลายเท้าอย่างไม่ไยดี แล้วลุกขึ้นมาเป็นครั้งแรก

ร่างสูงผุดลุกขึ้นมาจากเก้าอี้บุนวมอย่างช้าๆ แผ่นหลังยืดเหยียดตรง สองเท้าก้าวเดินมาข้างหน้า จนเกือบประชิดร่างของอีกฝ่าย

จนกระทั่งปากกระบอกปืนอันเย็นเฉียบจ่อเข้าที่ขมับอันบิดเบี้ยวนั่น -- อย่างแน่นิ่ง ไม่สั่นไหว

ชายผู้มาเยือนจ้องมองเคเลบ สองเท้าไม่ถอยหนี หรือสั่นระริกแต่อย่างใด -- เขายังคงยืนอยู่ที่เดิม ท่าทีสงบนิ่งปราศจากความหวาดกลัวใดๆ จนแทบจะกลายเป็นเยือกเย็น

“ยิงเลย” เขากระซิบ เฝ้ารอเวลาให้เคเลบลั่นไกปืนในความมืด “นายคิดถึงช่วงเวลานี้มานานแล้วนี่”

จะรออะไรอยู่อีก --

แวบหนึ่ง เขารู้สึกว่านิ้วมือของเคเลบคล้ายจะขยับ และลั่นไกจริงๆ หากแต่วินาทีถัดมา กระสุนปืนนัดนั้นกลับไม่ได้ดังขึ้น สุดท้ายแล้วเคเลบไม่ได้ลั่นไกปืน

เคเลบไม่แม้แต่ชายตามองเขาสักนิด

ดวงตาสีดำเข้มคู่นั้นกำลังมองข้ามไหล่เขาไปยังอีกฟากหนึ่งของตัวห้อง ร่างทั้งร่างยืนนิ่งไม่ไหวติง มือที่กำกระบอกปืนเกร็งแน่นขึ้นมา จนเส้นเลือดปูดขึ้นมาตามท่อนแขน ท่าทีดูแปรเปลี่ยนเป็นระมัดระวังตัวขึ้นมาในฉับพลัน

และนั่นก็ทำให้เขาเพิ่งสังเกตเห็นว่าเคเลบในขณะนี้ ไม่ได้เพียงถือกระบอกปืนเท่านั้น หากแต่มืออีกข้างหนึ่งของเขากำลังถือท่อนไม้อยู่ด้วยเช่นเดียวกัน

เคเลบเดินผ่านร่างของเขาไป  ร่างสูงค่อยๆก้าวเดินไปบนผืนพรม ระมัดระวังไม่ให้เกิดเสียงลั่นของไม้กระดาน ดวงตายังคงจ้องมองไปยังความมืดสลัวตรงหน้า ราวกับกำลังมองอะไรบางอย่าง

จนในที่สุดเขาก็เก็บกระบอกปืนกลับเข้าไปในเสื้อคลุม เหลือไว้เพียงท่อนไม้ตะบองที่กำไว้ในมือแน่น

ตอนนั้นเองที่เคเลบยกมืออีกข้างขึ้นกลางอากาศ นิ้วเรียวสะบัดไปมา เป็นสัญญาณให้อยู่ในความเงียบ 

ชายทั้งสองต่างยืนนิ่ง แทบไม่กล้าหายใจออกมา ดวงตาสีดำขลับของเคเลบจับจ้องไปยังนอกหน้าต่าง ในขณะที่ดวงตาสีเขียวเข้มของชายร่างสูงจับจ้องไปยังแผ่นหลังกว้างของเคเลบที่ยังคงเกร็งแน่น

ใบหน้าคมสันของเคเลบหันมาทางเขาเล็กน้อย ดวงตาข้างที่เหลือบมองมาฉายถึงความตื่นตัวเต็มที่

“ระวัง” เคเลบขยับริมฝีปากโดยไม่เปล่งเสียงออกมา “มีใครอื่นกำลังจ้องมองเราอยู่ --”
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่