บทที่ 2 อยู่วัด 7 วัน
วันรุ่งขึ้น หลังจากเสร็จสิ้นภาระกิจในตอนเช้า ป้าละไมได้พาไม้กลับไปพบเจ้าอาวาสอีกครั้ง เพียงแต่วันนี้ฝ้ายขอติดตามไปด้วย ซึ่งทั้งป้าละไมและไม้ ก็มิได้ขัดข้องแต่อย่างใด เมื่อพบท่านแล้วทำความเคารพกันตามมารยาท ท่านเจ้าอาวาสก็ได้เอ่ยทักขึ้นก่อน
“ว่ายังไงล่ะโยม คิดได้แล้วรึ วันนี้หน้าตาดูแจ่มใส สายตาดูแน่วแน่กว่าเมื่อวานนะ”
ท่านพูดเสร็จแล้วก็อมยิ้มมุมปาก
“ครับ ผมคิดไตร่ตรองดีแล้วครับหลวงพ่อ ผมจะบวชจนรับกฐินนั่นแหละครับ”
ไม้พนมมือแล้วตอบอย่างแน่วแน่ คำตอบนั้นทำเอาป้าละไมและฝ้ายตกตะลึง เงียบกริบพูดไม่ออกไปชั่วครู่
“แน่ใจแล้วรึ นานเลยนะ” เจ้าอาวาสเอ่ยถามอีกครั้ง พลางหยิบกระโถนขึ้นมา แล้วบ้วนน้ำหมากลงไป
“ครับ ผมแน่ใจครับ เรื่องงานก็ไม่ต้องกังวลด้วย ผมโทรคุยกับหัวหน้าแล้ว”
ไม้ตอบเจ้าอาวาสแล้วก็ปรายตามองไปทางเพื่อนสาว
“เอ่อ หลวงตาเจ้าคะ” ฝ้ายเอ่ยขึ้น
“ที่บอกว่าจนรับกฐินนี่ กี่วันเจ้าคะ”
เมื่อจบคำถามของฝ้าย เกิดเสียงหัวเราะขึ้นเล็กน้อยในวงสนทนา
“ก็กฐินจะจัดขึ้นหลังออกพรรษาแล้วโน่นแหละ” เจ้าอาวาสไขข้อข้องใจ
“งั้นไม้ก็ต้องบวช..”ฝ้ายเปรยขึ้นแล้วมองไปทางป้าละไม
“สามเดือนเป็นอย่างต่ำแหละ”
ไม้ชิงตอบให้ก่อนโดยไม่ลังเล
“จะไหวเหรอลูก ลางานได้นานขนาดขั้นเลยหรือ”
ป้าละไมถามลูกชายด้วยความเป็นห่วง
“ครับแม่ ผมคิดดีแล้ว ก็เหมือนที่หลวงพ่อท่านบอกไว้ บวชกี่วันก็นับว่าเป็นการบวชอยู่แล้วไม่ต้องห่วง”
ไม้หยุดนิดนึงแล้วจึงกล่าวต่อ
“แต่ไหนๆก็จะได้บวชทั้งที ก็ขอบวชนานๆหน่อย ลองศึกษาทางธรรมดูบ้างก็ไม่เสียหายนี่ครับ”
ไม้ตอบพลางยิ้มอ่อนให้แม่ ป้าละไมเมื่อได้ยินคำตอบจากลูกชาย ก็สุดจะกลั้นน้ำตาไว้ได้ จำต้องปล่อยให้ไหลรินออกมาด้วยความปิติ
“เอ้า ถ้าอย่างนั้น โยมจดชื่อ นามสกุล วันเดือนปีเกิดของโยมให้อาตมาด้วยนะ จะเอาไปให้ท่านเจ้าคณะตำบลท่านตั้งฉายาให้”
เจ้าอาวาสพูดแล้วส่งกระดาษกับปากกาให้
“แล้วก็นี่นะ หนังสือมนต์พิธี โยมต้องท่องขานนาคให้ได้คล่องแคล่ว เพื่อเวลานั้นมาถึงจะได้ไม่ติดขัด"
ไม้ยกมือขึ้นพนมแล้วรับหนังสือจากมือเจ้าอาวาส แล้วพลิกดูผ่าน ๆ
“ถ้าอย่างนั้นตอนนี้ก็กลับไปเตรียมเสื้อผ้ามานอนที่นี่ เริ่มเอาคืนนี้เลย”
เจ้าอาวาสบอกยิ้มๆ
“ผมต้องนอนวัดด้วยเหรอครับ” ไม้ถามกลับหน้าตาซีดเผือด เพราะไม่ทันได้ตั้งตัว
“เอ้า ก็ต้องนอนสิ นอนท่องขานนาคที่วัดนี่แหละ ติดขัดตรงไหน จะได้มีคนคอยช่วย”
“ละ แล้วต้องนอนกี่วันครับ”
ไม้ถามเสียงตะกุกตะกัก
“7 วัน” เจ้าอาวาสตอบด้วยเสียงเรียบๆ แต่ไม้นั้นรู้สึกว่าคำพูดนั่นมันช่างทำร้ายเขาเหลือเกิน 7วัน 7วัน 7 วัน ไม้ท่องวนเวียนไปมาในหัว เขาไม่ติดปัญหาอะไรเลยนอกจากเรื่องเดียวคือไม้นั้นเป็นคน “กลัวผี” อย่างที่สุด
ค่ำวันนั้น ไม้เดินทางมาที่วัดพร้อมแม่และเพื่อนสาวที่มาส่งที่หน้าวัด
“มีอะไรก็โทรหาแม่นะลูก”
ป้าละไมบอกลูกชายด้วยความเป็นห่วง
“ระวังนะ คืนนี้อาจจะ พี่ม้ายขาาาาา….”
