cr.
https://www.moneyandbanking.co.th/article/kscovid-03012021
บทวิเคราะห์จากบล.กสิกรไทย เผยถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด19รอบใหม่ในประเทศ
โดยระบุว่า ต้องจับตา ศบค. - นายกรัฐมนตรีที่จะมีการหารือมาตรการควบคุมสถานการณ์
ทั้งนี้หากอิงจากการเกิด 2nd wave ของหลายๆประเทศทั่วโลก พบว่าส่วนหนึ่งเกิดขึ้นภายหลังเทศกาลวันหยุดยาว
ซึ่งเกิดการเคลื่อนย้ายของกลุ่มคนเป็นจำนวนมาก ตัวอย่างเช่นในสหรัฐฯที่ 2สัปดาห์ภายหลังช่วงวันขอบคุณพระเจ้า
พบว่ายอดผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น 16% ระดับ 2.0แสนคนต่อวัน (ประชากรสหรัฐเดินทางประมาณ 50 ล้านคน คิดเป็นประมาณ 15%)
สำหรับประเทศไทย พบว่าในช่วงเทศกาลปีใหม่ที่ผ่านมา
ประชาชนเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะ 4,698,650 เที่ยวคน (ลดลง 31% เมื่อเทียบกับปีก่อน) โดยมีปริมาณการจราจรเข้า – ออกกรุงเทพฯ 6,242,602 คัน ต่ำกว่าจากปีก่อน 13.09% ส่วนใหญ่เป็นรถยนต์ส่วนบุคคล จำนวน 5,915,040 คัน คิดเป็น 94.75%
ของปริมาณการจราจรเข้า – ออกกรุงเทพฯ ทั้งหมด
ในขณะที่ยอดผู้ติดเชื้อรายวันเริ่มเร่งตัวขึ้นในระดับ 300 -400 คนต่อวัน เมื่อเทียบกับรอบแรกในช่วงเดือนมี.ค.-เม.ย.2563 ที่มีจำนวน 200 คน +/- ต่อวัน
ดังนั้นคงต้องจับตาดู 2 สัปดาห์นับจากวันที่ 1 ม.ค. ใน 4 ประเด็นคือ
1. ยอดผู้ติดเชื้อรายวัน
2. ผลของมาตรการ lockdown ทั้งในเชิงสาธารณสุขและเศรษฐกิจ
3. สธ.ประเมินเตียงรองรับผู้ป่วย 22,690เตียง รับเพิ่มได้วันละ 1,000- 1,920 ราย
4. มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม เช่น การขยายวงเงิน Co-pay และอื่นๆโดยเฉพาะกลุ่มธนาคาร (หากมีการขยายกรอบเวลา lockdown)
ทั้งนี้ผลต่อตลาดหุ้นนั้น ในสถิติตลาดหุ้นตปท.การปรับตัวลงประมาณ 3-8% ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย นำโดย QE, สัดส่วนหุ้นกลุ่ม Tech ,
วงเงินกระตุ้นเศรษฐกิจ/GDP , นโยบายและทิศทางของธปท. (โดยกสิกรไทยคาดลดดอกเบี้ย 0.25%)
“เราแบ่งเป็น 2กรณี
1.ล็อคทั้งประเทศ หรือFull lockdown : ดัชนี SET คาดว่าจะอยู่ที่ 1,377 จุด
2.ล็อคบางส่วน หรือ Partial Lockdown ดัชนี SET คาดว่าจะอยู่ในระดับ 1424 จุด
หากอิงจากการระบาดรอบแรกพบว่ากลุ่มและหุ้นที่ปรับขึ้นเหนือตลาดได้แก่ การเงิน, เกษตร และเครื่องดื่ม
รอบนี้เราคาดว่าเห็น Mini rotation กลุ่มธนาคารไปยังกลุ่มการเงิน และหุ้นที่คาดได้ sentiment เชิงบวกอย่าง STGT, TQM , AJ-PTL, KEX , Gadget play”
บล.กสิกรไทยประเมิน ล็อคดาวน์ทั้งประเทศ หรือ บางส่วน ส่งผลต่อดัชนี SET อย่างไร?
