๒
ตั้งแต่ถูกหนุ่มในฝันตัดบทสนทนาเอาดื้อๆ ในคืนนั้น ผ่านมาหลายวันแล้วแต่ปาณฑราก็ยังไม่กล้าทักไปหาเขาอีกเลย เพราะการกระทำของเขามันชวนให้อดคิดไม่ได้ว่า เขาไม่ได้อยากคุยกับเธอ หญิงสาวเฝ้าคิดเรื่องนี้วนไปมาอย่างคนปลงไม่ตก ไม่รู้ว่าจะเดินหน้าต่อหรือพอแค่นี้ดี แล้วสุดท้ายก็ตัดสินใจนำเรื่องนี้ไปปรึกษาเพื่อนรักอย่างวาสิตา
“แกว่าที่เขาทำแบบนี้ มันเป็นการบอกนัยๆ ไหมว่าเขาไม่อยากจะสานสัมพันธ์กับฉัน”
ปาณฑราถามความเห็นจากวาสิตาหลังจากเล่าเหตุการณ์คืนนั้นให้เพื่อนรักฟัง
“อยากรู้ทำไมไม่ทักไปถามเขาตรงๆ เลยล่ะ จะได้หายข้องใจ ไหนๆ ก็ยังไม่ได้เริ่มต้นอะไรกันมากมาย ถ้าเขาไม่ได้อยากคุยด้วยจริงๆ อย่างที่แกคิด จะได้ไม่ต้องเสียเวลา”
วาสิตาเสนอ เพราะเธอนั้นเป็นคนที่ตรงไปตรงมา ไม่ชอบอะไรที่ค้างคา
“จะดีเหรอแก” หญิงสาวยังลังเล ใจจริงก็อยากทำแบบนั้นอยู่เหมือนกัน แต่ใจมันยังไม่กล้าพอ ยอมรับว่าเธอกลัวคำตอบที่จะได้รับ
“แต่คิดๆ ดูแล้วเขาอาจจะไปทำงานจริงๆ ก็ได้นะ แกอย่าเพิ่งตีตนไปก่อนไข้สิ” เมื่อเห็นสีหน้าราวหมาหงอยของอีกฝ่าย วาสิตาก็พยายามพูดให้เพื่อนรักคลายกังวล
“งานอะไรดึกๆ ดื่นๆ” ปาณฑราแย้งพลางตักเค้กมะพร้าวเข้าปากคำโต
“แกไม่เคยดูหนังเรื่องนั้นหรือไง ที่พระเอกเป็นวิศวกรซ่อมบำรุงรางรถไฟฟ้าน่ะ ซึ่งเขาต้องทำงานกันตอนดึกๆ หลังรถไฟฟ้าปิดให้บริการ” วาสิตาอ้างถึงหนังเรื่องหนึ่งที่เคยโด่งดังไปทั่วบ้านทั่วเมืองเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว
ปาณฑราย้อนคิดไปถึงหนังเรื่องที่เพื่อนว่า ซึ่งเธอเองก็เคยดูวนอยู่หลายรอบจนแผ่นเป็นรอย และขณะที่ความคิดในหัวกำลังตีกันจนยุ่งไปหมด เสียงแจ้งเตือนไลน์และชื่อเจ้าของข้อความที่โชว์หราบนหน้าจอโทรศัพท์ ก็ปลุกให้หัวใจที่แห้งเหี่ยวเหมือนดอกไม้ขาดน้ำของปาณฑราชุ่มฉ่ำขึ้นมาอีกครั้ง
“แก เขาทักมาแล้ว” บอกอย่างกระดี๊กระด๊าต่างจากไม่กี่นาทีก่อนราวกับเป็นคนละคน
“เก็บอาการหน่อยสิแก แล้วอย่าได้ไปแสดงท่าทางแบบนี้เวลาอยู่ต่อหน้าผู้ชายล่ะ เดี๋ยวเขาได้เตลิดหนีไปก่อนพอดี” วาสิตาว่าอย่างไม่จริงจังพลางส่ายหน้าน้อยๆ เมื่อเห็นอาการดีใจจนออกหน้าออกตาของเพื่อน
