ฮาทั้งงาน! ‘ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์’ ร่วมเฟรม เชนจ์เมกเกอร์ ด้าน ‘เอม-อุ๊งอิ๊ง’ กำลังใจสำคัญพี่โทนี่แจมด้วย
https://www.matichon.co.th/politics/news_2645264
ฮาทั้งงาน! ‘ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์’ ร่วมเฟรม เชนจ์เมกเกอร์ ด้าน ‘เอม-อุ๊งอิ๊ง’ กำลังใจสำคัญพี่โทนี่ร่วมฟังบรรยายด้วย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นอกจากจะมีผู้เข้าร่วมโครงการที่มาร่วมกิจกรรมอย่างคึกคักแล้ว ยังมีแกนนำพรรค พท.และ ส.ส.เข้าร่วมอย่างคึกคักด้วย รวมถึง น.ส.
พินทองทา และ น.ส.
แพรทองธาร ชินวัตร บุตรสาวของนาย
ทักษิณ มาร่วมรับฟังการบรรยายด้วย โดยนาย
ทักษิณ ได้กล่าวทักทายทั้งสองคนว่า “
นี่คือกำลังใจสำคัญของผม” ขณะที่ น.ส.
พินทองทา กล่าวตอบกลับไปว่า “
วันนี้มาให้กำลังใจ ปลื้มใจที่ทุกคนมีพลังงานที่ดีมาร่วมกันแชร์กับพี่โทนี่ เป็นกำลังใจให้กับพี่โทนี่”
และเมื่อบรรยายจบ นาย
ทักษิณ ได้ร่วมถ่ายภาพกับผู้ร่วมกิจกรรม โดยบอกว่า วันนี้มีแขกพิเศษที่จะมาร่วมถ่ายรูปด้วย จากนั้น น.ส.
ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ยืนอยู่หลังกล้องก็ออกมายืนคู่กับนาย
ทักษิณ ทำให้ผู้ร่วมกิจกรรมส่งเสียงดีใจร้องเฮกันทั้งงาน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
‘พี่โทนี่’ ซัดระบบการศึกษาทำคนไทยอ่อนแอ ตามโลกยุคใหม่ ชี้ต้องปรับปรุงครั้งใหญ่
https://www.matichon.co.th/
"ทักษิณ" พูดอะไร ในเวทีที่มีแต่ "วัยรุ่น" ตอบคำถามธุรกิจ 18+ "ยิ่งลักษณ์" ร่วมแจม
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_6216697
พี่โทนี่ มาอีกครั้ง! หนุน "โสเภณีถูกกฎหมาย" บอกประเทศไทย "อย่าดัดจริต"
https://www.khaosod.co.th/politics/news_6216209
"ทักษิณ" หนุนขนส่งระบบราง ฝากไปคิด หาก "ไฮเปอร์ลูป" มาจริง ต้องทำอย่างไร
https://www.thairath.co.th/news/politic/2058668
ศก.ไทยฟื้นช้า เข็นท่องเที่ยวไม่ขึ้น
https://www.thansettakij.com/content/business/473614
ธปท.ยอมรับ เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวช้ากว่าภูมิภาค เหตุพึ่งพาท่องเที่ยวสูง พร้อมปรับลดจีดีพีปี 64 เหลือขยายตัว 3.0% จากเดิม 3.2% เหตุนักท่องเที่ยวต่างชาติเหลือเพียง 3 ล้านคน ยันยังต้องการกระตุ้นจากภาครัฐ เอกชนห่วงอุปสงค์ในประเทศยังอ่อนแอ จี้คลังเร่งสร้างการลงทุน
คณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2564 มีมติเป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 0.50% ต่อปี เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ยังมีความไม่แน่นอนสูงพร้อมปรับลดประมาณการผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ(จีดีพี)ปี 2564 เติบโต 3.0% จากเดิม 3.2% โดยปัจจัยสำคัญมาจากการปรับลดจำนนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศเหลือ 3 ล้านคน จากเดิม 5.5 ล้านคน สอดคล้องกับสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ปรับลดจีดีพีเป็น 3.0% จำนวนนักท่องเที่ยวจากเดิม 4.9 ล้านคนเหลือ 3.9 ล้านคน ขณะที่สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เตรียมทบทวนตัวเลขในเดือนเมษายนนี้ จากที่คาดการณ์จีดีพีจะขยายตัว 2.8% จำนวนนักท่องเที่ยว 5 ล้านคน จากเดิมคาดไว้ 8 ล้านคน
นาย
ทิตนันทิ์ มัลลิกะมาส ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยเมื่อเทียบกับภูมิภาค ถือว่าฟื้นตัวช้า ส่วนหนึ่งมาจากไทยพึ่งพาภาคการท่องเที่ยวในสัดส่วนค่อนข้างสูงกว่า 11% ของจีดีพี จึงได้รับผลกระทบมากกว่าประเทศอื่น โดยคาดว่า ต้องใช้เวลาประมาณ 2 ปีครึ่งหรือภายในกลางปี 2565 กว่าที่เศรษฐกิจจะกลับมาขยายตัวเข้าสู่ระดับปกติก่อนที่จะมีโควิด-19 ในช่วงปลายปี 2562 ดังนั้น การกระตุ้นยังเป็นเรื่องจำเป็นและการฟื้นฟูในระยะข้างหน้า เพื่อให้เศรษฐกิจฟื้นตัวเข้มแข็ง
“
แนวโน้มเศรษฐกิจไตรมาสแรกปีนี้ ยังคงหดตัว แต่ไม่มากเมื่อเทียบกับไตรมาส4 ปีที่แล้วจาก ผลกระทบการระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ เนื่องจากมาตรการบริหารจัดการล็อกดาวน์ไม่ได้เข้มงวดเหมือนระลอกแรก และมีมาตรการกระตุ้นของภาครัฐ แต่การฟื้นตัวยังคงเปราะบาง และไม่ทั่วถึง จึงต้องการแรงสนับสนุนจากมาตการภาครัฐและการเงินต่อเนื่อง” นาย
ทิตนันท์กล่าว
นาย
อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สำนักวิจัย ธนาคารซีไอเอ็มบีไทยกล่าวว่า แนวโน้มภาคส่งออกสินค้าจะเป็นตัวเคลื่อนเศรษฐกิจไทย โดยเห็นได้จากกลุ่มยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ที่ยังไปได้ แต่ยังเป็นห่วงอุปสงค์ในประเทศที่เติบโตค่อนข้างช้าและยังอ่อนแอ ขณะที่ธปท.มองภาคการบริโภคเติบโต 3.0% เท่ากับจีดีพี สะท้อนการเติบโตเฉพาะกลุ่มสินค้าไม่คงทน เพราะมีเงินช่วยเหลือจากนโยบายภาครัฐ ส่วนสินค้าขนาดใหญ่ยังฟื้นช้า รวมถึงการลงทุน หรือกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ยังไม่กระเตื้องขึ้น
“
สิ่งที่เราเห็นคล้ายกับธปท.คือ จำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่ยังไม่กลับมา จึงเห็นการปรับลดประมาณการจีดีพีลง ซึ่งธปท.ได้คงดอกเบี้ยและอัดฉีดเงินแล้ว ทั้งมาตรการสินเชื่อฟื้นฟูและโครงการพักทรัพย์ พักหนี้ ที่จะช่วยประคองธุรกิจที่ฟื้นตัวช้า ซึ่งต้องเร่งให้ซอฟต์โลนเข้าสู่ระบบได้เร็วที่สุด สิ่งที่กังวลคือ อาจต้องเตรียมความพร้อมทั้งมาตรการและการรับมือความไม่แน่นอนในอนาคต โดยเฉพาะอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทย (Potential Growth) ซึ่งเป็นโจทย์ระยะยาวของประเทศ” นาย
อมรเทพกล่าว