ฝ้าย ทำท่าหลอกผีเหย้าเพื่อน เพราะรู้ว่าไม้นั้นกลัวผีอย่างมาก
“เดี๋ยวเหอะ อีกไม่นาน แกก็ต้องยกมือไหว้ชั้น คอยดูเถอะ”
ไม้ แหวใส่เพื่อนสาว แต่เปลี่ยนคำเรียกสรรพนามเพื่อนจากสมัยพ่อขุน เป็นแกกับฉันแทน เพราะแม่ยังอยู่
“เอ้า ก็แน่ล่ะสิ ก็มืง เอ้ยแกเป็นพระแล้วนิ ชั้นก็ต้องไหว้สิ”
ฝ้ายตอบกลับอย่างไม่ยอมเช่นกัน
“พอๆ ทั้งสองคนนี่ยังไงนะ จิกกัดกันตั้งแต่เด็กจนโต ไม่เบื่อรึไง”
ป้าละไมบ่นอย่างเอือมระอา แล้วเดินส่ายหน้านกลับบ้าน
“ฝ้าย” ไม้เรียกเพื่อนสาว เว้นจังหวะนิดนึงจึงกล่าวต่อ
“ยังไงก็ฝากดูแม่ด้วยนะ”
ไม้เอ่ยปากฝากฝังผู้เป็นมารดาไว้กับเพื่อนสาว
“อืม ไม่ต้องเป็นห่วง ตั้งใจท่องหนังสือล่ะ แล้วก็…”
ฝ้ายเงียบไปจนไม้ต้องเอ่ยถาม
“แล้วก็อะไร”
“ระวัง พี่ม้ายยยขาาาาา คิกคิก”
ฝ้ายเอ่ยตอบอย่างขบขันแล้วรีบวิ่งไปทางป้าละไมโดยไม่รอให้เพื่อนชายโวยใส่
ไม้ยิ้มให้กับความแก่นแก้วของเพื่อนสาวแล้วหันหลังกลับ มุ่งหน้าเดินเข้าวัดจุดหมายคือกุฏิเจ้าอาวาส
วัดที่ไม้จะมาบวชอยู่นี้ เป็นวัดเก่าแก่ของหมู่บ้าน ทางเข้ายังคงเป็นทางลูกรังทอดยาวไปจนถึงหน้าศาลา ทางเดินจากประตูวัดสองข้างทางรายล้อมด้วยต้นสัก เมื่อเดินเข้าไปประมาณหนึ่งร้อยเมตรจะเจอกับวิหาร
ซึ่งวิหารหลังนี้ก่อขึ้นด้วยศิลาแลงทั้งหลัง คนเฒ่าคนแก่บอกว่าอายุร่วมร้อยกว่าปี มองดูแล้วน่ากลัวใช่หยอกซะเมื่อไหร่
เมื่อก่อนวิหารหลังนี้ถูกปล่อยทิ้งไว้ พอมาถึงเจ้าอาวาสรูปปัจจุบัน ท่านได้บูรณะซ่อมแซมเพื่อใช้ดำเนินกิจกรรมทางศาสนา แต่ถึงจะบูรณะอย่างไร ความน่ากลัวนั้นก็มิได้ลดลงเลยแม้แต่น้อย โดยเฉพาะเสียงลือเสียงเล่าอ้างกันปากต่อปากว่าวิหารหลังนี้ ผีดุนัก
“ดีนะที่เราไม่ต้องมานอนที่วิหารนี้”
ไม้เอ่ยกับตัวเองเบาๆขณะเดินผ่านวิหารมุ่งหน้าไปกุฏิเจ้าอาวาส
เมื่อไปถึง พบกับพระรูปหนึ่งกำลังกวาดลานวัดอยู่ พอท่านเห็นก็เอ่ยทักขึ้น
“อ้าว มาแล้วรึ โยมไม้ใช่มั๊ย”
“ครับ เอ่อไม่ทราบหลวงพี่คือ..”
