‘รองโฆษกเพื่อไทย’ ดักคอ รบ.อย่าคิดขึ้นภาษีแวตช่วงที่คนไทยทุกข์ยาก
https://www.matichon.co.th/politics/news_2651690
“รองโฆษกเพื่อไทย” ดักคอ รบ.อย่าคิดขึ้นภาษีแวตช่วงที่คนไทยทุกข์ยาก
เมื่อวันที่ 31 มีนาคม นาย
ชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ รองโฆษกพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวว่า การหารือในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 30 มีนาคมที่ผ่านมา ที่ให้มีการศึกษาขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) เพื่อช่วยพยุงสถานการณ์ทางการคลังของรัฐที่ไม่สามารถจัดเก็บรายได้ได้ตามเป้า แต่มีความจำเป็นต้องใช้เงินเยียวยาประชาชนจากผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 นั้น ถือเป็นกระบวนการคิดของรัฐที่รังแกประชาชน นอกจากจะหารายได้ไม่เป็นแล้วยังขูดรีดคนจนที่กำลังตกทุกข์ได้ยาก ลำพังเพียงเงินใช้จ่ายในชีวิตประจำวันก็ยังไม่เพียงพอ คนจำนวนมากยังตกงาน ยังมาถูกซ้ำเติมจากรัฐบาลที่ไร้ประสิทธิภาพ การหารายได้ด้วยการปรับขึ้นภาษีแวตในตอนนี้ นอกจากจะไม่ใช่ทางออกที่ดีแล้ว จะยิ่งทำให้กำลังซื้อของประชาชนลดลงด้วย เพราะเมื่อขึ้นภาษีแวต ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคจะปรับราคาให้สูงขึ้น
นาย
ชนินทร์กล่าวว่า การขึ้นภาษีแวตตามกรอบกฎหมายสามารถปรับได้สูงสุดถึง 10% จากที่ปัจจุบันจัดเก็บอยู่ที่ 7% แต่ตามหลักการแล้วการขึ้นภาษีจะทำได้ก็ต่อเมื่อเศรษฐกิจเติบโต ในหลายรัฐบาลที่ผ่านมา แม้จะมีโอกาสในการปรับขึ้นภาษีได้ตามกรอบของกฎหมาย แต่เลือกที่จะไม่ปรับขึ้นภาษี เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชนจากผลกระทบทางเศรษฐกิจในช่วงนั้น ในทางตรงกันข้ามรัฐบาลชุดนี้ยังไม่สามารถจัดเก็บภาษีคนรวยได้ อย่างภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง กลับได้รับการขยายระยะเวลาการลดอัตราการเก็บ 90% ต่อเนื่องจากปี 2563 ไปถึงรอบปี 2564 ไปอีก 1 ปี แสดงว่ารัฐบาลชุดนี้ถนัดแต่รังแกคนจน อุ้มชูนายทุน ส่วนการที่นาย
จุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ที่มองว่าการขึ้นภาษีแวตเป็นเรื่องจำเป็นและควรต้องทำ อย่ากลัวประชาชนคัดค้าน เพราะจะสามารถนำรายได้ไปเพิ่มสวัสดิการให้ประชาชนได้ ถือเป็นการให้ข้อมูลผ่านความคิดที่ตื้นเขิน ไม่เข้าใจโครงสร้างเศรษฐกิจไทยที่มีความเหลื่อมลํ้าสูง การหารายได้ของรัฐมีทางเลือกที่หลากหลาย แต่กลับไม่ดำเนินการเพราะคิดไม่ได้ ทำไม่เป็น
“
การขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มในภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ซ้ำเติมคนจนซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ ให้ยิ่งจนและมีชีวิตอยู่ได้ด้วยการรอการเยียวยาจากรัฐ ผมว่าหนักกว่าวิกฤตเศรษฐกิจคือวิกฤตผู้นำประเทศที่ทำได้แต่รังแกประชาชน” นาย
ชนินทร์กล่าว
ศก.ไทยฟื้นไม่ทั่ว ธปท.จับตาผู้ว่างงานยังสูง
https://www.dailynews.co.th/economic/834358
น.ส.
