เวิลด์แบงก์ชี้จีดีพีไทยปี’63 หดตัวกว่า 5% - คาดตกงานและสูญเสียรายได้จากโควิด-19 กว่า 8.3 ล้านคน
https://www.khaosod.co.th/economics/news_4412170
นาย
เกียรติพงศ์ อริยปรัชญา นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ธนาคารโลก (เวิลด์แบงก์) เปิดเผยว่า ยอมรับเศรษฐกิจไทยได้รับผลกระทบที่รุนแรงจากโควิด-19 โดยเวิลด์แบงก์คาดการณ์อัตราการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลในประเทศ (จีดีพี) ปีนี้อาจหดตัวกว่า 5% และน่าจะใช้เวลามากกว่า 2 ปีกว่า ที่จะกลับสู่ระดับจีดีพีก่อนที่จะประสบปัญหาโควิด-19 การส่งออกคาดหดตัวประมาณ 6.3% ซึ่งเป็นการชะลอตัวลงรายไตรมาสที่แรงที่สุดในรอบ 5 ปี เนื่องจากความต้องการสินค้าไทยในต่างประเทศยังคงอ่อนแอ จากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก
นอกจากนี้ คาดว่าการบริโภคภาคเอกชนจะลดลง 3.2% เนื่องจากมาตรการห้ามการเดินทางและรายได้ที่ลดลง ซึ่งจำกัดการใช้จ่ายของผู้บริโภคโดยเฉพาะในไตรมาส 2/2563 ประกอบกับมีคนตกงานกระจายไปทั่ว และกระทบต่อครัวเรือนชนชั้นกลางไปถึงครัวเรือนที่ยากจน ภาคการท่องเที่ยวที่คิดเป็นสัดส่วน 15% ของจีดีพีได้รับผลกระทบอย่างมากจากการที่ไทยเกือบจะห้ามนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาในประเทศตั้งแต่เดือนมี.ค. 2563
“จากรายงานตามติดเศรษฐกิจไทยของธนาคารโลกฉบับล่าสุดพบว่าการระบาดของเชื้อโควิด-19 ฉุดเศรษฐกิจไทยโดยเฉพาะในไตรมาส 2/2563 แม้ไทยจะประสบความสำเร็จในการชะลอการระบาดของโควิด-19 ได้ภายใน 3 เดือนที่ผ่านมา แต่ผลกระทบที่มีต่อเศรษฐกิจนั้นรุนแรง แต่การที่ไทยเริ่มผ่อนปรนการห้ามเดินทาง จะทำให้การบริโภคภายในประเทศที่เดิมมีความเข้มแข็งอยู่แล้วและเป็นเครื่องจักรผลักดันเศรษฐกิจเริ่มจะฟื้นตัวได้ในไตรมาส 2/2563 ต่อเนื่องไปในปี 2564 แต่การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจจะค่อยๆ ปรับตัวและยังมีความไม่แน่นอนอยู่”
โดยพื้นฐานเศรษฐกิจไทยปี 2564 น่าจะขยายตัว 4.1% และปี 2565 น่าจะขยายตัว 3.6% สะท้อนว่าเศรษฐกิจไทยน่าจะฟื้นตัวกลับไปสู่ระดับก่อนการระบาดของโควิดภายในกลางปี 2565 แต่รูปแบบของการฟื้นตัวยังขึ้นอยู่ปัจจัยเสี่ยงหลายด้าน เช่น การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกที่ยังอ่อนแอ การท่องเที่ยวที่เปราะบาง รวมถึงการค้าและห่วงโซ่อุปทานที่ยังคงอยู่ในภาวะชะงักงัน
นาย