ไม้ตอบรับพร้อมเอ่ยถามชื่อพระรูปนั้น
“ผมชื่อพระสมพร เรียกว่าหลวงพี่พรก็ได้”
พระหนุ่มเอ่ยตอบพลางยิ้มให้
“เอ่อ ผมจะมาพบหลวงพ่อน่ะครับ พอดีท่านให้มานอนวัดตั้งแต่คืนนี้”
ไม้ เอ่ยปากบอกพระพรอย่างสำรวม
“รู้แล้วล่ะ เจ้าอาวาสท่านสั่งไว้แล้ว พอดีท่านติดกิจนิมนต์ เอาของไปเก็บก่อนสิแล้วมานั่งเล่นที่นี่ก่อนก็ได้”
พระหนุ่มเอ่ยยืดยาวแล้วก้มหน้าก้มตากวาดใบไม้ต่อไป
“เอ่อ..ไม่ทราบว่าผมนอนห้องไหนเหรอครับ”
ไม้ถามออกไปพลางขยับสายกระเป๋าเป้ที่ตอนนี้รัดบ่าจนปวดหนึบๆ
พระรูปนั้นหยุดกวาดแล้วมองหน้าไม้ ก่อนเอ่ยตอบออกมาอย่างเรียบๆ
“นอนในวิหารน่ะ”
คำตอบของพระรูปนั้นทำเอาไม้ถึงกับเก็บทรงไม่อยู่ แทบจะล้มทั้งยืนเสียให้ได้ โอ้แม่เจ้าไหงหวยมาออกแบบนี้ ไม่นะ ไม่เอาวิหารได้มั๊ย ไม้คร่ำครวญอยู่ในใจแล้วเอ่ยขึ้น
“หลวงพี่ครับ” ไม้เสียงสั่น
“หืม ว่ายังไงรึ”
พระหนุ่มเอ่ยถามสายตาบอกความกังขา
“เอ่อ ไม่มีกุฏิว่างเลยเหรอครับ แบบว่าเท่าที่ผมได้ยินมา วิหารนี้ค่อนข้างแรงเลยนะครับ”
ไม้เอ่ยถามด้วยความวิงวอน
“จะว่ามีก็มีอยู่นะ ว่างอยู่ 2 หลัง”
พระหนุ่มตอบแบบใช้ความคิด ทำให้ไม้ลิงโลด แต่ก็เพียงแค่เดี๋ยวเดียว
“หลังนึงอยู่สุดทางเดินโน่น”
พระหนุ่มตอบพลางชี้มือไปทางด้านข้างวัด
"ตอนนี้ใช้เก็บพวกโรงเย็นกับพวงหรีด ถ้าโยมจะนอนคืนนี้เลยคงเก็บของไม่ทัน"
ไม้คิดในใจหลังแรกผ่านไปไม่ต้องคิดเลยนอนไม่ได้อย่างแน่นอน
“แล้วอีกหลังล่ะครับ ไม่ได้ใช้เก็บของอะไรใช่มั๊ยครับ” ไม้ถามต่อด้วยความหวัง
“ไม่หรอกโยม อีกหลังน่ะว่างจริงๆ อยู่ทางโน้นโน่น ”
พระหนุ่มชี้มือไปอีกทาง ซึ่งเป้าหมายที่ปลายนิ้วชี้ไปคือกุฏิไม้หลังหนึ่งไกลออกไปพอสมควร แต่สิ่งที่ทำให้ไม้ใบ้กินก็คือสิ่งปลูกสร้างข้างๆกุฏิหลังนั้น นั่นคือเมรุเผาศพ ที่ตั้งตระหง่าน อึมครึมรับความสลัวยามค่ำอยู่ ไม้ใจหายวาบ ได้แต่รำพึงในใจ อะไรวะเนี่ย วัดเนื้อที่มีเป็นร้อยเอเคอร์ ไปสร้างกุฏิไว้ใกล้กับเมรุเพื่อ
“ถ้าโยมนอนที่นั่นได้ก็ไม่มีปัญหา ปัดกวาดนิดหน่อยก็นอนได้เลย แต่ว่า..”
แต่ว่า…เมื่อใดที่คำๆนี้ถูกเอ่ยขึ้นมา มั่นใจได้เลยว่าประโยคหลังจากนั้นไม่ใช่เรื่องดีอย่างแน่นอน
“ตะ แต่ว่าอะไรครับหลวงพี่”
ไม้ถามกลับไปทั้งที่ในใจก็เดาคำตอบได้อยู่แล้ว และยังมั่นใจด้วยว่าคำตอบนั้นถูกต้องร้อยเปอร์เซ็นต์
“แต่ว่า กุฏิหลังนั้น แรงกว่าวิหารอีกนะ”
นั่นไงล่ะกูว่าแล้ว ไม้ตะโกนในใจ
“เอาวะ!!” ไม้โพล่งออกมาเสียงดังหลังจากนิ่งเงียบไปอึดใจหนึ่งจนหลวงพี่ยังสะดุ้ง
“หลวงพี่ครับ ผมจะนอนในวิหารนี่แหละ ให้มันรู้กันไปเลย”
ไม้บอกหลวงพี่ด้วยสายตาแน่วแน่ กำหมัดแน่นแล้วเอ่ยต่อ
“ว่าแต่พอจะให้เด็กวัดมานอนเป็นเพื่อนผมสักคนได้ไหมครับ”
หลังจากจบประโยคนั้น ทั้งพระหนุ่มและโยมก็ได้แต่ยืนจ้องหน้ากัน ความเงียบเกิดขึ้นในบัดดล มีเพียงเสียงใบไม้ต้องลมดังซู่ๆ......