“ฉันรู้หรอกน่าว่าเวลาไหนควรคีปลุค เวลาไหนควรเป็นตัวของตัวเอง” ปาณฑราทำหน้ายู่ใส่คนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ก่อนจะก้มหน้าก้มตาสนใจกับสมาร์ตโฟนในมือ จากนั้นก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่จนวาสิตาอดกลอกมามองบนไม่ได้
“แก เขาไม่ได้เป็นวิศวกรซ่อมบำรุงรางรถไฟฟ้าอย่างที่แกคิด แต่เขาทำงานด้านพัฒนาซอฟท์แวร์ ส่วนคืนวันศุกร์ เสาร์และอาทิตย์ เขาจะไปเล่นดนตรีที่ผับ แล้วที่เขาหายเงียบไปหลายวันเพราะช่วงนี้งานเขายุ่ง เลยไม่ได้ทักมาคุยด้วย”
ปาณฑราละสายตาจากหน้าจอโทรศัพท์มือถือ แล้วถ่ายทอดข้อความของชายหนุ่มให้เพื่อนฟังด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม โดยไม่ลืมที่จะถามความเห็นของอีกฝ่ายเกี่ยวกับการกระทำของชายในฝัน
“การที่เขาทักมาหาฉันแบบนี้ แปลว่าเขาเองก็สนใจฉันเหมือนกันใช่ไหมแก”
วาสิตาครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง แล้วก็เห็นด้วยกับสิ่งที่เพื่อนคิด
“ก็เป็นไปได้นะ ถ้าหากเขาไม่สนใจหรือไม่คิดจะสานต่อ เขาก็คงจะเงียบหายไปเลย คงไม่ทักมาบอกแกแบบนี้หรอก”
“ถ้ารู้ว่าการจีบใครสักคนมันง่ายขนาดนี้นะ ฉันคงทำมาตั้งนานแล้ว ไม่รอมาจนอายุปูนนี้หรอก”
หญิงสาวว่าอย่างนึกเสียดายช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา ที่มัวแต่อายและกลัวว่าผู้ชายจะมองว่าเธอแรด จึงได้แต่รอให้ผู้ชายเป็นฝ่ายเข้ามาจีบ แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีวี่แววว่าจะมีใครสักคนเข้ามาจีบ จะว่าเธอขี้ริ้วขี้เหร่จนไม่มีใครอยากจีบมันก็ไม่น่าใช่ เพราะเธอถือว่าเป็นคนหน้าตาดีคนหนึ่งเลยก็ว่าได้ ซึ่งเธอไม่ได้คิดเข้าข้างตัวเอง แต่เธอมีตำแหน่งดาวคณะสมัยเรียนมหาวิทยาลัย และตำแหน่งนางนพมาศประจำอำเภอมาการันตี
“พูดยังกับเขาตกลงเป็นแฟนกับแกแล้วอย่างนั้นแหละ นี่แค่เพิ่งเริ่มต้นคุยกันไม่กี่คำเอง ต่อไปเขาจะเข้ากับแกได้หรือเปล่าก็ยังไม่รู้เลย คุยไปคุยมาทัศนคติเขากับแกอาจจะไปคนละทางก็ได้ ถึงหน้าตาเขาจะหล่อถูกใจแกก็ใช่ว่านิสัยใจคอหรือไลฟ์สไตล์ของเขาจะเข้ากับแกได้เสมอไป เรื่องแบบนี้มันต้องใช้เวลาศึกษากันให้ดีก่อน”
คนที่เคยมีประสบการณ์มาก่อนพูดเตือนสติคนที่ทั้งชีวิตยังไม่เคยมีแฟน
“จริงของแก”
คนไร้ประสบการณ์พยักหน้าหงึกหงักเห็นด้วยกับประโยคยาวเหยียดของเพื่อนรัก และได้แต่หวังว่าเธอกับเขาจะเข้ากันได้ดี