เกียรติพงศ์ กล่าวว่า พลังของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจจะขึ้นอยู่กับนโยบายในการรับมือวิกฤตที่มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะการสนับสนุนครัวเรือนและผู้ประกอบการที่เปราะบาง ซึ่งรายงานฉบับนี้เวิลด์แบงก์เสนอว่า ควรขยายความคุ้มครองทางสังคมเพื่อให้มั่นใจว่ากลุ่มผู้สูงอายุและแรงงานข้ามชาติไม่ได้ถูกมองข้าม ทั้งยังควรให้เงินอุดหนุนแก่กลุ่มที่เปราะบางต่อไป และถ้าเป็นไปได้ควรพยายามเชื่อมโยงการให้เงินอุดหนุนไปกับการฝึกอบรม การให้คำแนะนำ และความสนับสนุนด้านอื่นๆ ที่จะช่วยสร้างโอกาสในการหารายได้ ในระยะปานกลางประเทศไทยควรพิจารณาโครงการที่จะให้ประโยชน์ครอบคลุมทั่วทุกด้านรองรับการแพร่ระบาดของโรคและวิกฤตการณ์อื่นๆ โดยควรเสริมด้วยการมุ่งเป้าโครงการไปที่กลุ่มคนยากจน
สำหรับผู้ประกอบการที่เปราะบางควรต้องปรับเปลี่ยนจากการช่วยเหลือในภาวการณ์ฉุกเฉิน ไปสู่การเสริมสร้างผลิตภาพของผู้ประกอบการที่ยังประกอบกิจการอยู่ รวมทั้งปรับทิศทางการสนับสนุนด้านการคลัง จากมาตรการฉุกเฉินไปสู่โครงการสร้างงานชั่วคราว โดยเพิ่มความสะดวกให้กับบริษัทที่จะเข้าร่วมในโครงการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ หรือการรับทำงานสาธารณะมากขึ้น และในระยะต่อไปควรปรับเปลี่ยนการสนับสนุนผู้ประกอบการที่ส่งเสริมการเพิ่มผลิตภาพการผลิต ที่เน้นส่งเสริมการลงทุนเพื่อการฝึกอบรมแรงงาน ฝึกอบรมการบริหารงาน และการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการประกอบกิจการ
อย่างไรก็ตาม หากประเมินภาพรวมมาตรการเยียวยากลุ่มต่างๆ ของรัฐบาลทั้งภาคครัวเรือนและภาคเอกชนที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ถือว่ารัฐบาลทำได้ดีและเร็วกว่าประเทศอื่น เห็นได้จากเงินเยียวยาที่ใช้ในวงเงินสูงคิดเป็น 13% ของจีดีพี และมองว่าการดำเนินนโยบายการเงินการคลังของไทยยังสามารถรองรับมาตรการเยียวยาผลกระทบจากโควิด-19 ได้เพียงพอในไตรมาสต่อไป เช่น การจ่ายเงินเยียวยา 5,000 บาท ก็ยังดำเนินการต่อได้ แต่ขณะเดียวกันไทยก็ต้องกลับมาดูสถานะการคลังโดยการขยายฐานภาษีเพื่อเก็บรายได้ภาษีเข้าประเทศให้มากขึ้น ลดภาระหนี้สาธารณะด้วย
ด้านนาง
เบอร์กิท ฮานสล์ ผู้จัดการธนาคารโลกประจำประเทศไทย กล่าวว่า ในช่วงเริ่มต้นของการฟื้นตัวความท้าทายที่สำคัญ คือ ทำอย่างไรที่จะช่วยให้ผู้ที่ตกงานสามารถกลับเข้าสู่ตลาดแรงงานได้อีกครั้ง ซึ่งน่าจะได้นำมาตรการที่เสริมความคล่องตัวของตลาดแรงงานมาพิจารณา เช่น การให้เงินอุดหนุนค่าจ้างที่มุ่งเป้าไปสู่บุคคลที่อยู่ในภาคการผลิตที่เปราะบางที่สุด และการฝึกปฏิบัติงานไปพร้อมกับการทำงานจริงเพื่อสนับสนุนให้เกิดการจ้างงานอีกครั้ง