ชญาวดี ชัยอนันต์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยในเดือน ก.พ.ทยอยปรับดีขึ้น หลังจากการระบาดโควิด-19 คลี่คลาย เนื่องจากการบริโภคเอกชนทยอยฟื้นตามกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ปรับดีขึ้น และได้รับแรงสนับสนุนจากมาตรการภาครัฐ แม้ภาพรวมเศรษฐกิจจะทยอยฟื้นตัวแต่การฟื้นตัวยังไม่ทั่วถึง โดย ธปท.จะติดตามตลาดแรงงานที่ยังเปราะบาง จากจำนวนผู้ขอรับสิทธิว่างงานใหม่ในระบบประกันสังคมที่เพิ่มขึ้น โดยในเดือน ก.พ.มีผู้ขอรับสิทธิว่างงาน 89,380 ราย จากเดือน ม.ค. 71,592 ราย
“
สัญญาณขยายตัวไม่ทั่วถึงมาจากตลาดแรงงาน เนื่องจากผู้ขอรับสิทธิว่างงานใหม่ปรับสูงขึ้นจากเดือนก่อนหน้า และต้องติดตามใกล้ชิด และการฟื้นตัวภาคธุรกิจที่ไม่ทั่วถึง ซึ่งหลังจากได้คุยกับภาคธุรกิจ ภาคการค้าและบริการที่ได้รับผลกระทบโควิด-19 ระลอกใหม่ แม้ว่าปรับดีขึ้นและจากมาตรการภาครัฐปรับดีขึ้น แต่ต้องติดตามดูต่อไป เห็นจากในเดือน มี.ค.กิจกรรมทางเศรษฐกิจกลับมา แต่อาจติดตามเรื่องการระบาดของคลัสเตอร์ต่างๆ ว่าจะทำให้เศรษฐกิจไทยกลับมาฟื้นตัวได้หรือไม่”
นอกจากนี้ในเดือน ก.พ. การลงทุนภาคเอกชนขยายตัวสูงขึ้นตามการนำเข้าสินค้าทุกที่ปรับดีขึ้น ขณะที่การส่งออกสินค้าไม่รวมทองคำยังขยายตัวต่อเนื่องสอดคล้องกับการฟื้นตัวของอุปสงค์ประเทศคู่ค้า โดยการใช้จ่ายภาครัฐขยายตัวต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งเป็นผลของฐานต่ำในปีก่อน ซึ่งภาคการท่องเที่ยวยังหดตัวสูงจากมาตรการจำกัดการเดินทางระหว่างประเทศที่ยังมีอยู่
น.ส.
ชญาวดี กล่าวว่า กิจกรรมทางเศรษฐกิจไตรมาสแรกฟื้นตัว ถ้าเทียบกันกับจีดีพีไตรมาสแรกอาจไม่ได้ดีเท่าปีก่อนที่ยังไม่ได้ปิดเมือง ส่วนความเสี่ยงตลาดแรงงานที่ต้องติดตาม รายได้ต้องกลับมา และการเปิดประเทศเป็นประเด็นสำคัญในการแก้ไขปัญหาการฟื้นตัวไม่เท่าเทียม และช่วยเหลือตลาดแรงงานในช่วงที่บางกลุ่มยังไม่กลับมา
“
มาตรการรัฐ คนละครึ่ง เราชนะ ม33เรารักกัน ช่วงที่ผ่านมาภาครัฐมีบทบาทเยอะ กระตุ้นบริโภคโดยตรง เห็นจากยอดขายผู้ประกอบการดี ทำให้ไตรมาส 1-2 มีต่อเนื่อง ส่วนครึ่งปีหลังไตรมาส 3-4 การเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวเริ่มกลับมา ส่งผลดีต่อการขยายตัวเศรษฐกิจ ถ้าไม่มี เปิดไม่ได้ ภาครัฐก็ต้องเข้ามาช่วยส่วนนี้ คาดว่าไตรมาส 4 นักท่องเที่ยวจะเข้ามาเยอะ”
อย่างไรก็ตามเสถียรภาพเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปติดลบมากขึ้น ตามอัตราเงินเฟ้อที่ลดลงในทุกหมวดหลัก โดยเป็นผลจากมาตรการลดค่าไฟฟ้าและน้ำประปาเพื่อบรรเทาค่าครองชีพให้กับประชาชนเป็นสำคัญ ด้านตลาดแรงงานยังคงเปราะบาง สะท้อนจากสัดส่วนผู้ขอรับสิทธิว่างงานใหม่ในระบบประกันสังคมต่อผู้ประกันตนทั้งหมดที่ยังเพิ่มขึ้น สำหรับดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุลมากขึ้นกว่าเดือนก่อน