หัวใจพลิกล็อค...บทที่ 2
ตั้งแต่ถูกหนุ่มในฝันตัดบทสนทนาเอาดื้อๆ ในคืนนั้น ผ่านมาหลายวันแล้วแต่ปาณฑราก็ยังไม่กล้าทักไปหาเขาอีกเลย เพราะการกระทำของเขามันชวนให้อดคิดไม่ได้ว่า เขาไม่ได้อยากคุยกับเธอ หญิงสาวเฝ้าคิดเรื่องนี้วนไปมาอย่างคนปลงไม่ตก ไม่รู้ว่าจะเดินหน้าต่อหรือพอแค่นี้ดี แล้วสุดท้ายก็ตัดสินใจนำเรื่องนี้ไปปรึกษาเพื่อนรักอย่างวาสิตา
“แกว่าที่เขาทำแบบนี้ มันเป็นการบอกนัยๆ ไหมว่าเขาไม่อยากจะสานสัมพันธ์กับฉัน”
ปาณฑราถามความเห็นจากวาสิตาหลังจากเล่าเหตุการณ์คืนนั้นให้เพื่อนรักฟัง
“อยากรู้ทำไมไม่ทักไปถามเขาตรงๆ เลยล่ะ จะได้หายข้องใจ ไหนๆ ก็ยังไม่ได้เริ่มต้นอะไรกันมากมาย ถ้าเขาไม่ได้อยากคุยด้วยจริงๆ อย่างที่แกคิด จะได้ไม่ต้องเสียเวลา”
วาสิตาเสนอ เพราะเธอนั้นเป็นคนที่ตรงไปตรงมา ไม่ชอบอะไรที่ค้างคา
“จะดีเหรอแก” หญิงสาวยังลังเล ใจจริงก็อยากทำแบบนั้นอยู่เหมือนกัน แต่ใจมันยังไม่กล้าพอ ยอมรับว่าเธอกลัวคำตอบที่จะได้รับ
“แต่คิดๆ ดูแล้วเขาอาจจะไปทำงานจริงๆ ก็ได้นะ แกอย่าเพิ่งตีตนไปก่อนไข้สิ” เมื่อเห็นสีหน้าราวหมาหงอยของอีกฝ่าย วาสิตาก็พยายามพูดให้เพื่อนรักคลายกังวล
“งานอะไรดึกๆ ดื่นๆ” ปาณฑราแย้งพลางตักเค้กมะพร้าวเข้าปากคำโต
“แกไม่เคยดูหนังเรื่องนั้นหรือไง ที่พระเอกเป็นวิศวกรซ่อมบำรุงรางรถไฟฟ้าน่ะ ซึ่งเขาต้องทำงานกันตอนดึกๆ หลังรถไฟฟ้าปิดให้บริการ” วาสิตาอ้างถึงหนังเรื่องหนึ่งที่เคยโด่งดังไปทั่วบ้านทั่วเมืองเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว
ปาณฑราย้อนคิดไปถึงหนังเรื่องที่เพื่อนว่า ซึ่งเธอเองก็เคยดูวนอยู่หลายรอบจนแผ่นเป็นรอย และขณะที่ความคิดในหัวกำลังตีกันจนยุ่งไปหมด เสียงแจ้งเตือนไลน์และชื่อเจ้าของข้อความที่โชว์หราบนหน้าจอโทรศัพท์ ก็ปลุกให้หัวใจที่แห้งเหี่ยวเหมือนดอกไม้ขาดน้ำของปาณฑราชุ่มฉ่ำขึ้นมาอีกครั้ง
“แก เขาทักมาแล้ว” บอกอย่างกระดี๊กระด๊าต่างจากไม่กี่นาทีก่อนราวกับเป็นคนละคน
“เก็บอาการหน่อยสิแก แล้วอย่าได้ไปแสดงท่าทางแบบนี้เวลาอยู่ต่อหน้าผู้ชายล่ะ เดี๋ยวเขาได้เตลิดหนีไปก่อนพอดี” วาสิตาว่าอย่างไม่จริงจังพลางส่ายหน้าน้อยๆ เมื่อเห็นอาการดีใจจนออกหน้าออกตาของเพื่อน
