JJNY : คนมองปี64โควิดแรงขึ้นศก.แย่ลง/พิชัยคาดศก.ปี64ยากลำบาก/ทุกห้างฯปิด3ทุ่ม-ดีเดย์4ม.ค./หมอ ยงเผยไทยพบโควิดอังกฤษแล้ว

คนมองปี64โควิดแรงขึ้นศก.แย่ลง-การเมืองวุ่น
https://www.innnews.co.th/politics/news_858378/
 
 
นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เผยผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนทั่วประเทศ จำนวน 1,326 หน่วยตัวอย่าง เรื่อง “การเมือง เศรษฐกิจ และโควิด-19 ในปี 2564” ระหว่างวันที่ 24 – 25 ธันวาคม 2563 เมื่อถามถึงความคิดเห็นของประชาชนต่อสถานการณ์ทางการเมืองไทยโดยทั่วไปในปี 2564 เมื่อเทียบกับปี 2563 พบว่า ส่วนใหญ่ ร้อยละ 41.63 ระบุว่า สถานการณ์ทางการเมืองจะวุ่นวายเหมือนเดิม รองลงมา ร้อยละ 35.30 ระบุว่า สถานการณ์ทางการเมืองจะวุ่นวายมากขึ้น ร้อยละ 15.46 ระบุว่า สถานการณ์ทางการเมืองจะวุ่นวายน้อยลง
 
ด้านความคิดเห็นของประชาชนต่อรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในปี 2564 พบว่า ส่วนใหญ่ ร้อยละ 54.15 ระบุว่า นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จะอยู่ยาวตลอดทั้งปี รองลงมา ร้อยละ 13.12 ระบุว่า รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จะมีการปรับคณะรัฐมนตรี ร้อยละ 8.45 ระบุว่า จะมีการยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่ ร้อยละ 7.62 ระบุว่า นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จะลาออก
 
สำหรับความคิดเห็นของประชาชนต่อม็อบคณะราษฎรในปี 2564 พบว่า ส่วนใหญ่ ร้อยละ 43.21 ระบุว่า ม็อบคณะราษฎรจะไปเรื่อย ๆ เหมือนเดิม รองลงมา ร้อยละ 22.78 ระบุว่า ม็อบคณะราษฎรจะอ่อนแรงลง ร้อยละ 13.80 ระบุว่า ม็อบคณะราษฎรจะยุติลง
 
ส่วนความคิดเห็นของประชาชนต่อสถานการณ์ทางเศรษฐกิจไทยในปี 2564 เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2563 พบว่า ส่วนใหญ่ ร้อยละ 52.19 ระบุว่า สถานการณ์ทางเศรษฐกิจจะแย่ลง รองลงมา ร้อยละ 32.13 ระบุว่า สถานการณ์ทางเศรษฐกิจจะเหมือนเดิม ร้อยละ 14.63 ระบุว่า สถานการณ์ทางเศรษฐกิจจะดีขึ้น
 
ท้ายที่สุดเมื่อถามถึงความคิดเห็นของประชาชนต่อการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในปี 2564 ในประเทศไทย เมื่อเปรียบเทียบกับ ปี 2563 พบว่า ร้อยละ 48.11 ระบุว่า การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จะรุนแรงขึ้น ร้อยละ 28.81 ระบุว่า การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จะลดน้อยลง ร้อยละ 22.10 ระบุว่า การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จะเหมือนเดิม
 

 
'พิชัย' คาดศก.ปี 64 ยากลำบาก-เสื่อมถอยหนัก ชี้ ไทยต้องการผู้นำทันโลก แนะพัฒนากรอบคิดก่อนตกยุค
 https://www.matichon.co.th/politics/news_2511052
 