JJNY : 4in1 พท.ดักคอรบ.อย่าคิดขึ้นภาษี│ธปท.จับตาว่างงานยังสูง│พม่าสังเวยปราบม็อบพุ่ง520ศพ│ซูโม่กิ๊กโดนจวบยับ เหยียดLGBTQ
https://www.matichon.co.th/politics/news_2651690
เมื่อวันที่ 31 มีนาคม นายชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ รองโฆษกพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวว่า การหารือในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 30 มีนาคมที่ผ่านมา ที่ให้มีการศึกษาขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) เพื่อช่วยพยุงสถานการณ์ทางการคลังของรัฐที่ไม่สามารถจัดเก็บรายได้ได้ตามเป้า แต่มีความจำเป็นต้องใช้เงินเยียวยาประชาชนจากผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 นั้น ถือเป็นกระบวนการคิดของรัฐที่รังแกประชาชน นอกจากจะหารายได้ไม่เป็นแล้วยังขูดรีดคนจนที่กำลังตกทุกข์ได้ยาก ลำพังเพียงเงินใช้จ่ายในชีวิตประจำวันก็ยังไม่เพียงพอ คนจำนวนมากยังตกงาน ยังมาถูกซ้ำเติมจากรัฐบาลที่ไร้ประสิทธิภาพ การหารายได้ด้วยการปรับขึ้นภาษีแวตในตอนนี้ นอกจากจะไม่ใช่ทางออกที่ดีแล้ว จะยิ่งทำให้กำลังซื้อของประชาชนลดลงด้วย เพราะเมื่อขึ้นภาษีแวต ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคจะปรับราคาให้สูงขึ้น
นายชนินทร์กล่าวว่า การขึ้นภาษีแวตตามกรอบกฎหมายสามารถปรับได้สูงสุดถึง 10% จากที่ปัจจุบันจัดเก็บอยู่ที่ 7% แต่ตามหลักการแล้วการขึ้นภาษีจะทำได้ก็ต่อเมื่อเศรษฐกิจเติบโต ในหลายรัฐบาลที่ผ่านมา แม้จะมีโอกาสในการปรับขึ้นภาษีได้ตามกรอบของกฎหมาย แต่เลือกที่จะไม่ปรับขึ้นภาษี เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชนจากผลกระทบทางเศรษฐกิจในช่วงนั้น ในทางตรงกันข้ามรัฐบาลชุดนี้ยังไม่สามารถจัดเก็บภาษีคนรวยได้ อย่างภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง กลับได้รับการขยายระยะเวลาการลดอัตราการเก็บ 90% ต่อเนื่องจากปี 2563 ไปถึงรอบปี 2564 ไปอีก 1 ปี แสดงว่ารัฐบาลชุดนี้ถนัดแต่รังแกคนจน อุ้มชูนายทุน ส่วนการที่นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ที่มองว่าการขึ้นภาษีแวตเป็นเรื่องจำเป็นและควรต้องทำ อย่ากลัวประชาชนคัดค้าน เพราะจะสามารถนำรายได้ไปเพิ่มสวัสดิการให้ประชาชนได้ ถือเป็นการให้ข้อมูลผ่านความคิดที่ตื้นเขิน ไม่เข้าใจโครงสร้างเศรษฐกิจไทยที่มีความเหลื่อมลํ้าสูง การหารายได้ของรัฐมีทางเลือกที่หลากหลาย แต่กลับไม่ดำเนินการเพราะคิดไม่ได้ ทำไม่เป็น
“การขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มในภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ซ้ำเติมคนจนซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ ให้ยิ่งจนและมีชีวิตอยู่ได้ด้วยการรอการเยียวยาจากรัฐ ผมว่าหนักกว่าวิกฤตเศรษฐกิจคือวิกฤตผู้นำประเทศที่ทำได้แต่รังแกประชาชน” นายชนินทร์กล่าว
ศก.ไทยฟื้นไม่ทั่ว ธปท.จับตาผู้ว่างงานยังสูง
https://www.dailynews.co.th/economic/834358