คืนนั้น หลวงพ่อกลับจากกิจนิมนต์มาประมาณทุ่มกว่าๆ ฝ่ายไม้ก็ได้เตรียมที่หลับที่นอนด้านในวิหาร
เข้าเปิดไฟทุกดวงที่มี ยึดเอาบริเวณหน้าพระประธานเป็นที่นอน โดยบอกกับตัวเองว่า นี่แหละคือชัยภูมิที่ดีที่สุด หากผีจะมาหลอกเราไม่ว่าจากมุมไหน ก็ต้องเกรงใจพระประธานมั่งล่ะวะ เมื่อจัดแจงเรื่องที่นอนเสร็จก็ทำการไหว้พระสวดมนต์ หลังจากนั้นก็เริ่มท่องคำขานนาค ตามที่หลวงพี่พรท่านบอกเอาไว้ จนช่วงเวลาประมาณสองทุ่มเด็กวันก็เข้ามาในวิหาร เพื่อแจ้งว่าหลวงพ่อเจ้าอาวาสท่านเรียกให้ไปพบ เมื่อไปถึงกุฏิหลวงพ่อ พบว่าท่านนั่งรออยู่ก่อนแล้ว
“เป็นยังไง พอจะนอนได้มั๊ย”
เจ้าอาวาสเอ่ยถามพลางจิบชาไปด้วย
“คิดว่าคงได้ครับ” ไม้ตอบท่านไปแต่ในใจยังคิดว่าได้ไม่ได้ก็ต้องนอนล่ะครับหลวงพ่อ
“เดี๋ยวให้ไอ้บาสเด็กวัดไปนอนด้วยก็แล้วกัน เห็นว่ากลัวนิ” ท่านเอ่ยบอกแล้วยิ้ม
“ครับ ขอบคุณครับ” ไม้ตอบกลับอย่างใจชื้นขึ้น
“พรุ่งนี้ตื่นตีสี่นะ เช้าก็ออกไปช่วยเด็กวัดถือของตอนพระบิณฑบาต”
“ครับได้ครับ” ไม้ตอบรับอย่างว่าง่าย
เมื่อคุยธุระเสร็จแล้ว ไม้ก็ขอตัวกลับเข้าวิหารเพื่อท่องหนังสือต่อ เจ้าอาวาสก็ยิ้มแล้วพยักหน้าให้
“อุกาสะ วันทามิภันเต สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะเมภันเต….แล้วอะไรต่อวะ ขะมะถะเมภันเต…เอ…”
ไม้ตั้งหน้าตั้งตาท่องพยายามใช้ความจำอย่างเต็มที่ แต่มันยาก ยากกว่าสูตรบัญชีซะอีก แค่วรรคแรกก็นึกไม่ออกแล้ว ในขณะขั้นเอง
“มะยากะตัง ปุญญัง สามินา..”
“ เออใช่!!” ไม้รำพึงกับตัวเอง
“ทำไมแค่นี้จำไม่ได้วะ มะยากะตะ… เดี๋ยว!!” ไม้ขนลุกตั้งแต่กลางกบาลจนถึงตาตุ่ม ใครกัน เมื่อกี้เสียงใคร
เกิดความเงียบขึ้นในบัดดล เสียงใบสักแห้งล่วงลงกระทบหลังคาวิหารแล้วไหลลงมาสู่เบื้องล่างดังแกรก กราก
เหงื่อกาฬเริ่มซึมออกฝ่ามือ
“วิหารหลังนี้น่ะ เฮี้ยนมาก!!” อยู่ๆคำพูดนั้นก็ลอยเข้ามาในมโนสำนึก ไม้ได้แต่นั่งนิ่งอยู่แบบนั้นไม่กล้ากระดิกตัวไปไหน ผ่านไปกี่นาทีไม่อาจรู้ได้ แต่ความรู้สึกของไม้ราวกับว่าเวลาผ่านไปสักชาตินึง ขณะนี้ทั้งตัวและสมองของไม้เครียดเขม็ง และตอนนั้นเอง ปัง!! หน้าต่างไม้สักขนาดความสูงสองเมตร กว้างกว่าเมตรครึ่ง ขนาดตอนเปิดปิดยังต้องใช้สองมือช่วยเพราะความหนัก กลับปิดปังอย่างแรง ราวกับมีมืออันทรงพลังผลักเพื่อปิดมัน
ผมจะบวช 2 อยู่วัด7วัน
วันรุ่งขึ้น หลังจากเสร็จสิ้นภาระกิจในตอนเช้า ป้าละไมได้พาไม้กลับไปพบเจ้าอาวาสอีกครั้ง เพียงแต่วันนี้ฝ้ายขอติดตามไปด้วย ซึ่งทั้งป้าละไมและไม้ ก็มิได้ขัดข้องแต่อย่างใด เมื่อพบท่านแล้วทำความเคารพกันตามมารยาท ท่านเจ้าอาวาสก็ได้เอ่ยทักขึ้นก่อน
