ผมจะบวช 1 ตอนกูจะบวช

กระทู้สนทนา
สวัสดีครับ มิตรรักนักอ่านทุกท่าน
ผม"ตรัยโศกชิโร่" เอาผลงานมารบกวนสายตาทุกท่านอีกแล้วครับผม
ผลงานชิ้นนี้เป็นนิยายเรื่องแรกที่ผมแต่ง
เรื่องแรกจริงๆครับ แรก แร๊ก แรกเลย
เป็นนิยายเรื่องยาวนะครับ แบ่งเป็นตอนๆ
แต่ก็นั่นล่ะครับ ส่วนใหญ่เรื่องที่ผมแต่งจะหนีไม่พ้นเรื่องที่เกิดขึ้นในวัดวาอาราม
ยังไงก็รบกวนท่านผู้อ่านและผู้รู้ทุกท่าน ช่วยแนะนำให้คำวิจารณ์ เพื่อที่ผมจะเก็บเกี่ยวเอาไปปรับปรุงผลงานในเรื่องต่อๆไปด้วยนะครับ

บทที่1 : กูจะบวช


"ฮัลโหลพลอย ทำไมทำกับเราแบบนี้ เราทำอะไรผิดมีอะไรคุยกันก่อนสิ ไม่ใช่ว่าอยู่ๆ ก็บอกเลิกกันแบบนี้"
ไม้ตัดพ้อแฟนสาวที่คบกันมากว่าห้าปี แต่อยู่ๆเธอก็ขอตัดความสัมพันธ์แบบไม่ทันได้ตั้งตัว
"ไม้ไม่ต้องถามหาเหตุผลกับพลอยหรอก พลอยก็ไม่รู้จะบอกยังไง แค่รู้สึกว่าเราไม่ใช่แค่นั้นเอง ขอร้องเถอะ อย่าโทรมาอีก" คลึก!! ตู๊ด..ตู๊ด..ตู๊ด..

พลอยพูดแค่นั้นก็วางสายไป ไม้พยายามติดต่อกลับไปหลายครั้งแต่ก็ไม่เป็นผล ปลายสายไม่สามารติดต่อได้
"แค่นี้เหรอวะ!! แค่นี้เองเหรอกับเวลาหลายปีที่คบกัน ง่ายๆแบบนี้เนี่ยนะ"
ไม้นั่งร้องไห้น้ำตาไหลนองหน้า นึกถึงแต่เรื่องเก่าๆยิ่งนึกก็ยิ่งทำให้ภายในหัวใจปวดร้าวจนแทบบ้า จากนั่งก็เปลี่ยนเป็นนอน และยังคงร้องไห้อยู่อย่างนั้นจนหลับไป

กริ๊ง.... กริ๊ง... เสียงโทรศัพท์ปลุกไม้ให้งัวเงียลุกขึ้นนั่ง
"ฮัลโหล" ไม้รับสายด้วยอาการมึนงง
"มืงอยู่ไหนวะ ทำไมสายป่านนี้แล้วยังไม่มาทำงาน แล้วไหงเสียงเป็นแบบนี้วะยังไม่ตื่นเหรอ เหลวไหลนะมืงเนี่ย เมื่อคืนเมาหนักรึไง งานการไม่ทำแล้วใช่มั๊ย "
เสียงปลายสายยิงคำถามรัวเป็นชุดราวกับปืนกล แถมด่าต่อท้ายแบบไม่คิดจะฟังคำตอบ
"พลอยทิ้งกูแล้วว่ะ กูไม่อยากทำอะไรเลยตอนนี้ โฮ....." ไม้ตอบกลับปลายสายได้เพียงเท่านั้นก็ปล่อยโฮดังลั่น จนปลายสายถึงกับเหวอ
"อ้าว อ่ะ เออๆ งั้นเดี๋ยวกูบอกหัวหน้าให้ว่ามืงไม่สบาย ขอลาป่วย ตอนเที่ยงก็เดี๋ยวกูแวะเข้าไปหาละกัน มืงอย่าเ-ือกคิดสั้นล่ะ แค่นี้นะ"

ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง ไม้ยังคงนั่งที่เดิมไม่ขยับไปไหน ในหัวคิดวกวนแต่เรื่องแฟนสาว และคำถามว่าทำไม ทำไม อยู่แบบนั้น สุดท้ายก็นั่งกอดเข่าสะอื้นตัวโยนอีกครั้ง
ประมาณเที่ยงกว่าๆ ฝ้าย เพื่อนที่สนิทกันตั้งแต่เด็กของไม้ก็เดินทางมาถึงห้อง พร้อมหอบหิ้วอาหารมาเต็มสองมือ

"โอ้โห เพื่อนกู ไหงสภาพมืงดูแย่แบบนี้วะ นี่ถ้ามีปืนกูยิงแสกหน้ามืงทันทีเลยนะ นึกว่าซอมบี้"
ฝ้าย พูดขึ้นเมื่อเห็นสภาพเพื่อนรัก ที่ในเวลานี้ไม่เหลือเค้าความเป็นหนุ่มออฟฟิศที่แสนสมาร์ท ผมที่เคยหวีเรียบร้อย ยุ่งเหยิงเป็นรังนก ปากซีดริมฝีปากแห้ง ลอกเป็นแผ่น ตาคล้ำบวมเปล่งมีน้ำตาคลอ ใบหน้ามีแต่คราบน้ำตาและความทุกข์

"เอางี้ ก่อนอื่นมืงลุกไปอาบน้ำอาบท่า แล้วมากินข้าวก่อนอย่างอื่นค่อยว่ากัน"
ฝ้าย บอกเพื่อนพลางเดินเข้าไปในครัว จัดแจงเอาอาหารที่นำมาจัดใส่จาน
"วันนี้กูลาครึ่งวัน กะมาอยู่เป็นเพื่อนมืงนี่แหละ"
"กูไ่ม่อยากทำอะไรทั้งนั้น ไม่อยากกินอะไรทั้งนั้น กูอยากตาย...โอ๊ย!!"
ไม้ พร่ำเพ้อยังไม่ทันจบ หัวก็สะบัดด้วยแรงฝ่ามือที่ฟาดลงมาอย่างหนักหน่วง

"ไอ้-่านี่ กูบอกให้ไปอาบน้ำแล้วมากินข้าว อย่างอื่นค่อยว่ากัน เดี๋ยวปั๊ด"
ฝ้าย บอกเพื่อนหลังจากตบกบาลไปหนึ่งที พร้อมกับเงื้อมือขึ้นหมายจะซ้ำอีกรอบ
"ทำเชี่ยไรเนี่ย กูเศร้าอยู่นะโว้ย มือผู้หญิงรึเปล่าวะ หนักหยั่งกะอุ้งตีนหมี"
ไม้โอดครวญพลางเอามือลูบหัว
"มืงเศร้าแต่กูหิว ไปอาบน้ำซะให้ไว ก่อนที่กูจะฟิวส์ขาด"
ฝ้ายตีหน้านิ่งแล้วบอกเพื่อนด้วยเสียงนิ่งๆแต่เฉียบขาด

ผ่านไปกว่าครึ่งชั่วโมง ไม้ก็กลับออกมาในสภาพที่ดูดีขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย
"มาๆ กินข้าวก่อน แล้วค่อยคุยกัน"
ฝ้ายพูดพลางเลื่อนจานอาหารไปตรงหน้าเพื่อน
"กูไม่อยากกิน กูกินไม่ลง เฮือก!! เออกินก็ได้วะ" ไม้พูดไม่ทันจบประโยค ก็ต้องสะดุ้งและยอมกินอาหารตรงหน้าอย่างฝืนทน เพราะสายตาเพื่อนสาวที่แลมานั้นแฝงความมาดร้ายอย่างที่สุด หากขัดคำสั่งแม่คุณคงประเคนฝ่ามือยมฑูตใส่หัวเค้าอีกอย่างไม่ต้องสงสัย