เมื่อวันที่ 3 มกราคม นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย(พท.) ด้านเศรษฐกิจ กล่าวว่า การคาดการณ์เศรษฐกิจในปี 2564 น่าเป็นห่วงว่าเศรษฐกิจไทยจะยิ่งย่ำแย่เสื่อมถอยกว่าปีที่แล้วที่ว่าแย่แล้ว ทั้งนี้เพราะสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิดระลอกใหม่ตั้งแต่ปลายปีที่แล้วมาถึงปีนี้ได้เริ่มทวีความรุนแรงมากขึ้น รัฐบาลได้ประกาศล็อกดาวน์ในพื้นที่กรุงเทพและอีก 8 จังหวัด และอาจจะต้องล็อกดาวน์เพิ่มขึ้นอีกมาก ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจอย่างรุนแรง และไม่แน่ใจว่าจะสิ้นสุดเมื่อไหร่ ถ้าหากยาวนานและหากไวรัสเกิดกลายพันธุ์ก็จะยิ่งสร้างความลำบากให้กับประชาชนมากขึ้น และอาจส่งผลกระทบที่คาดกันว่าเศรษฐกิจไทยจะฟื้นได้บ้างในปีนี้ก็อาจจะไม่ฟื้นเลยก็เป็นได้
 
ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้คาดกันว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้อาจจะฟื้นตัวเป็นบวกได้บ้างประมาณ 3-3.5% ซึ่งก็ยังไม่ดีนัก เพราะยังฟื้นได้ประมาณครึ่งหนึ่งของที่เศรษฐกิจติดลบไปในปีที่แล้ว แต่ถึงกระนั้นความรู้สึกของประชาชนจะไม่รู้สึกว่าฟื้นเลย ทั้งนี้เพราะเศรษฐกิจได้ย่ำแย่มาเป็นเวลานานแล้ว แต่พอมาเจอการระบาดระลอกใหม่และทำท่าจะร้ายแรงและแพร่กระจายไปมากกว่าครั้งแรก ผลกระทบจะยิ่งทำให้เศรษฐกิจยิ่งย่ำแย่ ประชาชนที่แบกภาระทางเศรษฐกิจหนักอยู่แล้วทั้งภาระหนี้สินที่พอกพูนจนหนี้ครัวเรือนจะทะลุ 90% ของจีดีพีตามที่ได้เตือนไว้แล้ว รายได้ที่ลดลง เงินเก็บที่ร่อยหรอและกำลังจะหมด จะยิ่งส่งผลกระทบทำให้ไม่สามารถทนต่อภาวะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ต่อไปได้
 
ปีนี้จึงคาดว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวในระดับที่ต่ำมากหรืออาจจะเรียกได้ว่าเกือบไม่ฟื้นเลยก็ว่าได้ แต่สำหรับคนส่วนใหญ่อาจจะรู้สึกว่าติดลบก็เป็นได้ อีกทั้งยังไม่เห็นหนทางที่เศรษฐกิจไทยจะฟื้นได้เลยจากการบริหารของรัฐบาลในปัจจุบันที่ยังจมอยู่ในกรอบคิดเก่าๆแบบเดิมๆ ดังนั้น ปีนี้จะเป็นปีที่ “ยากลำบาก และ เสื่อมถอยหนัก” อีกทั้งสาเหตุของการระบาดรอบใหม่นี้ ก็เกิดมาจากความผิดพลาดของรัฐบาลทั้งเรื่องการปล่อยให้มีการลักลอบนำแรงงานต่างด้าวเข้ามาในไทยอย่างผิดกฎหมายทำให้ควบคุมการแพร่เชื้อไวรัสไม่ได้ และยังปล่อยให้มีการเล่นการพนันในบ่อนเถื่อนจำนวนมากจนทำให้เกิดการแพร่ระบาดโดยเฉพาะในจังหวัดระยอง โดยมีข้อมูลว่าเจ้าของบ่อนมีความสัมพันธ์แนบแน่นกับคนในรัฐบาล ถึงขนาดส่งลูกชายไปเป็นอนุกรรมาธิการในสภาได้ ประชาชนจึงสงสัยกันว่าน่าจะเป็นระบบอุปถัมภ์ของคนในรัฐบาลใช่หรือไม่ ซึ่งหากไม่ใช่ก็จะต้องหาคนผิดมาลงโทษไม่ใช่ปล่อยให้เงียบหายไปแบบนี้
 