“ประมาณการว่าไทยจะมีคนตกงานและสูญเสียรายได้จากโควิด-19 กว่า 8.3 ล้านคน ทำให้งานมากมายโดยเฉพาะในภาคการท่องเที่ยวและภาคบริการมีความเสี่ยง ซึ่งจากรายงานยังพบอีกว่าจำนวนผู้ที่ไม่มีความมั่นคงทางเศรษฐกิจ หรือผู้ที่มีรายได้ต่อวันต่ำกว่า 5.5 เหรียญดอลลาร์สหรัฐ (ตามภาวะเสมอภาคของอำนาจซื้อ) จะสูงขึ้นกว่าหนึ่งเท่าตัวจาก 4.7 ล้านคนในไตรมาสแรกเป็น 9.7 ล้านคนในไตรมาส 2/2563 โดยเฉพาะ สัดส่วนของคนที่ไม่มีความมั่นคงทางเศรษฐกิจในกลุ่มครัวเรือนชนชั้นกลางในภาคการผลิตและภาคบริการจะเพิ่มขึ้นกว่า 3 เท่าตัว จาก 6% เป็น 20%”
'ก้าวไกล'ประเดิมส่งผู้สมัครชิงส.ส.สมุทรปราการ
https://www.dailynews.co.th/politics/782552
“ก้าวไกล”ประเดิมส่งผู้สมัครเลือกตั้งใหม่สมุทรปราการ หลัง”กรุง ศรีวิไล”โดนใบเหลืองปมคนใกล้ชิดแจกเงินงานศพช่วงหาเสียงเลือกตั้ง
เมื่อวันที่ 30 มิ.ย. นาย
วิโรจน์ ลักขณาอดิศร โฆษกพรรคก้าวไกล เปิดเผยว่า จากการที่ศาลวินิจฉัยและมีคำสั่งให้เลือกตั้งใหม่ เนื่องจากนาย
กรุงศรีวิไล สุทินเผือก ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ จ.สมุทรปราการ เขต 5 ถูกกล่าวหาว่าคนใกล้ชิดให้ทรัพย์สินและผลประโยชน์อื่นใดเพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนให้นายกรุงศรีวิไล ซึ่งมีความผิดตาม พ.ร.ป.เลือกตั้งนั้น พรรคก้าวไกลพร้อมส่งผู้สมัครลงเลือกตั้งใหม่เขต 5 จ.สมุทรปราการแล้ว และนี่จะเป็นครั้งแรกของพรรคก้าวไกลที่จะส่งผู้สมัครลงเลือกตั้งได้ตามข้อกำหนดของกฎหมาย หลังจากที่ 54 ส.ส. พรรคอนาคตใหม่ที่ถูกยุบโดยคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญได้ย้ายมาสังกัดพรรคก้าวไกล เพื่อสานต่อภารกิจอนาคตใหม่
นาย
วิโรจน์ กล่าวว่า พรรคก้าวไกลมีความมุ่งมั่นที่จะผู้สมัครลงเลือกตั้งเพื่อเป็นแสงสว่างแห่งความหวังของประชาชน ที่ต้องการนำพาประเทศให้พัฒนาไปข้างหน้า เป็นตัวแทนของประชาชนที่สามารถทำให้เสียงของประชาชนดังขึ้น และพร้อมทำทุกวิถีทางเพื่อให้ปัญหาความทุกข์ยากที่ประชาชนประสบอยู่ได้รับการแก้ไข พรรคก้าวไกลยืนยันที่จะต่อสู้ทางความคิด กับการเมืองแบบเก่า ที่มีแต่การแย่งชิงผลประโยชน์ มากกว่าการทำงานเพื่อผลประโยชน์ของประชาชนส่วนใหญ่
“พรรคก้าวไกลเชื่อมั่นว่า ประชาชนจะไม่ยอมจำนนต่อความกลัวที่รัฐบาลพยายามกดเอาไว้อีกต่อไป และพร้อมจะส่งเสียงแห่งความหวังออกมาดังๆ ด้วยคะแนนที่ท่วมท้น เพื่อให้พรรคก้าวไกล เป็นตัวแทนในการถือดวงไฟแห่งความหวังนั้น โดยกรรมการบริหารพรรคจะประชุมและรับรองชื่อผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งในนามพรรคก้าวไกลภายในเร็ววันนี้ หากได้รายชื่อผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งอย่างเป็นทางการแล้วจะแจ้งให้ทราบจึงขอให้พี่น้องสื่อมวลชนและประชาชนโปรดติดตามอย่างใกล้ชิดต่อไป” นาย
วิโรจน์กล่าว.