“ว่ายังไงล่ะโยม คิดได้แล้วรึ วันนี้หน้าตาดูแจ่มใส สายตาดูแน่วแน่กว่าเมื่อวานนะ”
ท่านพูดเสร็จแล้วก็อมยิ้มมุมปาก
“ครับ ผมคิดไตร่ตรองดีแล้วครับหลวงพ่อ ผมจะบวชจนรับกฐินนั่นแหละครับ”
ไม้พนมมือแล้วตอบอย่างแน่วแน่ คำตอบนั้นทำเอาป้าละไมและฝ้ายตกตะลึง เงียบกริบพูดไม่ออกไปชั่วครู่
“แน่ใจแล้วรึ นานเลยนะ” เจ้าอาวาสเอ่ยถามอีกครั้ง พลางหยิบกระโถนขึ้นมา แล้วบ้วนน้ำหมากลงไป
“ครับ ผมแน่ใจครับ เรื่องงานก็ไม่ต้องกังวลด้วย ผมโทรคุยกับหัวหน้าแล้ว”
ไม้ตอบเจ้าอาวาสแล้วก็ปรายตามองไปทางเพื่อนสาว
“เอ่อ หลวงตาเจ้าคะ” ฝ้ายเอ่ยขึ้น
“ที่บอกว่าจนรับกฐินนี่ กี่วันเจ้าคะ”
เมื่อจบคำถามของฝ้าย เกิดเสียงหัวเราะขึ้นเล็กน้อยในวงสนทนา
“ก็กฐินจะจัดขึ้นหลังออกพรรษาแล้วโน่นแหละ” เจ้าอาวาสไขข้อข้องใจ
“งั้นไม้ก็ต้องบวช..”ฝ้ายเปรยขึ้นแล้วมองไปทางป้าละไม
“สามเดือนเป็นอย่างต่ำแหละ”
ไม้ชิงตอบให้ก่อนโดยไม่ลังเล
“จะไหวเหรอลูก ลางานได้นานขนาดขั้นเลยหรือ”
ป้าละไมถามลูกชายด้วยความเป็นห่วง
“ครับแม่ ผมคิดดีแล้ว ก็เหมือนที่หลวงพ่อท่านบอกไว้ บวชกี่วันก็นับว่าเป็นการบวชอยู่แล้วไม่ต้องห่วง”
ไม้หยุดนิดนึงแล้วจึงกล่าวต่อ
“แต่ไหนๆก็จะได้บวชทั้งที ก็ขอบวชนานๆหน่อย ลองศึกษาทางธรรมดูบ้างก็ไม่เสียหายนี่ครับ”
ไม้ตอบพลางยิ้มอ่อนให้แม่ ป้าละไมเมื่อได้ยินคำตอบจากลูกชาย ก็สุดจะกลั้นน้ำตาไว้ได้ จำต้องปล่อยให้ไหลรินออกมาด้วยความปิติ
“เอ้า ถ้าอย่างนั้น โยมจดชื่อ นามสกุล วันเดือนปีเกิดของโยมให้อาตมาด้วยนะ จะเอาไปให้ท่านเจ้าคณะตำบลท่านตั้งฉายาให้”
เจ้าอาวาสพูดแล้วส่งกระดาษกับปากกาให้
“แล้วก็นี่นะ หนังสือมนต์พิธี โยมต้องท่องขานนาคให้ได้คล่องแคล่ว เพื่อเวลานั้นมาถึงจะได้ไม่ติดขัด"
ไม้ยกมือขึ้นพนมแล้วรับหนังสือจากมือเจ้าอาวาส แล้วพลิกดูผ่าน ๆ
“ถ้าอย่างนั้นตอนนี้ก็กลับไปเตรียมเสื้อผ้ามานอนที่นี่ เริ่มเอาคืนนี้เลย”
เจ้าอาวาสบอกยิ้มๆ
“ผมต้องนอนวัดด้วยเหรอครับ” ไม้ถามกลับหน้าตาซีดเผือด เพราะไม่ทันได้ตั้งตัว
“เอ้า ก็ต้องนอนสิ นอนท่องขานนาคที่วัดนี่แหละ ติดขัดตรงไหน จะได้มีคนคอยช่วย”
“ละ แล้วต้องนอนกี่วันครับ”
ไม้ถามเสียงตะกุกตะกัก
“7 วัน” เจ้าอาวาสตอบด้วยเสียงเรียบๆ แต่ไม้นั้นรู้สึกว่าคำพูดนั่นมันช่างทำร้ายเขาเหลือเกิน 7วัน 7วัน 7 วัน ไม้ท่องวนเวียนไปมาในหัว เขาไม่ติดปัญหาอะไรเลยนอกจากเรื่องเดียวคือไม้นั้นเป็นคน “กลัวผี” อย่างที่สุด
ค่ำวันนั้น ไม้เดินทางมาที่วัดพร้อมแม่และเพื่อนสาวที่มาส่งที่หน้าวัด
“มีอะไรก็โทรหาแม่นะลูก”
ป้าละไมบอกลูกชายด้วยความเป็นห่วง
“ระวังนะ คืนนี้อาจจะ พี่ม้ายขาาาาา….”
