DEFENDER (11) : CALEB & RIVER.

ผมจะปกป้องคุณเอง

ถึงตรงนี้เคเลบก็ลืมตาตื่นขึ้น -- ภาพของเหตุการณ์เมื่อตอนค่ำพลันหายวับไป

สติที่ล่องลอยอยู่บ่อยครั้งทำให้เขารู้สึกสับสนเล็กน้อย หากแต่เขาก็รับรู้ว่าตนได้หวนกลับมาสู่โลกของความเป็นจริงอีกครั้ง

เขาปล่อยมือจากผืนพรม ยืดตัวขึ้นเต็มความสูง

สติเขาไม่อยู่กับเนื้อกับตัว -- และมันยากขึ้นเรื่อยๆ ในการที่จะเหนี่ยวรั้งสติตัวเองเอาไว้ ไม่ให้หลุดออกจากร่าง ในเมื่อทุกอย่างมันหนักหนาขึ้นทุกที

เขากำลังจะรับทุกอย่างไม่ไหว

แวบหนึ่งเขาแว่วได้ยินเสียงครวญของสัตว์ป่า ดังมาจากชั้นบนของตัวบ้าน -- มันคือเสียงของแมรี่โกลด์

แต่เมื่อแวบนั้นผ่านไป ทุกอย่างก็ยังคงตกอยู่ในความเงียบสงัด

เคเลบมองไปยังกองประกาศข่าวที่วางซ้อนอยู่กลางห้องนั่งเล่น ก่อนจะเดินเข้าไปมองสำรวจ

มันคือข่าวหลายฉบับที่ถูกจัดเรียงไว้เป็นแนวยาว ราวกับเรื่องราวที่ถูกปะติดปะต่อเข้าด้วยกัน แต่ละฉบับพาดหัวข่าวว่า

หมู่บ้านเต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นเน่า
กลิ่นเหม็นเน่าของความตาย
คำสาปของหมู่บ้าน

เคเลบละสายตาไปยังชิ้นส่วนแผ่นประกาศอีกด้านหนึ่ง

ฝูงนกอพยพ และซากนกที่ร่วงตายทั่วทั้งเมือง
เสียงร้องลึกลับยามดึก คาดว่ามาจากชายแดนป่า
สัตว์ป่าบ้าคลั่ง บุกทำร้ายมนุษย์
คนตายอย่างปริศนา

ไปจนถึงข่าวล่าสุดเมื่อวานที่ลงไว้ว่า

เหตุลึกลับอันน่าหวาดกลัวของหมู่บ้าน 

ถึงตรงนี้ ดวงตาสีดำละจากกองกระดาษตรงหน้า ค่อยๆไล่มองไปตามคราบเลือดที่เปรอะไปทั่วผืนพรม พื้นไม้ และกำแพงห้อง

ดูเหมือนว่าทุกอย่างได้จบสิ้นไปแล้ว -- 

ตอนนี้เหลือเพียงเขากับแมรี่โกลด์ และลูกในท้องเท่านั้น

เคเลบหมุนตัวออกไปยังโถงทางเดินดั่งเดิม มือข้างหนึ่งล้วงเข้าไปในเสื้อคลุม คว้ายาสูบมาคาบไว้มวนหนึ่ง

พลันคำพูดที่เขาบอกกับแมรี่โกลด์เมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนก็ดังขึ้นมาในใจอีกครั้ง

โลกนี้ไม่มีที่สำหรับมนุษย์อย่างเราอีกต่อไปแล้ว --
โลกมนุษย์ได้สิ้นสุดลงไปแล้ว -- มันไม่ได้ต่างอะไรจากนรกทั้งเป็น หรือสุสานร้าง ที่เหลือไว้เพียงซากปรักหักพัง คราบเลือด และซากศพเท่านั้น

เคเลบจ้องมองปลายเท้าตนเอง ในขณะที่ความคิดหนึ่งยังคงดังลั่นอยู่ในโสตประสาทของตน

ลูกของเราจะไม่มีชีวิตรอดในนรกแบบนี้

เคเลบหลับตาลง รู้สึกหนักอึ้งขึ้นมาในใจ สีหน้าอันนิ่งเฉยฉายชัดถึงความรู้สึกเจ็บปวดบางอย่าง ราวกับกำลังแบกรับโลกทั้งใบก็ไม่ปาน

สำหรับเขาแล้วนั้น มันไม่มีทางเลือกอื่นอีกต่อไปแล้ว

ทว่าตอนนั้นเองที่หูเขาแว่วได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้น --