JJNY : เวิลด์แบงก์ชี้จีดีพีไทย63หดกว่า5%/กก.ส่งผู้สมัครชิงส.ส.สมุทรปราการ/อ้างเป็นตร.ขอข้อมูลนศ.มช./ว่างงานมิ.ย.กว่า5แสน
https://www.khaosod.co.th/economics/news_4412170
นอกจากนี้ คาดว่าการบริโภคภาคเอกชนจะลดลง 3.2% เนื่องจากมาตรการห้ามการเดินทางและรายได้ที่ลดลง ซึ่งจำกัดการใช้จ่ายของผู้บริโภคโดยเฉพาะในไตรมาส 2/2563 ประกอบกับมีคนตกงานกระจายไปทั่ว และกระทบต่อครัวเรือนชนชั้นกลางไปถึงครัวเรือนที่ยากจน ภาคการท่องเที่ยวที่คิดเป็นสัดส่วน 15% ของจีดีพีได้รับผลกระทบอย่างมากจากการที่ไทยเกือบจะห้ามนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาในประเทศตั้งแต่เดือนมี.ค. 2563
“จากรายงานตามติดเศรษฐกิจไทยของธนาคารโลกฉบับล่าสุดพบว่าการระบาดของเชื้อโควิด-19 ฉุดเศรษฐกิจไทยโดยเฉพาะในไตรมาส 2/2563 แม้ไทยจะประสบความสำเร็จในการชะลอการระบาดของโควิด-19 ได้ภายใน 3 เดือนที่ผ่านมา แต่ผลกระทบที่มีต่อเศรษฐกิจนั้นรุนแรง แต่การที่ไทยเริ่มผ่อนปรนการห้ามเดินทาง จะทำให้การบริโภคภายในประเทศที่เดิมมีความเข้มแข็งอยู่แล้วและเป็นเครื่องจักรผลักดันเศรษฐกิจเริ่มจะฟื้นตัวได้ในไตรมาส 2/2563 ต่อเนื่องไปในปี 2564 แต่การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจจะค่อยๆ ปรับตัวและยังมีความไม่แน่นอนอยู่”
โดยพื้นฐานเศรษฐกิจไทยปี 2564 น่าจะขยายตัว 4.1% และปี 2565 น่าจะขยายตัว 3.6% สะท้อนว่าเศรษฐกิจไทยน่าจะฟื้นตัวกลับไปสู่ระดับก่อนการระบาดของโควิดภายในกลางปี 2565 แต่รูปแบบของการฟื้นตัวยังขึ้นอยู่ปัจจัยเสี่ยงหลายด้าน เช่น การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกที่ยังอ่อนแอ การท่องเที่ยวที่เปราะบาง รวมถึงการค้าและห่วงโซ่อุปทานที่ยังคงอยู่ในภาวะชะงักงัน
นายเกียรติพงศ์ กล่าวว่า พลังของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจจะขึ้นอยู่กับนโยบายในการรับมือวิกฤตที่มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะการสนับสนุนครัวเรือนและผู้ประกอบการที่เปราะบาง ซึ่งรายงานฉบับนี้เวิลด์แบงก์เสนอว่า ควรขยายความคุ้มครองทางสังคมเพื่อให้มั่นใจว่ากลุ่มผู้สูงอายุและแรงงานข้ามชาติไม่ได้ถูกมองข้าม ทั้งยังควรให้เงินอุดหนุนแก่กลุ่มที่เปราะบางต่อไป และถ้าเป็นไปได้ควรพยายามเชื่อมโยงการให้เงินอุดหนุนไปกับการฝึกอบรม การให้คำแนะนำ และความสนับสนุนด้านอื่นๆ ที่จะช่วยสร้างโอกาสในการหารายได้ ในระยะปานกลางประเทศไทยควรพิจารณาโครงการที่จะให้ประโยชน์ครอบคลุมทั่วทุกด้านรองรับการแพร่ระบาดของโรคและวิกฤตการณ์อื่นๆ โดยควรเสริมด้วยการมุ่งเป้าโครงการไปที่กลุ่มคนยากจน