ฝ้าย ทำท่าหลอกผีเหย้าเพื่อน เพราะรู้ว่าไม้นั้นกลัวผีอย่างมาก
“เดี๋ยวเหอะ อีกไม่นาน แกก็ต้องยกมือไหว้ชั้น คอยดูเถอะ”
ไม้ แหวใส่เพื่อนสาว แต่เปลี่ยนคำเรียกสรรพนามเพื่อนจากสมัยพ่อขุน เป็นแกกับฉันแทน เพราะแม่ยังอยู่
“เอ้า ก็แน่ล่ะสิ ก็มืง เอ้ยแกเป็นพระแล้วนิ ชั้นก็ต้องไหว้สิ”
ฝ้ายตอบกลับอย่างไม่ยอมเช่นกัน
“พอๆ ทั้งสองคนนี่ยังไงนะ จิกกัดกันตั้งแต่เด็กจนโต ไม่เบื่อรึไง”
ป้าละไมบ่นอย่างเอือมระอา แล้วเดินส่ายหน้านกลับบ้าน
“ฝ้าย” ไม้เรียกเพื่อนสาว เว้นจังหวะนิดนึงจึงกล่าวต่อ
“ยังไงก็ฝากดูแม่ด้วยนะ”
ไม้เอ่ยปากฝากฝังผู้เป็นมารดาไว้กับเพื่อนสาว
“อืม ไม่ต้องเป็นห่วง ตั้งใจท่องหนังสือล่ะ แล้วก็…”
ฝ้ายเงียบไปจนไม้ต้องเอ่ยถาม
“แล้วก็อะไร”
“ระวัง พี่ม้ายยยขาาาาา คิกคิก”
ฝ้ายเอ่ยตอบอย่างขบขันแล้วรีบวิ่งไปทางป้าละไมโดยไม่รอให้เพื่อนชายโวยใส่
ไม้ยิ้มให้กับความแก่นแก้วของเพื่อนสาวแล้วหันหลังกลับ มุ่งหน้าเดินเข้าวัดจุดหมายคือกุฏิเจ้าอาวาส
วัดที่ไม้จะมาบวชอยู่นี้ เป็นวัดเก่าแก่ของหมู่บ้าน ทางเข้ายังคงเป็นทางลูกรังทอดยาวไปจนถึงหน้าศาลา ทางเดินจากประตูวัดสองข้างทางรายล้อมด้วยต้นสัก เมื่อเดินเข้าไปประมาณหนึ่งร้อยเมตรจะเจอกับวิหาร
ซึ่งวิหารหลังนี้ก่อขึ้นด้วยศิลาแลงทั้งหลัง คนเฒ่าคนแก่บอกว่าอายุร่วมร้อยกว่าปี มองดูแล้วน่ากลัวใช่หยอกซะเมื่อไหร่
เมื่อก่อนวิหารหลังนี้ถูกปล่อยทิ้งไว้ พอมาถึงเจ้าอาวาสรูปปัจจุบัน ท่านได้บูรณะซ่อมแซมเพื่อใช้ดำเนินกิจกรรมทางศาสนา แต่ถึงจะบูรณะอย่างไร ความน่ากลัวนั้นก็มิได้ลดลงเลยแม้แต่น้อย โดยเฉพาะเสียงลือเสียงเล่าอ้างกันปากต่อปากว่าวิหารหลังนี้ ผีดุนัก
“ดีนะที่เราไม่ต้องมานอนที่วิหารนี้”
ไม้เอ่ยกับตัวเองเบาๆขณะเดินผ่านวิหารมุ่งหน้าไปกุฏิเจ้าอาวาส
เมื่อไปถึง พบกับพระรูปหนึ่งกำลังกวาดลานวัดอยู่ พอท่านเห็นก็เอ่ยทักขึ้น
“อ้าว มาแล้วรึ โยมไม้ใช่มั๊ย”
“ครับ เอ่อไม่ทราบหลวงพี่คือ..”