"ดีมาก ทนๆกินไปเหอะ ไม่อยากก็ต้องกิน" ฝ้ายพูดพลางตักอาหารของตัวเองใส่ปากบ้าง
เมื่อจัดการอาหารเรียบร้อยแล้ว ทั้งคู่ก็ย้ายไปนั่งที่โซฟา หลังจากเงียบไปสักพักฝ้ายก็เอ่ยขึ้น
"แล้วแบบนี้มืงจะเอายังไงต่อ"
"กูก็ยังไม่รู้เลย ตอนนี้กูทั้งมึน ทั้งไม่อยากทำอะไรทั้งนั้น" ไม้ตอบเพื่อนสาว

กริ๊ง.... กริ๊ง.......เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ทำให้ทั้งสองชะงัก ไม้มองดูชื่อผู้โทรเข้าก็น้ำตาคลออีกครั้ง
"ครับแม่" ไม้รับโทรศัพท์พยายามทำเสียงให้เป็กปกติ พร้อมลุกออกไปคุยตรงระเบียง ฝ้ายได้แต่มองตามด้วยสายตาเป็นห่วง ประมาณสิบนาที ไม้กลับเข้ามานั่งที่โซฟาข้างๆฝ้าย พร้อมเอื้อนเอ่ยประโยคที่พอเพื่อนสาวได้ยินถึงกับงงเป็นไก่ตาแตก

"กูจะบวช" ไม้พูดด้วยใบหน้านิ่ง แต่สายตายังคงเต็มไปด้วยความเศร้า
"ดะ เดี๋ยวๆ เดี๋ยวนะ อะไรกูชักตามไม่ทัน เมื่อเช้ามืงบอกว่าอกหักอยากตาย พอตอนเที่ยงก็ยังบอกอยากตาย ล่าสุดเมื่อกี้มืง
บอกยังคิดไม่ออก พอคุยกับแม่แป๊บเดียวกลับเข้ามาบอกกูว่าจะบวช ยังไงเนี่ย" ฝ้ายละล่ำละลักถามเพื่อนหนุ่มออกไป
"เออน่ะ พรุ่งนี้กูจะเข้าไปแจ้งหัวหน้า ขอลางาน มืงด้วยนะ"
ไม้พูดพร้อมชายตามองเพื่อนสาว

"อะไร กูจะลาทำไม กูบวชไม่ได้ กูเป็นสตรีนะสตรี!!" ฝ้ายแหวใส่ไม้เมื่อได้ยินเพื่อนเอ่ยปากว่าตนก็ต้องลาด้วย
"บ้าแล้ว ที่ให้ลาเพราะมืงต้องไปช่วยงานบวชกู และอีกอย่างมืงต้องไปถือหมอนให้กูด้วย แม่กูบอกมา เดี๋ยวแม่กูก็โทรหาเองแหละ"
พูดจบ โทรศัพท์ฝ้ายก็สั่นดัง อืด อืด เมื่อดูว่าใครโทรเข้ามา เพื่อนสาวก็โพล่งขึ้น
"โห้ ยังกะนัดกันไว้บอกปุ๊บโทรปั๊บ"
ฝ้ายบ่นเสร็จก็กดรับสาย

"ค่ะ คุณป้า..ค่ะ ว่างคุยค่ะ...คะ!!อะไรนะคะ!! เปล่าค่ะๆ สะดวกค่ะ ค่าๆได้ค่ะ ค่ะสวัสดีค่ะ"
ฝ้ายวางโทรศัพท์พร้อมทำหน้าเหมือนวิญญาณหลุดออกจากร่าง ด้วยความที่สนิทกันตั้งแต่เด็ก ฝ้ายจึงมิอาจปฎิเสธคำขอของอีกฝ่ายได้ ซ้ำอีกฝ่ายยังเป็นหญิงที่เธอเคารพเสมือนแม่อีกคนด้วย