สำหรับผู้ประกอบการที่เปราะบางควรต้องปรับเปลี่ยนจากการช่วยเหลือในภาวการณ์ฉุกเฉิน ไปสู่การเสริมสร้างผลิตภาพของผู้ประกอบการที่ยังประกอบกิจการอยู่ รวมทั้งปรับทิศทางการสนับสนุนด้านการคลัง จากมาตรการฉุกเฉินไปสู่โครงการสร้างงานชั่วคราว โดยเพิ่มความสะดวกให้กับบริษัทที่จะเข้าร่วมในโครงการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ หรือการรับทำงานสาธารณะมากขึ้น และในระยะต่อไปควรปรับเปลี่ยนการสนับสนุนผู้ประกอบการที่ส่งเสริมการเพิ่มผลิตภาพการผลิต ที่เน้นส่งเสริมการลงทุนเพื่อการฝึกอบรมแรงงาน ฝึกอบรมการบริหารงาน และการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการประกอบกิจการ
อย่างไรก็ตาม หากประเมินภาพรวมมาตรการเยียวยากลุ่มต่างๆ ของรัฐบาลทั้งภาคครัวเรือนและภาคเอกชนที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ถือว่ารัฐบาลทำได้ดีและเร็วกว่าประเทศอื่น เห็นได้จากเงินเยียวยาที่ใช้ในวงเงินสูงคิดเป็น 13% ของจีดีพี และมองว่าการดำเนินนโยบายการเงินการคลังของไทยยังสามารถรองรับมาตรการเยียวยาผลกระทบจากโควิด-19 ได้เพียงพอในไตรมาสต่อไป เช่น การจ่ายเงินเยียวยา 5,000 บาท ก็ยังดำเนินการต่อได้ แต่ขณะเดียวกันไทยก็ต้องกลับมาดูสถานะการคลังโดยการขยายฐานภาษีเพื่อเก็บรายได้ภาษีเข้าประเทศให้มากขึ้น ลดภาระหนี้สาธารณะด้วย
ด้านนางเบอร์กิท ฮานสล์ ผู้จัดการธนาคารโลกประจำประเทศไทย กล่าวว่า ในช่วงเริ่มต้นของการฟื้นตัวความท้าทายที่สำคัญ คือ ทำอย่างไรที่จะช่วยให้ผู้ที่ตกงานสามารถกลับเข้าสู่ตลาดแรงงานได้อีกครั้ง ซึ่งน่าจะได้นำมาตรการที่เสริมความคล่องตัวของตลาดแรงงานมาพิจารณา เช่น การให้เงินอุดหนุนค่าจ้างที่มุ่งเป้าไปสู่บุคคลที่อยู่ในภาคการผลิตที่เปราะบางที่สุด และการฝึกปฏิบัติงานไปพร้อมกับการทำงานจริงเพื่อสนับสนุนให้เกิดการจ้างงานอีกครั้ง
“ประมาณการว่าไทยจะมีคนตกงานและสูญเสียรายได้จากโควิด-19 กว่า 8.3 ล้านคน ทำให้งานมากมายโดยเฉพาะในภาคการท่องเที่ยวและภาคบริการมีความเสี่ยง ซึ่งจากรายงานยังพบอีกว่าจำนวนผู้ที่ไม่มีความมั่นคงทางเศรษฐกิจ หรือผู้ที่มีรายได้ต่อวันต่ำกว่า 5.5 เหรียญดอลลาร์สหรัฐ (ตามภาวะเสมอภาคของอำนาจซื้อ) จะสูงขึ้นกว่าหนึ่งเท่าตัวจาก 4.7 ล้านคนในไตรมาสแรกเป็น 9.7 ล้านคนในไตรมาส 2/2563 โดยเฉพาะ สัดส่วนของคนที่ไม่มีความมั่นคงทางเศรษฐกิจในกลุ่มครัวเรือนชนชั้นกลางในภาคการผลิตและภาคบริการจะเพิ่มขึ้นกว่า 3 เท่าตัว จาก 6% เป็น 20%”