ไม้ตอบรับพร้อมเอ่ยถามชื่อพระรูปนั้น
“ผมชื่อพระสมพร เรียกว่าหลวงพี่พรก็ได้”
พระหนุ่มเอ่ยตอบพลางยิ้มให้
“เอ่อ ผมจะมาพบหลวงพ่อน่ะครับ พอดีท่านให้มานอนวัดตั้งแต่คืนนี้”
ไม้ เอ่ยปากบอกพระพรอย่างสำรวม
“รู้แล้วล่ะ เจ้าอาวาสท่านสั่งไว้แล้ว พอดีท่านติดกิจนิมนต์ เอาของไปเก็บก่อนสิแล้วมานั่งเล่นที่นี่ก่อนก็ได้”
พระหนุ่มเอ่ยยืดยาวแล้วก้มหน้าก้มตากวาดใบไม้ต่อไป
“เอ่อ..ไม่ทราบว่าผมนอนห้องไหนเหรอครับ”
ไม้ถามออกไปพลางขยับสายกระเป๋าเป้ที่ตอนนี้รัดบ่าจนปวดหนึบๆ
พระรูปนั้นหยุดกวาดแล้วมองหน้าไม้ ก่อนเอ่ยตอบออกมาอย่างเรียบๆ
“นอนในวิหารน่ะ”
คำตอบของพระรูปนั้นทำเอาไม้ถึงกับเก็บทรงไม่อยู่ แทบจะล้มทั้งยืนเสียให้ได้ โอ้แม่เจ้าไหงหวยมาออกแบบนี้ ไม่นะ ไม่เอาวิหารได้มั๊ย ไม้คร่ำครวญอยู่ในใจแล้วเอ่ยขึ้น
“หลวงพี่ครับ” ไม้เสียงสั่น
“หืม ว่ายังไงรึ”
พระหนุ่มเอ่ยถามสายตาบอกความกังขา
“เอ่อ ไม่มีกุฏิว่างเลยเหรอครับ แบบว่าเท่าที่ผมได้ยินมา วิหารนี้ค่อนข้างแรงเลยนะครับ”
ไม้เอ่ยถามด้วยความวิงวอน
“จะว่ามีก็มีอยู่นะ ว่างอยู่ 2 หลัง”
พระหนุ่มตอบแบบใช้ความคิด ทำให้ไม้ลิงโลด แต่ก็เพียงแค่เดี๋ยวเดียว
“หลังนึงอยู่สุดทางเดินโน่น”
พระหนุ่มตอบพลางชี้มือไปทางด้านข้างวัด
"ตอนนี้ใช้เก็บพวกโรงเย็นกับพวงหรีด ถ้าโยมจะนอนคืนนี้เลยคงเก็บของไม่ทัน"
ไม้คิดในใจหลังแรกผ่านไปไม่ต้องคิดเลยนอนไม่ได้อย่างแน่นอน
“แล้วอีกหลังล่ะครับ ไม่ได้ใช้เก็บของอะไรใช่มั๊ยครับ” ไม้ถามต่อด้วยความหวัง
“ไม่หรอกโยม อีกหลังน่ะว่างจริงๆ อยู่ทางโน้นโน่น ”
พระหนุ่มชี้มือไปอีกทาง ซึ่งเป้าหมายที่ปลายนิ้วชี้ไปคือกุฏิไม้หลังหนึ่งไกลออกไปพอสมควร แต่สิ่งที่ทำให้ไม้ใบ้กินก็คือสิ่งปลูกสร้างข้างๆกุฏิหลังนั้น นั่นคือเมรุเผาศพ ที่ตั้งตระหง่าน อึมครึมรับความสลัวยามค่ำอยู่ ไม้ใจหายวาบ ได้แต่รำพึงในใจ อะไรวะเนี่ย วัดเนื้อที่มีเป็นร้อยเอเคอร์ ไปสร้างกุฏิไว้ใกล้กับเมรุเพื่อ
“ถ้าโยมนอนที่นั่นได้ก็ไม่มีปัญหา ปัดกวาดนิดหน่อยก็นอนได้เลย แต่ว่า..”
แต่ว่า…เมื่อใดที่คำๆนี้ถูกเอ่ยขึ้นมา มั่นใจได้เลยว่าประโยคหลังจากนั้นไม่ใช่เรื่องดีอย่างแน่นอน
“ตะ แต่ว่าอะไรครับหลวงพี่”
ไม้ถามกลับไปทั้งที่ในใจก็เดาคำตอบได้อยู่แล้ว และยังมั่นใจด้วยว่าคำตอบนั้นถูกต้องร้อยเปอร์เซ็นต์
“แต่ว่า กุฏิหลังนั้น แรงกว่าวิหารอีกนะ”
นั่นไงล่ะกูว่าแล้ว ไม้ตะโกนในใจ
“เอาวะ!!” ไม้โพล่งออกมาเสียงดังหลังจากนิ่งเงียบไปอึดใจหนึ่งจนหลวงพี่ยังสะดุ้ง
“หลวงพี่ครับ ผมจะนอนในวิหารนี่แหละ ให้มันรู้กันไปเลย”
ไม้บอกหลวงพี่ด้วยสายตาแน่วแน่ กำหมัดแน่นแล้วเอ่ยต่อ
“ว่าแต่พอจะให้เด็กวัดมานอนเป็นเพื่อนผมสักคนได้ไหมครับ”
หลังจากจบประโยคนั้น ทั้งพระหนุ่มและโยมก็ได้แต่ยืนจ้องหน้ากัน ความเงียบเกิดขึ้นในบัดดล มีเพียงเสียงใบไม้ต้องลมดังซู่ๆ......