สามวันต่อมาหลังจากที่ทำเรื่องลากับทางต้นสังกัดเรียบร้อย ทั้งคู่ก็เดินทางมาถึงจังหวัดเป้าหมาย ซึ่งถือว่าเป็นบ้านเกิดของคนทั้งสอง ตอนนั้นเวลาประมาณตี 2 ครึ่ง บริเวณสถานีรถไฟไม่ค่อยมีคนเท่าใดนัก นั่งรออยู่ที่สถานีรถไฟประมาณครึ่งชั่วโมง รถกระบะกลางเก่ากลางใหม่ก็แล่นเข้ามาจอดบริเวณด้านหน้าสถานี ไม้เห็นก็จำได้ทันที สะกิดบอกเพื่อนสาวแล้วลุกเดินเข้าไปหาชายแก่ที่กำลังก้าวลงจากรถ

"ลุงทอง สวัสดีครับ"ไม้เอ่ยทักพร้อมยกมือขึ้นสวัสดีตามมารยาท
"สวัสดีค่ะลุงทอง" ฝ้ายเองก็ปฎิบัติเช่นเดียวกัน
"เออ ๆ ไหว้พระ เถอะลูก มาถึงกันนานแล้วเรอะ ขอโทษทีรถมันเก่าไปหน่อยเลยวิ่งเร็วไม่ได้"
ชายแก่ รับไหว้พร้อมขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่
"โธ่ลุงทองคะ ตี 2 แบบนี้จะให้หนูไปไหว้พระที่ไหนกันคะ ถ้าจะให้ไหว้คงต้องรอห 6 โมงเช้านู่นแหละค่า คิคิ" ฝ้าย พูดหยอกลุงทองอย่างทะเล้น
"ไอ้เด็กคนนี้นี่ เดี๋ยวจับตีก้นซะเลย แม่พอโตเป็นสาวเข้าหน่อยห่างก้านมะยม ทำเป็นทะลึ่งนะเรา"
ชายแก่เอ็ดตะโรใส่หญิงสาวดังลั่น แต่มิใช่เพราะโกรธเคืองแต่อย่างใด หากเป็นไปด้วยความเอ็นดู
พูดจาทักทายกันพอหอมปากหอมคอ คนทั้งสามก็พากันขึ้นรถ เพื่อออกเดินทางไปยังที่หมายนั่นคือบ้านของไม้นั่นเอง

เวลาเกือบๆ 6 โมงเช้า ทั้งหมดก็ถึงทางเข้าหมู่บ้าน แสงอรุโณทัยค่อยๆ ฉาบขอบฟ้าทีละนิด เบื้องล่างเป็นภาพทุ่งนาตัดกับหมอกยามเช้าทั้งสองข้างทาง เป็นภาพที่ไม่ว่ามนุษย์ผู้ที่แบกรับความทุกข์ระทมไว้แค่ไหน ก็สามารถปลดเปลื้องความทุกข์นั้นออกจากใจได้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง แม้กระทั่งไม้ ชายหนุ่มที่เมื่อไม่กี่วันที่แล้วยังบ่นว่าอยากตายอยู่ก็ตาม

สายของวันนั้น ป้าละไมแม่ของไม้ก็พาลูกชายหัวแก้วหัวแหวน เข้าไปหาเจ้าอาวาสเพื่อเรียนให้ท่านทราบถึงจุดประสงค์ที่ต้องการ เจ้าอาวาสมองดูชายหนุ่มอย่างพินิจพิเคราะห์อยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ยกับชายหนุ่มด้วยเสียงอันเปี่ยมด้วยเมตตา