“ฉันรู้หรอกน่าว่าเวลาไหนควรคีปลุค เวลาไหนควรเป็นตัวของตัวเอง” ปาณฑราทำหน้ายู่ใส่คนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ก่อนจะก้มหน้าก้มตาสนใจกับสมาร์ตโฟนในมือ จากนั้นก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่จนวาสิตาอดกลอกมามองบนไม่ได้
“แก เขาไม่ได้เป็นวิศวกรซ่อมบำรุงรางรถไฟฟ้าอย่างที่แกคิด แต่เขาทำงานด้านพัฒนาซอฟท์แวร์ ส่วนคืนวันศุกร์ เสาร์และอาทิตย์ เขาจะไปเล่นดนตรีที่ผับ แล้วที่เขาหายเงียบไปหลายวันเพราะช่วงนี้งานเขายุ่ง เลยไม่ได้ทักมาคุยด้วย”
ปาณฑราละสายตาจากหน้าจอโทรศัพท์มือถือ แล้วถ่ายทอดข้อความของชายหนุ่มให้เพื่อนฟังด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม โดยไม่ลืมที่จะถามความเห็นของอีกฝ่ายเกี่ยวกับการกระทำของชายในฝัน
“การที่เขาทักมาหาฉันแบบนี้ แปลว่าเขาเองก็สนใจฉันเหมือนกันใช่ไหมแก”
วาสิตาครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง แล้วก็เห็นด้วยกับสิ่งที่เพื่อนคิด
“ก็เป็นไปได้นะ ถ้าหากเขาไม่สนใจหรือไม่คิดจะสานต่อ เขาก็คงจะเงียบหายไปเลย คงไม่ทักมาบอกแกแบบนี้หรอก”
“ถ้ารู้ว่าการจีบใครสักคนมันง่ายขนาดนี้นะ ฉันคงทำมาตั้งนานแล้ว ไม่รอมาจนอายุปูนนี้หรอก”
หญิงสาวว่าอย่างนึกเสียดายช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา ที่มัวแต่อายและกลัวว่าผู้ชายจะมองว่าเธอแรด จึงได้แต่รอให้ผู้ชายเป็นฝ่ายเข้ามาจีบ แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีวี่แววว่าจะมีใครสักคนเข้ามาจีบ จะว่าเธอขี้ริ้วขี้เหร่จนไม่มีใครอยากจีบมันก็ไม่น่าใช่ เพราะเธอถือว่าเป็นคนหน้าตาดีคนหนึ่งเลยก็ว่าได้ ซึ่งเธอไม่ได้คิดเข้าข้างตัวเอง แต่เธอมีตำแหน่งดาวคณะสมัยเรียนมหาวิทยาลัย และตำแหน่งนางนพมาศประจำอำเภอมาการันตี
“พูดยังกับเขาตกลงเป็นแฟนกับแกแล้วอย่างนั้นแหละ นี่แค่เพิ่งเริ่มต้นคุยกันไม่กี่คำเอง ต่อไปเขาจะเข้ากับแกได้หรือเปล่าก็ยังไม่รู้เลย คุยไปคุยมาทัศนคติเขากับแกอาจจะไปคนละทางก็ได้ ถึงหน้าตาเขาจะหล่อถูกใจแกก็ใช่ว่านิสัยใจคอหรือไลฟ์สไตล์ของเขาจะเข้ากับแกได้เสมอไป เรื่องแบบนี้มันต้องใช้เวลาศึกษากันให้ดีก่อน”
คนที่เคยมีประสบการณ์มาก่อนพูดเตือนสติคนที่ทั้งชีวิตยังไม่เคยมีแฟน
“จริงของแก”
คนไร้ประสบการณ์พยักหน้าหงึกหงักเห็นด้วยกับประโยคยาวเหยียดของเพื่อนรัก และได้แต่หวังว่าเธอกับเขาจะเข้ากันได้ดี