บทวิเคราะห์จากบล.กสิกรไทย เผยถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด19รอบใหม่ในประเทศ
โดยระบุว่า ต้องจับตา ศบค. - นายกรัฐมนตรีที่จะมีการหารือมาตรการควบคุมสถานการณ์
ทั้งนี้หากอิงจากการเกิด 2nd wave ของหลายๆประเทศทั่วโลก พบว่าส่วนหนึ่งเกิดขึ้นภายหลังเทศกาลวันหยุดยาว
ซึ่งเกิดการเคลื่อนย้ายของกลุ่มคนเป็นจำนวนมาก ตัวอย่างเช่นในสหรัฐฯที่ 2สัปดาห์ภายหลังช่วงวันขอบคุณพระเจ้า
พบว่ายอดผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น 16% ระดับ 2.0แสนคนต่อวัน (ประชากรสหรัฐเดินทางประมาณ 50 ล้านคน คิดเป็นประมาณ 15%)
สำหรับประเทศไทย พบว่าในช่วงเทศกาลปีใหม่ที่ผ่านมา
ประชาชนเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะ 4,698,650 เที่ยวคน (ลดลง 31% เมื่อเทียบกับปีก่อน) โดยมีปริมาณการจราจรเข้า – ออกกรุงเทพฯ 6,242,602 คัน ต่ำกว่าจากปีก่อน 13.09% ส่วนใหญ่เป็นรถยนต์ส่วนบุคคล จำนวน 5,915,040 คัน คิดเป็น 94.75%
ของปริมาณการจราจรเข้า – ออกกรุงเทพฯ ทั้งหมด
ในขณะที่ยอดผู้ติดเชื้อรายวันเริ่มเร่งตัวขึ้นในระดับ 300 -400 คนต่อวัน เมื่อเทียบกับรอบแรกในช่วงเดือนมี.ค.-เม.ย.2563 ที่มีจำนวน 200 คน +/- ต่อวัน
ดังนั้นคงต้องจับตาดู 2 สัปดาห์นับจากวันที่ 1 ม.ค. ใน 4 ประเด็นคือ
1. ยอดผู้ติดเชื้อรายวัน
2. ผลของมาตรการ lockdown ทั้งในเชิงสาธารณสุขและเศรษฐกิจ
3. สธ.ประเมินเตียงรองรับผู้ป่วย 22,690เตียง รับเพิ่มได้วันละ 1,000- 1,920 ราย
4. มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม เช่น การขยายวงเงิน Co-pay และอื่นๆโดยเฉพาะกลุ่มธนาคาร (หากมีการขยายกรอบเวลา lockdown)
ทั้งนี้ผลต่อตลาดหุ้นนั้น ในสถิติตลาดหุ้นตปท.การปรับตัวลงประมาณ 3-8% ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย นำโดย QE, สัดส่วนหุ้นกลุ่ม Tech ,
วงเงินกระตุ้นเศรษฐกิจ/GDP , นโยบายและทิศทางของธปท. (โดยกสิกรไทยคาดลดดอกเบี้ย 0.25%)
“เราแบ่งเป็น 2กรณี
1.ล็อคทั้งประเทศ หรือFull lockdown : ดัชนี SET คาดว่าจะอยู่ที่ 1,377 จุด
2.ล็อคบางส่วน หรือ Partial Lockdown ดัชนี SET คาดว่าจะอยู่ในระดับ 1424 จุด
หากอิงจากการระบาดรอบแรกพบว่ากลุ่มและหุ้นที่ปรับขึ้นเหนือตลาดได้แก่ การเงิน, เกษตร และเครื่องดื่ม
รอบนี้เราคาดว่าเห็น Mini rotation กลุ่มธนาคารไปยังกลุ่มการเงิน และหุ้นที่คาดได้ sentiment เชิงบวกอย่าง STGT, TQM , AJ-PTL, KEX , Gadget play”