ดังนั้น กระทรวงการคลังจะเป็นความหวังดำเนินนโยบายการคลังเชิงรุก ไม่ว่าจะเป็นสร้างสาธารณูโภค เร่งก่อสร้างการลงทุนภาครัฐและสร้างงาน เฉพาะแจกเงินอย่างเดียวไม่เพียงพอ เพราะยังมีความเสี่ยงเศรษฐกิจฟื้นตัวช้าและเติบโตต่ำกว่าศักยภาพและต่ำกว่าประเทศอื่นในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งเป็นจังหวะทำนโยบายของคลังในช่วงดอกเบี้ยต่ำโดยไม่ต้องห่วงเรื่องหนี้สาธารณะจะเพิ่ม รวมถึงเน้นการท่องเที่ยวในประเทศให้ถาวร
อย่างไรก็ตาม ซีไอเอ็มบีไทยมองว่า จีดีพีไตรมาสแรกจะติดลบ 4.1% เมื่อปรับฤดูกาลติบลบ 1.6% ซึ่งจะเป็นการติดลบไตรมาสสุดท้าย โดยมองครึ่งหลังของปีจะเห็นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ โดยเฉพาะภาคการส่งออกที่น่าจะฟื้นก่อน ขณะที่ไตรมาส 2 น่าจะกลับมาขยายตัว 7.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนติดลบ 12.1%
นาย
นริศ สถาผลเดชา หัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหาร TMB Analytics ธนาคาร ทีเอ็มบีกล่าวว่า สิ่งที่เห็นสอดคล้องกับธปท.คือ นโยบายภาครัฐยังมีความจำเป็น หากจะฟื้นเศรษฐกิจต้องผลักดันการบริโภคให้เติบโตได้ ซึ่งต้องเร่งออกมาตรการเพื่อเร่งให้คนมีกำลังซื้อ โดยไม่ต้องรอลดหย่อนภาษีโค้งปลายปี จะต้องกระตุ้นคนกลุ่มนี้มากขึ้น เพราะที่ผ่านมาการซื้อรถยนต์และอสังหาริมทรัพย์ก็ยังมีมาตรการบางส่วน เช่น ลดค่าโอน ค่าจดจำนองแล้ว แต่ภาคบริการและเอสเอ็มอียังเหนื่อยอยู่ จึงอยากเห็นผู้ทำนโยบายเน้นมาตรการกระตุ้นคนมีรายได้ออกมาใช้จ่าย
JJNY : 4in1 ‘ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์’ร่วมเฟรมเชนจ์เมกเกอร์│ศก.ไทยฟื้นช้า│แฉจนท.รัฐใช้งบหลวงตั้งวงดื่ม│นองเลือดวันกองทัพเมียนมา
https://www.matichon.co.th/politics/news_2645264
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นอกจากจะมีผู้เข้าร่วมโครงการที่มาร่วมกิจกรรมอย่างคึกคักแล้ว ยังมีแกนนำพรรค พท.และ ส.ส.เข้าร่วมอย่างคึกคักด้วย รวมถึง น.ส.พินทองทา และ น.ส.แพรทองธาร ชินวัตร บุตรสาวของนายทักษิณ มาร่วมรับฟังการบรรยายด้วย โดยนายทักษิณ ได้กล่าวทักทายทั้งสองคนว่า “นี่คือกำลังใจสำคัญของผม” ขณะที่ น.ส.พินทองทา กล่าวตอบกลับไปว่า “วันนี้มาให้กำลังใจ ปลื้มใจที่ทุกคนมีพลังงานที่ดีมาร่วมกันแชร์กับพี่โทนี่ เป็นกำลังใจให้กับพี่โทนี่”
และเมื่อบรรยายจบ นายทักษิณ ได้ร่วมถ่ายภาพกับผู้ร่วมกิจกรรม โดยบอกว่า วันนี้มีแขกพิเศษที่จะมาร่วมถ่ายรูปด้วย จากนั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ยืนอยู่หลังกล้องก็ออกมายืนคู่กับนายทักษิณ ทำให้ผู้ร่วมกิจกรรมส่งเสียงดีใจร้องเฮกันทั้งงาน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
‘พี่โทนี่’ ซัดระบบการศึกษาทำคนไทยอ่อนแอ ตามโลกยุคใหม่ ชี้ต้องปรับปรุงครั้งใหญ่
https://www.matichon.co.th/