"บวชหนีรักล่ะสิฮึ" ท่านเอ่ยด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แต่กลับทำให้ชายหนุ่มหน้าเจื่อนลง
"แล้วคิดว่าจะบวชกี่วันกันล่ะ"
ท่านเอ่ยถามต่อ
"คือผมว่าจะบวชซัก 9 วัน.."
ไม้พนมมือขึ้นแล้วเอ่ยตอบไปแต่ยังไม่ทันจบประโยค ท่านเจ้าอาวาสก็พูดสวนขึ้นทันควัน

"บางคนก็บวช 7 วัน บางคนก็บวช 9 วัน คิดแค่ว่าบวชให้พ่อแม่แค่นั้นก็พอแล้ว แค่นั้นท่านก็ได้เกาะชายผ้าเหลืองแล้ว แต่ไม่เคยคิดว่าบวชแล้วตนเองได้อะไร หากบวชเพียงเวลาสั้นๆ บางคนยังครองผ้าไม่เป็นด้วยซ้ำ ไม่ต้องไปถามถึงบทสวดมนต์ต่างๆเลยว่าสวดได้มั๊ย"
เจ้าอาวาสเอ่ยพลางรินน้ำชาในกา ไม้นิ่งไปสักครู่ท่านก็เอ่ยต่อ

"เอาอย่างนี้มั๊ยล่ะ บวชไปก่อน ลองอยู่ในผ้าเหลืองไป ดูซิว่าผ้าเหลืองจะช่วยกำจัดความทุกข์ที่โยมยึดอยู่ได้มั๊ย เวลาน่ะช่วยบรรเทาได้ทุกอย่างนั่นแหละ แต่อยู่ที่เราจะใช้เวลานั้นเพื่อทำอะไร หากใช้เวลานั้นหมดไปกับการคิดถึงแต่อดีต จวบจนวันสุดท้ายของชีวิต ก็มิอาจตัดความทุกข์นั้นพ้นหรอกนะ ลองกลับไปคิดดูอีกที พรุ่งนี้ค่อยกลับมาหาอาตมาใหม่ เรื่องจะบวชนั้น อาตมาไม่ห้ามหรอกนะ บวชกี่วันก็ถือว่าบวชทั้งนั้น แต่ที่ให้กลับไปคิด คือบวชแล้วโยมได้อะไรจากการบวชนั้น"
หลังจากกราบลาเจ้าอาวาสแล้ว ทั้งป้าละไมและไม้ก็เดินทางกลับบ้านซึ่งอยู่ไม่ห่างจากวัดเท่าใดนัก

เมื่อถึงบ้านก็พบกับฝ้ายมานั่งรออยู่ก่อนแล้ว ไม้ยิ้มให้แล้วเดินขึ้นบ้านไปโดยไม่พูดอะไร
"เป็นไงบ้างคะคุณป้า" ฝ้ายเอ่ยปากถามป้าละไม
"ท่านให้เจ้าตัวเค้ากลับมาคิดดูอีกคืนนึง ว่าจะบวชกี่วัน เออว่าแต่เรื่องของไอ้หนูกับแฟนมันนี่ยังไง เล่าให้ป้าฟังหน่อย"
ไอ้หนู คือชื่อที่ป้าละไมใช้เรียกไม้
"คือ...ที่จริงพลอยเค้ารักไม้มากนะคะ แต่มีความจำเป็นบางอย่าง พลอยเค้าเลยต้องทำแบบนี้"
ฝ้ายเล่าเรื่องทุกอย่างให้ป้าละไมฟังโดยไม่ปิดบัง แน่ล่ะที่บอกว่าเรื่องทุกอย่าง เพราะฝ้ายนั้นรู้ดีถึงสาเหตุที่พลอยต้องบอกเลิกไม้ และฝ้ายก็ไม่สามารถบอกไม้ได้เช่นกัน
"โธ่หนูพลอย.." เมื่อรับรู้เรื่องทั้งหมดป้าละไมได้แต่ถอนหายใจแล้วรำพึงกับตนเอง