'ก้าวไกล'ประเดิมส่งผู้สมัครชิงส.ส.สมุทรปราการ
https://www.dailynews.co.th/politics/782552
“ก้าวไกล”ประเดิมส่งผู้สมัครเลือกตั้งใหม่สมุทรปราการ หลัง”กรุง ศรีวิไล”โดนใบเหลืองปมคนใกล้ชิดแจกเงินงานศพช่วงหาเสียงเลือกตั้ง
เมื่อวันที่ 30 มิ.ย. นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร โฆษกพรรคก้าวไกล เปิดเผยว่า จากการที่ศาลวินิจฉัยและมีคำสั่งให้เลือกตั้งใหม่ เนื่องจากนายกรุงศรีวิไล สุทินเผือก ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ จ.สมุทรปราการ เขต 5 ถูกกล่าวหาว่าคนใกล้ชิดให้ทรัพย์สินและผลประโยชน์อื่นใดเพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนให้นายกรุงศรีวิไล ซึ่งมีความผิดตาม พ.ร.ป.เลือกตั้งนั้น พรรคก้าวไกลพร้อมส่งผู้สมัครลงเลือกตั้งใหม่เขต 5 จ.สมุทรปราการแล้ว และนี่จะเป็นครั้งแรกของพรรคก้าวไกลที่จะส่งผู้สมัครลงเลือกตั้งได้ตามข้อกำหนดของกฎหมาย หลังจากที่ 54 ส.ส. พรรคอนาคตใหม่ที่ถูกยุบโดยคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญได้ย้ายมาสังกัดพรรคก้าวไกล เพื่อสานต่อภารกิจอนาคตใหม่
นายวิโรจน์ กล่าวว่า พรรคก้าวไกลมีความมุ่งมั่นที่จะผู้สมัครลงเลือกตั้งเพื่อเป็นแสงสว่างแห่งความหวังของประชาชน ที่ต้องการนำพาประเทศให้พัฒนาไปข้างหน้า เป็นตัวแทนของประชาชนที่สามารถทำให้เสียงของประชาชนดังขึ้น และพร้อมทำทุกวิถีทางเพื่อให้ปัญหาความทุกข์ยากที่ประชาชนประสบอยู่ได้รับการแก้ไข พรรคก้าวไกลยืนยันที่จะต่อสู้ทางความคิด กับการเมืองแบบเก่า ที่มีแต่การแย่งชิงผลประโยชน์ มากกว่าการทำงานเพื่อผลประโยชน์ของประชาชนส่วนใหญ่
“พรรคก้าวไกลเชื่อมั่นว่า ประชาชนจะไม่ยอมจำนนต่อความกลัวที่รัฐบาลพยายามกดเอาไว้อีกต่อไป และพร้อมจะส่งเสียงแห่งความหวังออกมาดังๆ ด้วยคะแนนที่ท่วมท้น เพื่อให้พรรคก้าวไกล เป็นตัวแทนในการถือดวงไฟแห่งความหวังนั้น โดยกรรมการบริหารพรรคจะประชุมและรับรองชื่อผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งในนามพรรคก้าวไกลภายในเร็ววันนี้ หากได้รายชื่อผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งอย่างเป็นทางการแล้วจะแจ้งให้ทราบจึงขอให้พี่น้องสื่อมวลชนและประชาชนโปรดติดตามอย่างใกล้ชิดต่อไป” นายวิโรจน์กล่าว.