เคเลบชำเลืองมองไปยังห้องครัว -- ไม่มีใครอยู่ตรงนั้น

ดวงตาสีดำเหลือบมองไปทางประตูบ้าน แต่มันยังคงปิดสนิทดั่งเดิม -- 

ร่างสูงนิ่งเงียบไปนาน ก่อนจะก้าวเดินตรงไปยังประตูบานนั้น แล้วคว้ากลอนประตูไว้แน่น -- กลอนประตูที่เขาลั่นเอาไว้ ยังสนิทดีดั่งเดิม

เขานิ่งค้างท่านั้นอยู่นาน ในที่สุดจึงปล่อยมือ แล้วค่อยๆเดินถอยออกมา หมุนตัวเดินกลับเข้าไปในห้องนั่งเล่น

เคเลบหยุดฝีเท้าลงกลางห้อง มองดูมุมขอบพรมผืนเก่าบนพื้นที่ยับย่น ค่อยๆก้มลงขยับมันให้เข้าที่ จากนั้นจึงคว้าไม้ขีดออกมาจากเสื้อคลุม แล้วจุดยาสูบขึ้น
มันชัดเจนเกินกว่าที่เขาจะมองผ่านไปได้ --

มีใครบางคนทำให้พรมผืนนี้ขยับ และมุมพับยับย่น เป็นคนละแนวกับที่เขาวางเอาไว้ก่อนหน้า

เคเลบพ่นควันสีเทาออกมาจากริมฝีปากอย่างช้าๆ ขยับตัวนั่งลงบนเก้าอี้บุนวม ดวงตาสีดำกวาดมองไปรอบๆห้องนั่งเล่น ขณะวางท่อนไม้ไว้ข้างตัว

ใครบางคนอยู่ที่นี่ -- เขาบอกตนเอง -- ใครบางคนกำลังอยู่ที่นี่กับเขา

ภายในบ้านยังคงตกอยู่ในความเงียบ --

เคเลบอัดควันยาสูบเข้าเต็มปอด ดวงตาสีดำยังคงจับจ้องไปยังความมืดเบื้องหน้า ริมฝีปากหยักขยับพ่นควันสีเทาออกมาอีกครั้ง ก่อนจะเคลื่อนมืออีกข้างเข้าไปในเสื้อคลุมช้าๆ จากนั้นจึงเกิดเสียงดังขึ้นท่ามกลางความเงียบดัง แกรก --

แสงจันทร์ส่องผ่านบานหน้าต่างที่แตกร้าวเข้ามาภายในห้อง เผยให้เห็นวัตถุบางอย่างในมือของเคเลบ แม้จะไม่ชัดเจน แต่มันก็มากพอที่จะทำให้สังเกตเห็นได้ว่ามันคือปืนกระบอกหนึ่ง

“ออกมา”  เสียงทุ้มต่ำของเคเลบเอ่ยขึ้นอย่างแผ่วเบา หากแต่ดังชัดเจนภายในห้อง ดวงตาอันคมกริบยังคงจ้องมองไปยังมุมห้องที่มืดสนิท

“นายมีเวลาห้านาที” เขาบอกกับผู้บุกรุกยามวิกาลคนนั้น

ทว่าร่างที่ออกมาจากมุมมืดนั้น กลับเป็นชายแปลกหน้าคนหนึ่งที่เขารู้สึกคุ้นเคยขึ้นมาอย่างน่าประหลาด

ทั้งลาดไหล่ที่กว้างและแข็งแรง โครงหน้าคมสันในเงามืด และท่าเดินที่ขยับเข้ามาใกล้อย่างช้าๆ 

แสงสว่างจากปลายยาสูบที่ปลายริมฝีปากของชายคนนั้น ยิ่งทำให้เขามองเห็นดวงตาสีเขียวที่จ้องมองมาได้ชัดเจนยิ่งขึ้น -- คราวนี้ชัดจนเคเลบแน่ใจเลยทีเดียว ว่านี่คือชายคนนั้น

“จำฉันได้ไหม” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยถามออกมาเป็นคำถามแรก

นี่คือชายผู้ซ่อนตัวอยู่ในเงามืดของเขา

ชายคนเดียวกันกับที่ตามหลอกหลอนเขาตลอดหกเดือนที่ผ่านมา

ร่างนั้นเพ่งมองไปยังเส้นหมึกสีดำที่ถูกลากขนานกันเป็นทางยาว และมีสีน้ำเงินปรากฏเป็นรอยอันเลือนราง “นายหยุดเดินทาง แล้วขึ้นมาจากแม่น้ำเส้นนี้ --” เสียงทุ้มต่ำเงียบหายไปชั่วขณะ ราวกับพยายามคิดหาคำตอบ “อะไรทำให้นายกลับมาที่นี่กัน เคเลบ”