น.ส.ชญาวดี ชัยอนันต์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยในเดือน ก.พ.ทยอยปรับดีขึ้น หลังจากการระบาดโควิด-19 คลี่คลาย เนื่องจากการบริโภคเอกชนทยอยฟื้นตามกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ปรับดีขึ้น และได้รับแรงสนับสนุนจากมาตรการภาครัฐ แม้ภาพรวมเศรษฐกิจจะทยอยฟื้นตัวแต่การฟื้นตัวยังไม่ทั่วถึง โดย ธปท.จะติดตามตลาดแรงงานที่ยังเปราะบาง จากจำนวนผู้ขอรับสิทธิว่างงานใหม่ในระบบประกันสังคมที่เพิ่มขึ้น โดยในเดือน ก.พ.มีผู้ขอรับสิทธิว่างงาน 89,380 ราย จากเดือน ม.ค. 71,592 ราย
“สัญญาณขยายตัวไม่ทั่วถึงมาจากตลาดแรงงาน เนื่องจากผู้ขอรับสิทธิว่างงานใหม่ปรับสูงขึ้นจากเดือนก่อนหน้า และต้องติดตามใกล้ชิด และการฟื้นตัวภาคธุรกิจที่ไม่ทั่วถึง ซึ่งหลังจากได้คุยกับภาคธุรกิจ ภาคการค้าและบริการที่ได้รับผลกระทบโควิด-19 ระลอกใหม่ แม้ว่าปรับดีขึ้นและจากมาตรการภาครัฐปรับดีขึ้น แต่ต้องติดตามดูต่อไป เห็นจากในเดือน มี.ค.กิจกรรมทางเศรษฐกิจกลับมา แต่อาจติดตามเรื่องการระบาดของคลัสเตอร์ต่างๆ ว่าจะทำให้เศรษฐกิจไทยกลับมาฟื้นตัวได้หรือไม่”
นอกจากนี้ในเดือน ก.พ. การลงทุนภาคเอกชนขยายตัวสูงขึ้นตามการนำเข้าสินค้าทุกที่ปรับดีขึ้น ขณะที่การส่งออกสินค้าไม่รวมทองคำยังขยายตัวต่อเนื่องสอดคล้องกับการฟื้นตัวของอุปสงค์ประเทศคู่ค้า โดยการใช้จ่ายภาครัฐขยายตัวต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งเป็นผลของฐานต่ำในปีก่อน ซึ่งภาคการท่องเที่ยวยังหดตัวสูงจากมาตรการจำกัดการเดินทางระหว่างประเทศที่ยังมีอยู่
น.ส.ชญาวดี กล่าวว่า กิจกรรมทางเศรษฐกิจไตรมาสแรกฟื้นตัว ถ้าเทียบกันกับจีดีพีไตรมาสแรกอาจไม่ได้ดีเท่าปีก่อนที่ยังไม่ได้ปิดเมือง ส่วนความเสี่ยงตลาดแรงงานที่ต้องติดตาม รายได้ต้องกลับมา และการเปิดประเทศเป็นประเด็นสำคัญในการแก้ไขปัญหาการฟื้นตัวไม่เท่าเทียม และช่วยเหลือตลาดแรงงานในช่วงที่บางกลุ่มยังไม่กลับมา
“มาตรการรัฐ คนละครึ่ง เราชนะ ม33เรารักกัน ช่วงที่ผ่านมาภาครัฐมีบทบาทเยอะ กระตุ้นบริโภคโดยตรง เห็นจากยอดขายผู้ประกอบการดี ทำให้ไตรมาส 1-2 มีต่อเนื่อง ส่วนครึ่งปีหลังไตรมาส 3-4 การเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวเริ่มกลับมา ส่งผลดีต่อการขยายตัวเศรษฐกิจ ถ้าไม่มี เปิดไม่ได้ ภาครัฐก็ต้องเข้ามาช่วยส่วนนี้ คาดว่าไตรมาส 4 นักท่องเที่ยวจะเข้ามาเยอะ”
อย่างไรก็ตามเสถียรภาพเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปติดลบมากขึ้น ตามอัตราเงินเฟ้อที่ลดลงในทุกหมวดหลัก โดยเป็นผลจากมาตรการลดค่าไฟฟ้าและน้ำประปาเพื่อบรรเทาค่าครองชีพให้กับประชาชนเป็นสำคัญ ด้านตลาดแรงงานยังคงเปราะบาง สะท้อนจากสัดส่วนผู้ขอรับสิทธิว่างงานใหม่ในระบบประกันสังคมต่อผู้ประกันตนทั้งหมดที่ยังเพิ่มขึ้น สำหรับดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุลมากขึ้นกว่าเดือนก่อน