"ทักษิณ" พูดอะไร ในเวทีที่มีแต่ "วัยรุ่น" ตอบคำถามธุรกิจ 18+ "ยิ่งลักษณ์" ร่วมแจม
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_6216697
พี่โทนี่ มาอีกครั้ง! หนุน "โสเภณีถูกกฎหมาย" บอกประเทศไทย "อย่าดัดจริต"
https://www.khaosod.co.th/politics/news_6216209
"ทักษิณ" หนุนขนส่งระบบราง ฝากไปคิด หาก "ไฮเปอร์ลูป" มาจริง ต้องทำอย่างไร
https://www.thairath.co.th/news/politic/2058668
ศก.ไทยฟื้นช้า เข็นท่องเที่ยวไม่ขึ้น
https://www.thansettakij.com/content/business/473614
ธปท.ยอมรับ เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวช้ากว่าภูมิภาค เหตุพึ่งพาท่องเที่ยวสูง พร้อมปรับลดจีดีพีปี 64 เหลือขยายตัว 3.0% จากเดิม 3.2% เหตุนักท่องเที่ยวต่างชาติเหลือเพียง 3 ล้านคน ยันยังต้องการกระตุ้นจากภาครัฐ เอกชนห่วงอุปสงค์ในประเทศยังอ่อนแอ จี้คลังเร่งสร้างการลงทุน
คณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2564 มีมติเป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 0.50% ต่อปี เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ยังมีความไม่แน่นอนสูงพร้อมปรับลดประมาณการผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ(จีดีพี)ปี 2564 เติบโต 3.0% จากเดิม 3.2% โดยปัจจัยสำคัญมาจากการปรับลดจำนนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศเหลือ 3 ล้านคน จากเดิม 5.5 ล้านคน สอดคล้องกับสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ปรับลดจีดีพีเป็น 3.0% จำนวนนักท่องเที่ยวจากเดิม 4.9 ล้านคนเหลือ 3.9 ล้านคน ขณะที่สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เตรียมทบทวนตัวเลขในเดือนเมษายนนี้ จากที่คาดการณ์จีดีพีจะขยายตัว 2.8% จำนวนนักท่องเที่ยว 5 ล้านคน จากเดิมคาดไว้ 8 ล้านคน
นายทิตนันทิ์ มัลลิกะมาส ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยเมื่อเทียบกับภูมิภาค ถือว่าฟื้นตัวช้า ส่วนหนึ่งมาจากไทยพึ่งพาภาคการท่องเที่ยวในสัดส่วนค่อนข้างสูงกว่า 11% ของจีดีพี จึงได้รับผลกระทบมากกว่าประเทศอื่น โดยคาดว่า ต้องใช้เวลาประมาณ 2 ปีครึ่งหรือภายในกลางปี 2565 กว่าที่เศรษฐกิจจะกลับมาขยายตัวเข้าสู่ระดับปกติก่อนที่จะมีโควิด-19 ในช่วงปลายปี 2562 ดังนั้น การกระตุ้นยังเป็นเรื่องจำเป็นและการฟื้นฟูในระยะข้างหน้า เพื่อให้เศรษฐกิจฟื้นตัวเข้มแข็ง
“แนวโน้มเศรษฐกิจไตรมาสแรกปีนี้ ยังคงหดตัว แต่ไม่มากเมื่อเทียบกับไตรมาส4 ปีที่แล้วจาก ผลกระทบการระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ เนื่องจากมาตรการบริหารจัดการล็อกดาวน์ไม่ได้เข้มงวดเหมือนระลอกแรก และมีมาตรการกระตุ้นของภาครัฐ แต่การฟื้นตัวยังคงเปราะบาง และไม่ทั่วถึง จึงต้องการแรงสนับสนุนจากมาตการภาครัฐและการเงินต่อเนื่อง” นายทิตนันท์กล่าว
นายอมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สำนักวิจัย ธนาคารซีไอเอ็มบีไทยกล่าวว่า แนวโน้มภาคส่งออกสินค้าจะเป็นตัวเคลื่อนเศรษฐกิจไทย โดยเห็นได้จากกลุ่มยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ที่ยังไปได้ แต่ยังเป็นห่วงอุปสงค์ในประเทศที่เติบโตค่อนข้างช้าและยังอ่อนแอ ขณะที่ธปท.มองภาคการบริโภคเติบโต 3.0% เท่ากับจีดีพี สะท้อนการเติบโตเฉพาะกลุ่มสินค้าไม่คงทน เพราะมีเงินช่วยเหลือจากนโยบายภาครัฐ ส่วนสินค้าขนาดใหญ่ยังฟื้นช้า รวมถึงการลงทุน หรือกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ยังไม่กระเตื้องขึ้น
“สิ่งที่เราเห็นคล้ายกับธปท.คือ จำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่ยังไม่กลับมา จึงเห็นการปรับลดประมาณการจีดีพีลง ซึ่งธปท.ได้คงดอกเบี้ยและอัดฉีดเงินแล้ว ทั้งมาตรการสินเชื่อฟื้นฟูและโครงการพักทรัพย์ พักหนี้ ที่จะช่วยประคองธุรกิจที่ฟื้นตัวช้า ซึ่งต้องเร่งให้ซอฟต์โลนเข้าสู่ระบบได้เร็วที่สุด สิ่งที่กังวลคือ อาจต้องเตรียมความพร้อมทั้งมาตรการและการรับมือความไม่แน่นอนในอนาคต โดยเฉพาะอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทย (Potential Growth) ซึ่งเป็นโจทย์ระยะยาวของประเทศ” นายอมรเทพกล่าว
ดังนั้น กระทรวงการคลังจะเป็นความหวังดำเนินนโยบายการคลังเชิงรุก ไม่ว่าจะเป็นสร้างสาธารณูโภค เร่งก่อสร้างการลงทุนภาครัฐและสร้างงาน เฉพาะแจกเงินอย่างเดียวไม่เพียงพอ เพราะยังมีความเสี่ยงเศรษฐกิจฟื้นตัวช้าและเติบโตต่ำกว่าศักยภาพและต่ำกว่าประเทศอื่นในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งเป็นจังหวะทำนโยบายของคลังในช่วงดอกเบี้ยต่ำโดยไม่ต้องห่วงเรื่องหนี้สาธารณะจะเพิ่ม รวมถึงเน้นการท่องเที่ยวในประเทศให้ถาวร
อย่างไรก็ตาม ซีไอเอ็มบีไทยมองว่า จีดีพีไตรมาสแรกจะติดลบ 4.1% เมื่อปรับฤดูกาลติบลบ 1.6% ซึ่งจะเป็นการติดลบไตรมาสสุดท้าย โดยมองครึ่งหลังของปีจะเห็นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ โดยเฉพาะภาคการส่งออกที่น่าจะฟื้นก่อน ขณะที่ไตรมาส 2 น่าจะกลับมาขยายตัว 7.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนติดลบ 12.1%
นายนริศ สถาผลเดชา หัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหาร TMB Analytics ธนาคาร ทีเอ็มบีกล่าวว่า สิ่งที่เห็นสอดคล้องกับธปท.คือ นโยบายภาครัฐยังมีความจำเป็น หากจะฟื้นเศรษฐกิจต้องผลักดันการบริโภคให้เติบโตได้ ซึ่งต้องเร่งออกมาตรการเพื่อเร่งให้คนมีกำลังซื้อ โดยไม่ต้องรอลดหย่อนภาษีโค้งปลายปี จะต้องกระตุ้นคนกลุ่มนี้มากขึ้น เพราะที่ผ่านมาการซื้อรถยนต์และอสังหาริมทรัพย์ก็ยังมีมาตรการบางส่วน เช่น ลดค่าโอน ค่าจดจำนองแล้ว แต่ภาคบริการและเอสเอ็มอียังเหนื่อยอยู่ จึงอยากเห็นผู้ทำนโยบายเน้นมาตรการกระตุ้นคนมีรายได้ออกมาใช้จ่าย