คืนนั้น หลวงพ่อกลับจากกิจนิมนต์มาประมาณทุ่มกว่าๆ ฝ่ายไม้ก็ได้เตรียมที่หลับที่นอนด้านในวิหาร
เข้าเปิดไฟทุกดวงที่มี ยึดเอาบริเวณหน้าพระประธานเป็นที่นอน โดยบอกกับตัวเองว่า นี่แหละคือชัยภูมิที่ดีที่สุด หากผีจะมาหลอกเราไม่ว่าจากมุมไหน ก็ต้องเกรงใจพระประธานมั่งล่ะวะ เมื่อจัดแจงเรื่องที่นอนเสร็จก็ทำการไหว้พระสวดมนต์ หลังจากนั้นก็เริ่มท่องคำขานนาค ตามที่หลวงพี่พรท่านบอกเอาไว้ จนช่วงเวลาประมาณสองทุ่มเด็กวันก็เข้ามาในวิหาร เพื่อแจ้งว่าหลวงพ่อเจ้าอาวาสท่านเรียกให้ไปพบ เมื่อไปถึงกุฏิหลวงพ่อ พบว่าท่านนั่งรออยู่ก่อนแล้ว
“เป็นยังไง พอจะนอนได้มั๊ย”
เจ้าอาวาสเอ่ยถามพลางจิบชาไปด้วย
“คิดว่าคงได้ครับ” ไม้ตอบท่านไปแต่ในใจยังคิดว่าได้ไม่ได้ก็ต้องนอนล่ะครับหลวงพ่อ
“เดี๋ยวให้ไอ้บาสเด็กวัดไปนอนด้วยก็แล้วกัน เห็นว่ากลัวนิ” ท่านเอ่ยบอกแล้วยิ้ม
“ครับ ขอบคุณครับ” ไม้ตอบกลับอย่างใจชื้นขึ้น
“พรุ่งนี้ตื่นตีสี่นะ เช้าก็ออกไปช่วยเด็กวัดถือของตอนพระบิณฑบาต”
“ครับได้ครับ” ไม้ตอบรับอย่างว่าง่าย
เมื่อคุยธุระเสร็จแล้ว ไม้ก็ขอตัวกลับเข้าวิหารเพื่อท่องหนังสือต่อ เจ้าอาวาสก็ยิ้มแล้วพยักหน้าให้
“อุกาสะ วันทามิภันเต สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะเมภันเต….แล้วอะไรต่อวะ ขะมะถะเมภันเต…เอ…”
ไม้ตั้งหน้าตั้งตาท่องพยายามใช้ความจำอย่างเต็มที่ แต่มันยาก ยากกว่าสูตรบัญชีซะอีก แค่วรรคแรกก็นึกไม่ออกแล้ว ในขณะขั้นเอง
“มะยากะตัง ปุญญัง สามินา..”
“ เออใช่!!” ไม้รำพึงกับตัวเอง
“ทำไมแค่นี้จำไม่ได้วะ มะยากะตะ… เดี๋ยว!!” ไม้ขนลุกตั้งแต่กลางกบาลจนถึงตาตุ่ม ใครกัน เมื่อกี้เสียงใคร
เกิดความเงียบขึ้นในบัดดล เสียงใบสักแห้งล่วงลงกระทบหลังคาวิหารแล้วไหลลงมาสู่เบื้องล่างดังแกรก กราก
เหงื่อกาฬเริ่มซึมออกฝ่ามือ
“วิหารหลังนี้น่ะ เฮี้ยนมาก!!” อยู่ๆคำพูดนั้นก็ลอยเข้ามาในมโนสำนึก ไม้ได้แต่นั่งนิ่งอยู่แบบนั้นไม่กล้ากระดิกตัวไปไหน ผ่านไปกี่นาทีไม่อาจรู้ได้ แต่ความรู้สึกของไม้ราวกับว่าเวลาผ่านไปสักชาตินึง ขณะนี้ทั้งตัวและสมองของไม้เครียดเขม็ง และตอนนั้นเอง ปัง!! หน้าต่างไม้สักขนาดความสูงสองเมตร กว้างกว่าเมตรครึ่ง ขนาดตอนเปิดปิดยังต้องใช้สองมือช่วยเพราะความหนัก กลับปิดปังอย่างแรง ราวกับมีมืออันทรงพลังผลักเพื่อปิดมัน