ทางด้านไม้ ได้แต่นั่งอยู่ในห้องเงียบๆในหัวคิดวนเวียนถึงคำพูดของเจ้าอาวาส กับเหตุการที่ตนเองถูกบอกเลิกสลับกันไปมา นั่งคิดวนเวียนอยู่แบบนั้นจนเวลาล่วงเลยมาถึงตอนเย็นโดยไม่รู้ตัว

"ไอ้หนู  ไอ้หนูลูกมากินข้าวได้แล้วแม่ทำเสร็จแล้วเดี๋ยวจะเย็นซะก่อนลูกมา"
เสียงป้าละไมร้องเรียกไม้ให้ไปกินข้าวเย็น
"ผมไม่.." ไม้ตั้งใจจะปฎิเสธผู้เป็นแม่ไปแต่กลับหวนคิดถึงคำพูดของฝ้ายที่บอกเค้าตอนนั่งรถไฟมาด้วยกัน
"ไม้ ตอนนี้มืงจะทำตัวโศกเศร้าเคล้าน้ำตาแค่ไหนก็ได้ก็ไม่ว่า กูเข้าใจมืง แต่ถ้ามืงถึงบ้านแล้วอย่าแสดงอาการแบบนี้ให้ป้าละไมแกเห็น แกจะไม่สบายใจเอา ยังไงก็คิดถึงแม่มืงเอาไว้หน่อย กูขอแค่นี้มืงให้กูได้มั๊ย"  คำพูดนั้นทำให้ไม้เปลี่ยนใจ
"ครับแม่เดี๋ยวผมลงไปครับ"

เมื่อเดินลงมาข้างล่าง ไม้ต้องแปลกใจเมื่อเห็นกับข้าวหลายอย่างอยู่บนโต๊ะ แต่ที่แปลกใจกว่าคือมีจานข้าววางอยู่สามชุด
"อ้าว ใครมากินข้าวกับเราหรือครับแม่ ลุงทองเหรอ"
ไม้เอ่ยถามพร้อมกับเลื่อนเก้าอี้เพื่อนั่งลง
"ไม่ใช่ลุงทอง ลุงฝ้ายเองหลานรัก"
เสียงตอบเจื้อยแจ้วแกมยียวนทำให้ไม้ต้องหันไปทางต้นเสียงอย่างแปลกใจ
"อ้าว ไหงมากินข้าวบ้านกูอ่ะที่บ้านมืงไม่มีข้าวกินว่างั้น โอ๊ยแม่ตีผมทำไมเนี่ย"
ไม้ตั้งคำถามได้แค่นั้นก็โดนทัพทีเขกหัว

"เอ้..ไอ้หนูนี่แม่สอนตั้งกี่ครั้งแล้วว่าให้พูดจากับเพื่อนให้ดีๆหน่อย หนูฝ้ายน่ะเค้าเป็นผู้หญิงนะ เรานี่เดี๋ยวเหอะ"
"เดี๋ยวเหอะไอ้หนู เดี๋ยวเหอะ คิกคิก"
ฝ้ายล้อเพื่อนหนุ่มอย่างสนุกสนาน แต่แล้ว โป้ก!!
"คุณป้า.." ฝ้ายเองก็โดนทัพพีสยบลิงเช่นกัน
"ทั้งสองคนนี้นี่ จริงๆเล้ย มาๆกินข้าวๆ เดี๋ยวจะเย็นซะก่อน"
ป้าละไมพูดพร้อมตักข้าวให้คนทั้งสอง

ค่ำนั้น ที่บ้านของไม้ มีเสียงพูดคุยกันเฮฮา เป็นภาพที่ไม่ได้เกิดขึ้นนานหลายปีตั้งแต่ทั้งไม้และฝ้ายเรียนจบ

จบบท....
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่