เพราะแมรี่โกลด์ใช่ไหม  --

คำตอบคือใช่ -- การที่เขามาพาตัวเองมาหยุดอยู่ในสถานที่ที่อันตรายแห่งนี้ ในช่วงเวลาที่มืดมนที่สุดขณะนี้  ก็เพื่อแมรี่โกลด์ที่กำลังจะคลอดลูก
แต่นายเห็นเองกับตาแล้ว ว่าเกิดอะไรขึ้นในหมู่บ้านแห่งนี้

และพวกมันกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้ -- พวกมันกำลังมุ่งหน้ามาหานาย --

นายรู้อยู่แก่ใจ

ใช่ อีกไม่นานพวกปิศาจร้ายจะมุ่งหน้ามาที่นี่ -- เคเลบนึก ขณะจ้องมองร่างสูงตรงหน้า -- กลิ่นเลือดของปิศาจที่เขาสาดไปทั่วทั้งบ้าน และอาบไปตามเนื้อตัวของเขาขณะนี้ ไม่อาจซื้อเวลาให้เขาได้มากไปกว่านี้

พวกมันกำลังมา

เคเลบพ่นควันสีเทาออกมา ใบหน้านิ่งเฉย ปราศจากซึ่งท่าทีของความหวาดกลัว หรือความประหลาดใจใดๆ มือข้างหนึ่งยังคงยังคงกำชับกระบอกปืนไว้แน่น

ชายร่างสูงก้าวเดินเข้ามาใกล้มากขึ้น -- มากจนมองเห็นผิวสีแดง เต็มไปด้วยแผลถลอก และร่องรอยตะปุ่มตะป่ำอย่างน่ากลัว ใบหน้าที่ซ่อนอยู่ในความมืดเอนไปทางข้างหนึ่งราวกับกำลังใช้ความคิด

“นายไม่กล้ายิงปืนหรอก” เขาเอ่ยออกมา “หลังจากเกิดเรื่องขึ้นเมื่อหกเดือนก่อน -- จริงไหม”

หกเดือนก่อน --

เคเลบสบตามองชายตรงหน้าที่อยู่ห่างออกไปไม่กี่คืบ และแม้ว่าเขาจะไม่ได้พูดอะไรออกมา หากแต่คำตอบก็ปรากฏในแววตาคู่นั้นอย่างชัดเจน

เรื่องราวเมื่อหกเดือนก่อนยังคงตามหลอกหลอนเคเลบอยู่จนถึงขณะนี้

และนั่นก็ทำให้เกิดเงามืดฉายวูบขึ้นมาในดวงตาสีเขียวเข้มของชายผู้มาเยือน ก่อนที่จะหายไปอย่างรวดเร็ว

“นายดูเปลี่ยนไปกว่าที่ฉันจำได้” เขากระซิบ “นายดู -- ทุกข์ทรมานอย่างน่าเหลือเชื่อ”

ทุกข์ทรมานอย่างน่าเหลือเชื่อ

คำพูดนั้นทำให้เคเลบหวนนึกถึงอดีตของตนขึ้นมา  มันทำให้เขานึกถึงตนเองเมื่อหกเดือนก่อนที่ยังคงแข็งแรง และเต็มไปด้วยพลังอันมากมาย --

และหกเดือนที่ผ่านมา ก็เกิดอะไรขึ้นมากกว่าที่เขาคาดฝันไว้

เคเลบหลับตาลงแน่น ริมฝีปากหยักพ่นควันสีเทาออกมาอย่างช้าๆ ราวกับว่าความทรงจำทั้งหมดนั้นกำลังไหลผ่านเข้ามาในห้วงความคิดของเขาอย่างรวดเร็วและรุนแรง

“ฉันเสียใจ” เขาได้ยินเสียงตนเองเอ่ยออก -- มาอย่างช้าๆและชัดเจน -- “ฉันเสียใจต่อสิ่งที่ฉันทำเอาไว้เมื่อหกเดือนก่อน”

คำสารภาพนั่นราวกับจะกระแทกเข้าไปในใจ ทั้งเขาและชายตรงหน้า

ยิ่งเคเลบเจ็บปวดมากเท่าไหร่ ชายคนนี้ก็ดูทุกข์ทรมานมากขึ้นเท่านั้น -- พวกเขาช่างเหมือนกันราวกับฝาแฝด

ราวกับเป็นคนคนเดียวกัน!