ดังนั้น การบริโภคของประชาชนและรายได้ของประชาชนในปีนี้ก็จะยังคงย่ำแย่ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อจีดีพี ในขณะที่การลงทุนภาคเอกชนก็ยังคงลดลงอย่างมาก และการส่งออกที่คาดว่าจะดีขึ้นกว่าปีที่แล้วก็อาจจะดีขึ้นบ้างแต่อาจจะขยายได้อย่างเก่งก็ประมาณครึ่งหนึ่งของปีที่แล้วที่ติดลบไป และการลงทุนที่หดหายตลอดหลายปีจะยิ่งทำให้การส่งออกไม่สามารถเพิ่มแบบก้าวกระโดดได้เลยในอนาคต ประกอบกับสินค้าส่งออกเดิมที่ไทยผลิตได้ เริ่มจะล้าสมัยหมดความนิยม เช่น รถยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งไม่ได้เป็นที่ต้องการของตลาดโลกมากนักแล้ว อีกทั้งปัญหาค่าเงินบาทที่แข็งค่าจะเป็นปัญหาอย่างมากในการส่งออกของไทย
 
การใช้จ่ายภาครัฐยังคงยึดรูปแบบเก่า งบประมาณยังคงเป็นแบบเดิมไม่ได้มีการปรับเปลี่ยนให้เข้ากับสภาวะการณ์ของโลกที่เปลี่ยนไป การใช้จ่ายทางการทหารยังคงมีปริมาณที่มากและไม่เกิดผลทางเศรษฐกิจ อีกทั้งการทุ่มงบประมาณจำนวนมากเข้าพัฒนาเขตอุตสาหกรรมภาคตะวันออก (อีอีซี) แต่ผลตอบแทนที่ได้รับกลับไม่คุ้มค่าการลงทุน เนื่องจากรูปแบบการลงทุนจากต่างประเทศในโลกได้เปลี่ยนไปแล้ว
 
การท่องเที่ยวที่เป็นพระเอกมาตลอดหลายปีจนมาโดนวิกฤตไวรัสโควิดทำให้การท่องเที่ยวทรุดหนักในปีที่แล้ว ปีนี้ปริมาณนักท่องเที่ยวก็น่าจะยังไม่เพิ่มขึ้น แถมอาจจะลดลงด้วยซ้ำ อีกทั้งไม่รู้เมื่อไหร่ปริมาณนักท่องเที่ยวจะกลับมาเหมือนเดิม ธุรกิจท่องเที่ยวจะเสียหายและขาดทุนกันมากโดยเฉพาะ โรงแรม นอกจากนี้พฤติกรรมการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวจะเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว ซึ่งประเทศไทยจะต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบการท่องเที่ยวให้เข้ากับลักษณะการท่องเที่ยวในอนาคต
 
สิ่งที่น่าห่วงมากที่สุดคือกรอบคิดของรัฐบาล โดยเฉพาะกรอบคิดของนายกรัฐมนตรีที่ยังไม่สามารถก้าวทันโลกได้ ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยตกยุคและเสื่อมถอยเร็วมาก เพียงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ความสามารถในการแข่งขัน และ ตำแหน่งของไทยในสายตาต่างประเทศเสื่อมถอยอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน ซึ่งเป็นเรื่องที่ตนได้เคยเตือนมาตลอด แต่พลเอกประยุทธ์ไม่เข้าใจ เพราะยังมีแนวคิดยึดติดในกรอบคิดเดิมที่ไม่สามารถพัฒนาให้ทันโลกได้ ทั้งนี้ไม่ได้เกี่ยวกับอายุ เพราะถ้าหากใครได้ฟังอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร พูดถึงการเปลี่ยนแปลงของโลก การที่ไทยต้องปรับเปลี่ยนแพลตฟอร์มเพื่อแข่งขันกับต่างประเทศได้ และการต้องควบคุมแพลตฟอร์มของต่างประเทศไม่ให้มีอิทธิพลกับประเทศไทยมากนัก เป็นเรื่องที่จำเป็น ขนาดในประเทศจีนยังต้องควบคุมแพลตฟอร์มของเอกชนจีนเองไม่ให้มีอิทธิพลมากเกินไปเลย และในสหรัฐเองก็เช่นกัน อีกทั้งการใช้แพลตฟอร์มในระบบราชการเพื่อลดขนาดของราชการเพื่อให้การบริหารราชการคล่องตัว หรือ ที่เรียกว่า digitalization ระบบราชการ ซึ่งเรื่องเหล่านี้พลเอกประยุทธ์ไม่เข้าใจ ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยเสื่อมถอยอย่างหนัก
 