“นายลงมือฆ่า  นายออกแรงทุบด้วยท่อนไม้ นายฟาดมันลงมาไม่ยั้งมือ นายหวดมันเสียเต็มแรง! --” เสียงทุ้มดังก้องกังวานไปทั่วทั้งห้อง

ชายร่างสูงสูดลมหายใจเข้าลึก ใบหน้าที่เอนไปทางข้างหนึ่งส่องกระทบเข้ากับแสงจันทร์มากขึ้นกว่าเดิม จนเผยให้เห็นกะโหลกที่ยุบผิดสัดส่วน ราวกับถูกทุบจนกระดูกแหลก “นายตั้งใจที่จะทำให้อีกฝ่ายตายคาที่ เคเลบ! นายไม่ได้เหลือโอกาสให้อีกฝ่ายมีชีวิตรอดในคืนนั้นเลย!

คราวนี้เป็นเคเลบเองที่รู้สึกเจ็บปวด ราวกับคำพูดนั่นทิ่มแทงเข้าไปลึกถึงเนื้อใน

เสียงทุ้มต่ำของชายร่างสูงแผ่วหายไป จนเกิดเป็นความเงียบขึ้นระหว่างพวกเขาทั้งสอง

เคเลบยังคงนั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้บุนวมตัวนั้นด้วยท่าทีสงบนิ่ง ใบหน้ายังคงแหงนเงยขึ้น จ้องมองอีกฝ่ายด้วยดวงตาอันนิ่งเฉย หากแต่รอบนี้เขาไม่สูบยาสูบอีกต่อไป เขาทำเพียงถือมันไว้ในมือเท่านั้น

“ฉันไม่เคยลืมเลย ว่าทำอะไรลงไป” เคเลบเอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบา

“และนายพูดถูกทุกอย่าง  คืนนั้นฉันตั้งใจลงมือฆ่า -- อย่างเจตนา และอย่างไม่ลังเล --  ไม่มีคืนไหนที่ฉันลืมว่าฉันได้ทำอะไรลงไป” เคเลบพูดต่อไป โดยไม่หลบสายตาอีกฝ่าย -- คล้ายจะพูดกับตนเองมากกว่าร่างในเงามืดตรงหน้า

 ไม่มีคืนไหนที่ฉันลืมว่าฉันได้ทำอะไรลงไป

ในคืนที่หมอกลงหนาคืนนั้น --

คืนเดียวกันกับที่พวกเขาวิ่งหนีตาย พยายามเอาชีวิตรอด ทั้งเขา แมรี่โกลด์ และ --

ลูกชายของเขา

พวกเขาพยายามวิ่งหนีไปในความมืด สองเท้าออกวิ่งเข้าไปในป่าลึก ก้อนหินอันแหลมคม และขวากหนามของหมู่แมกไม้ทิ่มแทงไปตามผิวหนังเป็นทางยาว จนเลือดไหลซึมไปทั่วทั้งร่าง และกลิ่นเลือดนั่นก็ยิ่งทำให้เสียงปิศาจร้ายที่ตามไล่ล่ามาจากทางด้านหลังนั้นดังใกล้เข้ามามากขึ้น

เคเลบจำได้ว่าเขาร้องเรียกแมรี่โกลด์ และลูกชายของเขาดังลั่น แวบหนึ่งเขาคิดว่าตนคลาดกับพวกเขาทั้งสองในความมืด สองหูไม่ได้ยินเสียงอะไรนอกจากเสียงฝีเท้าที่ไล่ตามมาจากทางด้านหลัง และเสียงหัวใจเต้นอันดังลั่นของตนเองเท่านั้น

ในที่สุดเคเลบก็หาพวกเขาได้สำเร็จ

แมรี่โกลด์วิ่งมาหาเขาจากความมืดพร้อมกับลูกชายที่ดูอ่อนแรง ร่างเล็กๆของเด็กชายเปียกโชกไปด้วยเหงื่อกาฬ สองขาเล็กๆนั่นสั่นระริก และแทบจะล้มลงกับพื้นได้ทุกขณะ เนื้ออ่อนยังคงบอบช้ำ และห้อเลือด จากการที่ถูกเขาทุบตีไป

ลูกเขาวิ่งไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว -- เส้นทางที่พวกเขาต้องวิ่งมานั้นยาวไกลเกินไป และเรื่องราวที่ต้องเผชิญมาตลอดทางนั้นก็หนักหนาเกินไปสำหรับเด็กเล็ก

ริเวอร์ทนพิษบาดแผล และต่อสู้กับสัญชาตญาณเดรัจฉานในตัวเองได้ไม่นานกว่านี้อีกแล้ว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่