ในขณะที่ประเทศกำลังอยู่ในภาวะวิกฤตทั้งทางด้านเศรษฐกิจและการแพร่ระบาดของไวรัส รัฐบาลกลับคิดถึงการส่งยานอวกาศไปโคจรรอบดวงจันทร์ การเรี่ยไรประชาชนคนละ 500 บาทเพื่อการวิจัยผลิตวัคซีนแทนที่รัฐบาลจะทุ่มงบประมาณเอง การจับนักศึกษาที่ช่วยขายกุ้งให้กับผู้เลี้ยงกุ้งที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของไวรัสที่รัฐบาลเองละเลยไม่ช่วยเหลือแต่กลับไปจับคนช่วยเป็นต้น นับเป็นการกระทำที่ย้อนแย้งและขาดสติ
 
โดยส่วนตัวแล้วเชื่อว่า กรอบคิดที่ล้าหลังและเสื่อมถอยหนักนี้เป็นสาเหตุหลักที่ นักศึกษา นักเรียน และ ประชาชนจำนวนมากออกมาประท้วงขับไล่รัฐบาล เพราะพวกเขาทราบดีว่าหากปล่อยให้พลเอกประยุทธ์และรัฐบาลที่ขาดหลักคิดที่ทันโลกได้บริหารประเทศต่อไป ประเทศไทยจะยิ่งยากลำบากและเสื่อมถอยหนัก และ ผู้ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือ นักเรียน นักศึกษา และ คนรุ่นใหม่ ที่จะต้องรับมรดกการบริหารประเทศนี้ต่อจากคนรุ่นเก่าที่บริหารประเทศได้อย่างย่ำแย่นี้ ซึ่งจะไม่สามารถแข่งขันกับโลกได้ และอาจจะต้องใช้เวลานานมากในการปรับปรุงประเทศเพื่อจะให้ก้าวทัน หรือ อาจจะก้าวไม่ทันเลยก็เป็นได้ เพราะโลกจะยิ่งเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วหลังวิกฤตการณ์ไวรัสโควิดนี้ ประเทศที่ได้เปรียบและได้รับผลกระทบน้อยจะก้าวไปได้เร็วมาก ในขณะที่ประเทศที่เสียหายและเสียเปรียบจะล้าหลังเร็วมาก โดยล่าสุดมีการสำรวจพบว่าประเทศเวียดนามจะแซงประเทศไทยภายใน 15 ปีหรืออาจจะเร็วกว่านั้น ในขณะที่จีนจะแซงสหรัฐได้ภายใน 8 ปีนี้ ซึ่งหากประเทศไทยยังเป็นแบบนี้ ไทยจะหมดอนาคตแน่ ดังนั้นการชุมนุมต่อต้านรัฐบาลของประชาชนในปีนี้จะเพิ่มมากขึ้น และอาจจะนำไปสู่ความรุนแรงได้
 
โดยสรุป ต้องขอเตือนตรงๆว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2564 นี้จะยากลำบากและเสื่อมถอยหนัก ทั้งเศรษฐกิจ สังคม และ การเมือง และหากยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงแนวคิด หรือ เปลี่ยนแปลงการบริหาร ประเทศไทยก็ได้แต่รอวันที่จะเสียหายหนักหรือเหมือนกับรอวันเจ๊งเท่านั้น
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่